Share on
×

Share

ภาษีทรัมป์ป่วนโลก มองหาหลุมหลบภัย ‘พักเงิน’ ยังไงให้ ‘ผลตอบแทนไม่พัก’

เพียงไม่กี่วันที่โลกเข้าสู่ยุค “ภาษีทรัมป์ (Tariff )” เริ่มมีผลวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ก็สั่นสะเทือนกันไปทุกประเทศถ้วนหน้า ราวกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นบนเศรษฐกิจโลก เกิดอาฟเตอร์ช็อกสะท้านไปตลาดหุ้นทุกประเทศแห่ร่วงระเนระนาดกลายเป็น “Black Monday” ขึ้นอีกครั้งในวันเปิดทำการของตลาดหุ้นทั่วโลก เมื่อต้นสัปดาห์แรกของเดือนเมษายนนี้

แม้แต่ภายในประเทศสหรัฐอเมริกาเองก็เกิดการต่อต้านทรัมป์ขึ้นมา ผู้คนทุกรัฐลุกขึ้นประท้วงใหญ่ ภายใต้ชื่อ “Hands Off” ประชาชน 5 แสนคนเข้าร่วมต่อต้านนโยบายของทรัมป์ เนื่องจากแผนเศรษฐกิจที่เน้นภาษีนำเข้าอย่างกว้างขวางของเขา ส่งผลให้มูลค่าหุ้นสหรัฐฯ หายไปมากกว่าห้าล้านล้านดอลลาร์ภายในสองวัน ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ

ทั่วโลกหวาดผวาภาพหลอน “เศรษฐกิจถดถอย” หรือ “เศรษฐกิจตกต่ำ“ ซึ่งเป็น 2 ฉากทัศน์ ที่ไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากันเลย แต่ก็อาจต้องได้เจอโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะ “ทรัมป์” เริ่มจุดชนวนสงครามการค้า พร้อมที่จะใช้อิทธิพลความเป็นผู้นำโลก เข้ามาชี้เป็นชี้ตายประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงชี้อนาคตของโลกในอีกหลายปีข้างหน้า

ตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นสงครามกันเองนะครับ คุณปู่ Warren Buffett นักลงทุนสาย VI เบอร์หนึ่งของโลก ถึงกับแชร์มุมมองว่า “การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เหมือนเป็นการประกาศเริ่มสงครามในระดับนึง”

หากมองไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมเชื่อว่า ทุกคนรู้ว่าไม่มีใครคาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้ากันได้เลยจริง ๆ จัดเป็น “ความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้” และตลาดหุ้นก็สะท้อนรับรู้ข่าวออกมาอย่างรุนแรงครับ

ปฏิกิริยาของตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงดิ่งลงสังเวยสงครามภาษีของทรัมป์ ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า S&P 500 ติดลบราว ๆ 10% จากจุดสูงสุดของปี มูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ พังทลายหายไป 200 ล้านล้านบาท ในเวลาเพียงแค่ 48 ชั่วโมง ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานับถึงเวลานี้ก็ปาไปเกือบ 20% แล้ว ร่วงลงครั้งประวัติศาสตร์ ส่วนตลาดหุ้นเอเชียก็ปรับตัวลดลงหนักทั่วภูมิภาคตามเช่นกัน

สงครามภาษียังคงถล่มตลาดโลกต่อเนื่อง วันที่ 7 เมษายน เกิด Black Monday อีกครั้ง ทุกสินทรัพย์ทั่วโลกราคาปั่นป่วน นำโดยสหรัฐฯ ตลาดล่วงหน้าทรุดหนักต่อ ทั้ง DOW Futures, S&P500 Futures และ NASDAQ Futures ปรับตัวลงกว่า 3%-4.82% ตลาดหุ้นยุโรป ร่วงไปตาม ๆ กัน Euro Stoxx 50 ราวๆ -6.5% เยอรมัน -7% อังกฤษ -5% ฝรั่งเศส -6% อิตาลี -7%

ฝั่งตลาดเอเซียแดงหนัก นำโดย “หุ้นจีน” ปิดตลาดร่วง -13.74% เป็นวันที่ดัชนี Hang Seng ร่วงหนักที่สุดในรอบ 37 ปี ตลาดหุ้นสิงคโปร์ -7.7% เป็นการร่วงวันเดียวที่หนักที่สุดในรอบ 16 ปี ไต้หวัน -9% ญี่ปุ่น ดัชนีนิกเกอิ -7% เกาหลี ร่วง 4-5% ส่วนตลาดหุ้นไทย ปิดทำการ นับเป็นวันที่ปั่นป่วนที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นโลก

แต่อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของหุ้นมีขึ้นมีลงยิ่งถ้าช่วงไหนลงแรงก็มักจะมีโอกาสขึ้นแรง หลังผ่านการรับรู้ข่าวร้าย ในวันถัดมา (8 เม.ย.) ตลาดหุ้นดีดกลับเขียวทั้งโลกครับ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุน +6% หุ้นจีนในฮ่องกง ดัชนี Hang Seng +2% เกาหลีใต้ KOSPI +1.6% ส่วนตลาดหุ้นไทยที่เพิ่งเปิดทำการวันแรก ติดลบกว่า 4% เพิ่งสะท้อนข่าวร้ายของโลกครับ ครับ

ณ เวลานี้ สถานการณ์โดยรวมยังอยู่บนความไม่แน่นอน เพราะเป็นช่วงเวลาเจรจาต่อรองของมาตรการภาษีตอบโต้ แม้ทรัมป์จะประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้ออกไปอีก 90 วัน แต่กว่าจะไปถึงวันนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ จริงไหมครับ

ประเทศไทยและทั่วโลกทำได้แต่ยอมรับสภาพที่เกิดขึ้นจาก “ฝีมือทรัมป์” ที่ล้มโต๊ะการค้าโลกเสรีในปัจจุบัน ทั้ง ๆ ที่อเมริการเป็นคนเริ่มต้นวางระบบนี้ขึ้นมาเอง สงครามการค้ารอบนี้เป็นการเปลี่ยนโลก เปลี่ยนกติกาการค้าต่าง ๆ และพันธมิตรทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง รวดเร็ว ต่อเนื่อง และบางการเปลี่ยนแปลงอาจจะเกิดขึ้นถาวรด้วยครับ

JP Morgan ได้ออกมาปรับมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครั้งใหญ่ ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือ Recession แน่ในปีนี้ โดยคาดการณ์ GDP สหรัฐฯ ปีนี้จะหดตัว -0.3% จากเดิมคาดการณ์+1.3% ส่วนอัตราเงินเฟ้อ คาดพุ่งขึ้น โดยปรับเพิ่ม Core PCE Inflation ขึ้นเป็น +4.4% ขณะที่ เฟดจะถูกบีบให้เริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายภายในเดือน มิ.ย. นี้ และอาจลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในทุกรอบการประชุมจนถึงสิ้นปีนี้ ที่ดอกเบี้ยน่าจะอยู่ที่ 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.25%-4.50% และสหรัฐฯ มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะ Stagflation ที่กำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ด้าน Dan Ives จาก Wedbush ให้มุมมองว่า “หากสหรัฐฯ ยังคงนโยบายภาษีแบบสุดโต่งนี้ จะทำให้จีนยิ่งได้เปรียบและสหรัฐฯ อาจสูญเสียความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในระยะยาว”

นักเศรษฐศาสตร์ต่างประเมินสถานการณ์ระยะสั้นนี้ว่า การที่ทรัมป์เรียกเก็บภาษีศุลกากรจากทั้งมิตรและศัตรูแบบเหมายกเข่ง ทำให้มหามิตรแท้อย่างญี่ปุ่นจุก ๆ ไปด้วย และเกาหลีใต้ที่ถูกทรัมป์ฉีกสัญญาการค้าเสรีนาฟต้าและ TPP ที่ทำกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อน ๆ แล้วมาตั้งกำแพงภาษี ทำแบบไม่มี rule of law เลย

ขณะที่ BOJ ก็ประกาศว่า ในการประชุมครั้งหน้า มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อทำให้เกิดการเทขายหุ้นสหรัฐฯ ไปแลกเงินเยนเพื่อคืนเงินกู้ธนาคารญี่ป่น หรือ yen carry trade หุ้นสหรัฐฯ คงโดนชิงจังหวะเทขายก่อน เพื่อตัดขาดทุน

เดือนเมษาฯ ปีนี้ ทั่วโลกตกอยู่ในภาวะระส่ำระสายหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ ประเด็นใหญ่ของโลก เกาะติดเรื่องการเปิดฉากของหลายๆประเทศที่จะขอเจรจา “ภาษีทรัมป์” หรือจะงัดภาษีตอบโต้ ประเด็นทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งท่าทีล่าสุดของประธานเฟด “เจอโรม พาวเวล” ยังยืนยันจะไม่รีบลดดอกเบี้ย แม้จะเกิดสงครามการค้าขึ้น ฝั่งทรัมป์ออกมาบอกว่า ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่เฟดจะรีบลดดอกเบี้ยลง

สถานการณ์โลกจะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นเรื่องยากที่จะอ่านทิศทางได้เลย เพราะสหรัฐฯ ยังทรงอิทธิพลต่อประเทศต่าง ๆ ขณะที่คู่ขัดแย้งหลัก “จีน” เป็นผู้นำโลกเบอร์สอง ที่หายใจรดต้นคอ ก็พร้อมชิงความเป็นหนึ่งอยู่ตลอด ยิ่งทรัมป์ยังแข็งกร้าวยืนยัน “ไม่ระงับ” ขึ้นภาษีสินค้านำเข้า แต่เปิดช่องเจรจาภาษีตอบโต้เป็นรายประเทศให้ยกเว้นจีน

ท่ามกลางเสียงเตือนถึง “ทรัมป์กำลังสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้นำธุรกิจทั่วโลก” โดย Bill Ackman โพสต์เตือนบน X แต่ทรัมป์ยังว่า “ผมไม่ได้อยากให้ตลาดหุ้นร่วง แต่บางครั้ง เราก็จำเป็นต้องกินยาเพื่อรักษาโรคร้าย”

จากสถานการณ์ Black Monday ที่เกิดขึ้น ก็มีนักลงทุนทั้งที่ตื่นตระหนกเทขายออกหนีเสี่ยง และบางส่วนที่ยังปักหลักฝ่าสงครามภาษีต่อ พร้อมกับส่งเสียงเตือนนักลงทุนอย่าตื่นตระหนก

อีกหนึ่งนักลงทุนแถวหน้าของโลก Charlie Munger กล่าวเตือนว่า “ในวันที่ทุกคนในตลาดเสียสติ การมีสติคือข้อได้เปรียบของคุณ”

แม้แต่ Jim Cramer อดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายหนึ่ง ก็บอกว่า “ผมจะไม่ตื่นตระหนก และเทขายหุ้นด้วยความกลัว” ท่ามกลางความหวังของนักวิเคราะห์ที่หยิบสถิติมาประเมินว่า หุ้นสหรัฐฯ ต้นปีนี้ ปรับตัวร่วง -14% ภายใน 3 เดือน ในประวัติศาสตร์เคยร่วงหนักกว่านี้เพียงแค่ 5 ครั้ง และทุกครั้งตลาดกลับมาบวกได้หมด ใน 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ ส่วนตัวผมก็เชื่อในหลักการหุ้นมีขึ้นมีลงอยู่แล้วครับ

เพราะปีนี้ กฎกติกาการค้าโลกกำลังเปลี่ยน แน่นอนว่า ปัจจัยพื้นฐานและภาคธุรกิจต่าง ๆ ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ใหม่ครับ ตลาดลงทุนต่างๆ กำลังปรับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานในตัวของมันเองอยู่ครับ

ดังนั้น ตอนนี้พวกเรานักลงทุนต้องทำการบ้านอย่างหนัก เปิดพอร์ตดูสุขภาพของสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ลงทุนว่ายังอยู่ในหลักการลงทุนที่ถูกต้องมั้ย เป็นสินทรัพย์ที่มีอนาคตเติบโตทำกำไรผลตอบแทนอยู่หรือไม่ และมีความเสี่ยงอะไรบ้างหรือจะเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับสถานการณ์สงครามภาษีนี้อย่างไร พอร์ตยังบาลานซ์ดีอยู่หรือไม่หากถือต่อไปในระยะยาว

อย่าหนีความจริงครับ ผมขอให้เอาพอร์ตมากางดูเลยใครมีที่ปรึกษาการลงทุนแนะนำให้ไปใช้บริการให้เต็มที่คุ้มกับค่าดูแลที่เราจ่ายไปครับ เพราะตัวคุณเองจะต้องเป็นคนรักษาพอร์ตตัวเองให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างถูกทิศถูกทางภายใต้การแนะนำของผู้เชี่ยวชาญครับ

ผมขอให้หลักคิดกับนักลงทุนทุกท่านเพื่อมองเห็นโอกาสในวิกฤติของ Trade War ดังนี้

ข้อแรก ขอให้คุณ “นิ่งไว้และโฟกัส” กับสิ่งที่ “ควบคุมได้” ตลาดหุ้นผันผวนเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่คุณสามารถ “เลือก” วิธีจัดการกับความเสี่ยงได้

ถ้าคุณเชื่อมั่นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง คุณต้องกลับมาพิจารณาว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนจะยังเติบโตได้ในระยะยาวหรือไม่ เช่น ดัชนี S&P 500 ที่เติบโตมาโดยตลอดแม้จะเจอวิกฤติหนักแค่ไหนก็ตาม ซึ่งราคาหุ้นตกก็เพราะอารมณ์ของตลาดด้วย การถือหุ้นเพื่อรอการฟื้นตัว อาจเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าการขายตัดขาดทุน ครับ

ข้อที่สอง – มองให้เห็นโอกาสในวิกฤต เพราะในช่วงตลาดตก คือ โอกาสซื้อของถูก!

คุณคงจำได้ ผมชอบหยิบยกประโยคทอง “ข่าวร้ายคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน” ของคุณปู่  Warren Buffett นักลงทุนสาย VI ระดับปรมาจารย์เกือบทุกคนใช้แนวคิดนี้กันหมดครับ ไล่ตั้งแต่ Benjamin Graham และศิษย์รักอย่าง Warren Buffett ส่งต่อถึงนักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ อย่าง Howard Marks ที่เฝ้ารอโอกาสที่จะซื้อสินทรัพย์ในราคาถูก และรอให้มูลค่าของมันเพิ่มขึ้นเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างกลับมาปกติครับ

ข้อที่สาม เมื่อไรควรซื้อของถูกตอนนี้ หรือรอตกหนักกว่านี้?

เราไม่สามารถคาดการณ์ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรในระยะสั้น แต่จากข้อมูลในอดีตจะพบว่าการที่ตลาดหุ้นตกลงอย่างรุนแรงนั้น ตลาดก็มักจะกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ผมขอยกตัวอย่างการลงทุนในหลายนโยบายของ Jitta Wealth ที่จะทำผลตอบแทนหลังวิกฤติได้ถึง 2-3 เท่า

ดังนั้น “การเพิ่มทุน” ในตอนนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่คุณจะซื้อหุ้นนั้นได้จำนวนมากขึ้น ตามหลักการของปู่ Warren Buffett จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า และจงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว” (Be fearful when others are greedy and greedy when others are fearful)

แต่หากคุณยังกังวลใจ ก็สามารถ “เพิ่มทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ DCA ” เพราะคุณไม่ต้องคำนึงถึงการจับจังหวะราคา ช่วยตัดอารมณ์และความรู้สึกออกไปจากเกมการลงทุน แล้วหันไปเน้นที่ความสม่ำเสมอเป็นหลัก ทยอยลงทุนไปเรื่อย ๆ ทั้งในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นขึ้นและลง

สำหรับคนที่ยังรู้สึกไม่มั่นใจในการลงทุนจริง ๆ โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นแล้ว ก็อย่าฝืนใจครับ เพราะยังมีอีกหลายสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าให้คุณเลือกลงทุน และสามารถสร้างผลตอบแทนให้ได้ ซึ่งผมก็แนะนำลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ เลือกลงทุนในพวกพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้คุณภาพที่มีเครดิตเรทติ้ง A ขึ้นไปเป็นต้น ถือเป็นแหล่งพักเงินที่ฮีลใจคุณได้ดีเลยครับ

การลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นการลงทุนที่เป็นที่นิยมมากของนักลงทุนทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา เพราะมองว่าความเสี่ยงต่ำเนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก และ เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของประเทศ ดังนั้นเมื่อเราเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ โอกาสที่จะไม่ได้รับเงินลงทุนคือจึงแทบจะเป็นศูนย์

และในปัจจุบัน ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ยังทรงตัวระดับสูง 4.25-4.50%ทำให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นมีความน่าสนใจ คุณยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีตามดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงประมาณ 4% ต่อปี และหากเฟดมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยลง ซึ่งปีนี้คาดจะเห็น 1-2 ครั้งตามที่ ตลาดคาดการณ์กันไว้ ก็ยังเห็นดอกเบี้ยอยู่ระดับ 3% กว่าๆ ก็ถือว่าสูงอยู่นะครับ

ช่วงที่ผ่านมา ผมก็มีแนะนำให้ลูกค้าเลือกพักเงินในพันธบัตรสหรัฐฯ ผ่านกองทุนส่วนบุคคล Jitta Money เหมือนกันครับ เพราะลูกค้าบอกต้องการพักเงินลงทุนระหว่างรอโอกาสการลงทุนที่เหมาะสมในต่างประเทศ และมีบางกลุ่มที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการถือทรัพย์สินเป็นสกุลเงินบาทเพียงอย่างเดียว ถือเป็นอีกสินทรัพย์ที่คุณสามารถกระจายลงทุนในพอร์ตหลักของคุณได้ครับ จะช่วยบาลานซ์พอร์ตของคุณและยังมีผลตอบแทนที่ดี และที่สำคัญไม่ต้องเสี่ยงกับอารมณ์ของตลาดหุ้นที่ผันผวนและปัญหาขาดทุนครับ

จริง ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา นักลงทุนระดับโลกหลายคน เช่น คุณปู่ Warren Buffett นั้น ก็มีการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกัน เพราะด้วยผลตอบแทนที่สูงประมาณ 4% ต่อปี ในขณะที่มีความเสี่ยงต่ำมาก จึงเหมาะสมกับการนำเงินมาลงทุนไว้ตรงนี้เพื่อรอโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ

อีกเรื่องความเสี่ยงผมขอย้ำ คือ การออกไปลงทุนในต่างประเทศ จะมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นเสมอครับ ซึ่งค่าเงินบาทจะผันแปรกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นในระหว่างทาง อาจจะเห็นเงินดอลลาร์แข็งหรืออ่อนค่าก็จะกระทบต่อเงินบาทได้

แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราตั้งใจถือครองสินทรัพย์ที่ลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์อยู่แล้ว เช่น ถือพันธบัตรฯ และไม่ได้คิดจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินบาท ตรงนี้เราก็ไม่ต้องกังวลอะไรครับ เพราะจริงๆ เงินลงทุนของเราในสกุลเงินดอลลาร์นั้น เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลาครับ

อีกเรื่องนึงคือ จากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ณ เวลานี้ที่เงินเฟ้อยังมีโอกาสสูงขึ้นอยู่ ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็เลยน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงในระดับนี้ต่อไปอีกสักระยะครับ ถ้าต้องการลงทุนในพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำตรงนี้ ก็น่าจะยังทำได้ดีต่อไป และอาจจะลดความผันผวนจากค่าเงินได้ด้วยการ DCA ไปเรื่อย ๆ จนกว่าที่คุณพร้อมที่จะนำเงินไปลงทุนต่อในสินทรัพย์อื่น ก็ค่อยย้ายเงินที่พักอยู่ในตลาดพันธบัตรออกไปลงทุนก็ไม่สายครับ

เวลาหุ้นตกแบบช่วงนี้ สิ่งที่ยากมากคือการมองอนาคต ทุกคนมีคำถามว่า ลงมาเยอะขนาดนี้แล้วจะลงไปอีกเท่าไร?

ผมไม่มีคำตอบ เพราะความผันผวนจากท่าทีของทรัมป์นั้นประเมินยากมาก แต่ผมยังเชื่อว่า หากพอร์ตของคุณมีความสมดุลอยู่แล้ว (กระจายความเสี่ยงตามประเทศ และประเภทสินทรัพย์) ดีที่สุดตอนนี้คืออย่าทิ้งพอร์ต แต่สามารถปรับเล็กปรับน้อยได้

ผมขอให้ทุกคนฝ่าวิกฤติรอบนี้ไปให้ได้ครับ เวลาหุ้นตกแบบช่วงนี้ สิ่งที่ยากมากคือการมองอนาคต และไม่มีใครจะมีคำตอบได้ว่า จะลงไปอีกเท่าไหร่  หากพอร์ตของคุณบาลานซ์ดีอยู่แล้ว คือกระจายลงทุนตามประเทศและสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ สิ่งที่ดีที่สุด คือ คุณอย่าทิ้งพอร์ตนะครับ หมั่นดูแลพอร์ตตลอด เมื่อหลาย ๆ อย่างเริ่มเห็นทิศทางชัดเจนดีขึ้น ตลาดลงทุนก็จะกลับมาเพื่อปรับตัวเข้าหาฐานที่สมดุลของมันต่อไปครับ

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

คว้าโอกาสหุ้นเทคฯ จีน ​อย่างไรให้ปลอดภัย รับกระแส AI บูม

วางแผนการเงินตามช่วงวัย เริ่มต้นการลงทุนปีใหม่ให้ดีกว่าเดิม

ไม่ว่ายังไง… ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นขาขึ้นเสมอ

×

Share

ผู้เขียน