การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ หรือ Medical AI กำลังเป็นก้าวสำคัญที่จะพลิกโฉมวงการสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย การผนึกกำลังจากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานวิจัย ถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนวาระนี้ให้ก้าวหน้า เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
มหาวิทยาลัยมหิดล: ผู้นำด้านข้อมูลและต้นแบบความสำเร็จ
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การทำงานร่วมกัน (Synergy) ผ่าน Medical AI Consortium ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก บพค. (หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม) มีความสำคัญแม้ประเทศไทยอาจตามหลังด้านการพัฒนาฮาร์ดแวร์และอัลกอริทึม AI แต่มีความได้เปรียบอย่างยิ่งในด้าน Big Data ซึ่งเป็นข้อมูลของประเทศไทยเอง
ตัวอย่างความสำเร็จที่ชัดเจนคือ AI อ่านผล Chest X-ray (Inspector Chest) ที่โรงพยาบาลศิริราชพัฒนาร่วมกับ บริษัท เพอเซ็ปทรา จำกัด (Percebta) สตาร์ตอัพไทย โดยใช้ฐานข้อมูลจากศิริราชเกือบ 1.9 แสนภาพ ร่วมกับข้อมูลจากเครือ BDMS ทำให้ปัจจุบันมีโรงพยาบาลใช้งานกว่า 90 แห่ง ผ่านการรับรองจาก อย. และกำลังหารือกับ สปสช. เพื่อสนับสนุนการใช้งาน AI นี้ได้รับการยอมรับจากแพทย์ผู้ใช้งานจริงว่าช่วยลดความผิดพลาดได้มาก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาต่อไปยัง Mammogram (มีข้อมูลราว 8 แสนภาพ) และ CT Brain (มีข้อมูลราว 1 ล้านภาพ)
ศ.นพ. ปิยะมิตร ยังกล่าวถึงศักยภาพของ Large Language Models (LLMs) เช่น ChatGPT ในการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายเรื่อง Hallucination (ข้อมูลผิดพลาด) และ Bias (อคติ) ซึ่งแก้ไขได้โดยใช้เทคนิค RAG (Retrieval-Augmented Generation) ที่จำกัดการค้นหาข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับบริบทของประเทศไทย (Thai-specific data)
หัวใจสำคัญคือการสร้าง Data Repository หรือคลังข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่ของประเทศ โดยการรวมข้อมูลจาก 3 กองทุนสุขภาพหลัก (สปสช., ประกันสังคม, สวัสดิการข้าราชการ), Health Link, หมอพร้อม และข้อมูล Genomics Thailand เพื่อสร้างฐานข้อมูลกลางที่มีประสิทธิภาพสำหรับพัฒนา AI ของไทย แม้จะต้องเผชิญข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศ (Tier 2 restriction) การแชร์ทรัพยากรและการร่วมมือกันใน Consortium จะเป็นทางออกสำคัญ
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข: ผู้ใช้และผู้ผลักดันสู่การใช้งานจริง
นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นำเสนอในมุมของผู้ใช้งานและหน่วยงานที่นำนวัตกรรมไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง กรมการแพทย์มีบทบาทในการนำมาตรฐานการรักษาใหม่ ๆ รวมถึง AI ไปใช้กับประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน ผ่านระบบ 3 กองทุนสุขภาพ
นพ. ธนินทร์ ยอมรับว่า AI มีความสามารถสูงขึ้นเรื่อย ๆ และอาจเก่งกว่ามนุษย์ในบางงาน ตัวอย่างความสำเร็จที่กระทรวงสาธารณสุขนำ AI มาใช้และได้รับรางวัลระดับนานาชาติคือ AI ตรวจภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา (Diabetic Retinopathy) ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Google AI สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนจักษุแพทย์เฉพาะทางในพื้นที่ห่างไกลได้อย่างมีนัยสำคัญ โดย AI มีความไว (Sensitivity) ในการคัดกรองสูงถึง 95-97% เทียบกับมนุษย์ที่ราว 74%
“ประเทศไทยมีคนเป็นโรคเบาหวาน 6-9% ของจำนวนประชากร หรือประมาณ 6 ล้านคน ในจำนวนนี้ราว 15-20% เป็นโรคเบาหวานขึ้นตา ซึ่งมีโอกาสที่จะตาบอดได้ ในประเทศไทยมีหมอตา 1,500 คน จักษุแพทย์เฉพาะทางเพียง 250 คน ครึ่งหนึ่งของจักษุแพทย์เฉพาะทางอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ทว่า 90% ของผู้ป่วยเบาหวานอยู่ในต่างจังหวัด มีความไม่สมดุล ซึ่ง AI เข้ามาช่วยตรงนี้ได้”
นอกจากนี้ AI ยังได้รับการยอมรับในการอ่านผล Chest X-ray ช่วง Covid-19 เพื่อเบิกจ่ายค่ารักษา และมีศักยภาพสูงในการนำไปใช้กับโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เพื่อการวินิจฉัยและตัดสินใจให้ยาที่รวดเร็วขึ้น แต่ก็ยังมีความท้าทายในเคสที่ซับซ้อน เช่น การใช้ AI วินิจฉัยพยาธิสภาพของเนื้องอกในสมอง (Brain Tumor)
กรมการแพทย์พร้อมเป็นหน่วยงานสำคัญในการทดสอบ (Testbed) และผลักดันการนำ AI ที่พัฒนาโดยคนไทยและผ่านมาตรฐาน ไปใช้ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ กว่า 2,000 แห่งในสังกัดสธ. เพื่อให้เกิดการใช้งานจริงและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
สกสว. จุดแข็งของไทยด้านข้อมูล Clinical Data และ Genomics Thailand
ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะหน่วยงานกำหนดนโยบายและบริหาร กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) ชี้ว่าประเทศไทยมาถูกทางแล้วในการผลักดัน AI ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มตลาดโลกที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) โดยเฉพาะด้านการแพทย์ ให้ก้าวสู่ S-curve ที่ 2
สกสว. ได้วางรากฐานการสนับสนุน AI มาตั้งแต่โครงการ AI for All เมื่อหลายปีก่อน และมอบหมายให้ PMU (Program Management Unit) เช่น คณะกรรมการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำ ลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) และ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ LANTA และการประยุกต์ใช้ AI ในด้านต่าง ๆ รวมถึง Medical AI
รศ.ดร. สมปอง เน้นย้ำถึงจุดแข็งของไทยด้านข้อมูล Clinical Data และ Genomics Thailand หากสามารถรวมพลังและใช้ข้อมูลร่วมกันภายใต้เป้าหมายเดียวกัน ประเทศไทยจะสามารถแข่งขันได้อย่างแน่นอน สกสว. และกองทุน ววน. เปรียบเสมือน “กองทุนที่ 4” (นอกเหนือจาก 3 กองทุนสุขภาพ) ที่พร้อมสนับสนุนทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากำลังคน และการสร้าง Medical AI ใหม่ ๆ ที่จะกลายเป็น New S-curve ของประเทศ
สกสว. กำลังทำงานร่วมกับ สปสช. เพื่อผลักดันให้การวินิจฉัยและรักษาโรคโดยใช้ AI สามารถ เบิกจ่ายได้ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการใช้งาน AI ทางการแพทย์ เช่น Chest X-ray, Retina screening, Telemedicine เป็นต้น

บพค.: ผู้สนับสนุนทุนวิจัยและโครงสร้างพื้นฐาน AI
รองศาสตราจารย์ ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการ คณะกรรมการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม บพค. กล่าวว่า บพค. ได้สนับสนุนมาแล้วกว่า 90 ล้านบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ครอบคลุมการพัฒนาแพลตฟอร์ม บุคลากร ต้นแบบ AI Model และ Data Governance Framework เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของข้อมูล
บพค. มีภารกิจหลักในการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน ววน. ซึ่งรวมถึง AI Platform ส่งเสริมงานวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research) และพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา โดยมองว่า AI มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (LLM สู่ Multimodal และ AI Agent) และต้องมีการมองไปข้างหน้า (Foresight) เพื่อเตรียมความพร้อม
รองศาสตราจารย์ ดร.ณิรวัฒน์ ย้ำว่า AI ควรทำหน้าที่เป็นเครื่องมือ สนับสนุนการตัดสินใจของแพทย์ (Recommendation) ไม่ใช่การทดแทนทั้งหมด และจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วน รวมถึงการสร้าง มาตรฐานข้อมูล (Standardization) เพื่อให้ระบบทำงานร่วมกันได้
บพค. เปรียบการพัฒนา Med AI เหมือนการปีนเขาเอเวอร์เรสต์ที่ต้องมีหมุดหมาย (Milestone) เล็ก ๆ ระหว่างทาง โดยการสร้างความร่วมมือในการแชร์ข้อมูลถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ และพร้อมสนับสนุน Med AI Platform ต่อไปอย่างเต็มที่
สวทช.: ผู้พัฒนาเทคโนโลยีและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มองว่า สวทช. ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาหลักของประเทศ มีบทบาทในการติดตามเทคโนโลยีและนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์จริง
สวทช. โดย เนคเทค (NECTEC) เป็นผู้ร่วมพัฒนา ยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Strategy)ซึ่งได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลแล้ว ครอบคลุม 5 ยุทธศาสตร์หลัก ทั้งการพัฒนาคน การประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ (การแพทย์ การศึกษา การท่องเที่ยว ฯลฯ) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “อว. for AI” ของกระทรวง อว.
ศ.ดร.ชูกิจ เสนอว่า ประเทศไทยควรเน้นการ ประยุกต์ใช้ AI (Application) โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เรามี มากกว่าการพัฒนาเทคโนโลยี AI พื้นฐานเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศโดยตรง กุญแจสำคัญคือการ “สอน” หรือ “เทรน” AI อย่างชาญฉลาด โดยใช้ตรรกะ (Logic) ที่ถูกต้องในการวิเคราะห์ข้อมูล ไม่ใช่แค่ปริมาณข้อมูลที่มากเพียงอย่างเดียว
Medical AI Consortium มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อให้ AI ได้เรียนรู้จากเคสจำนวนมหาศาล เปรียบเสมือนการสร้าง “แพทย์ AI” ที่มีความรู้กว้างขวางที่สุด โดยมีกระบวนการตั้งแต่ การนำเข้าข้อมูล (Data Flow), การจัดการข้อมูล (Data Curation), การสร้างโมเดล AI (AI Modeling) ไปจนถึงการให้บริการ (AI Service Platform) และต้องมีการป้อนข้อมูลใหม่ ๆ เข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ AI เรียนรู้และพัฒนาตลอดเวลา
นอกจากนี้ ศ.ดร.ชูกิจ ยังมองไปถึงอนาคตที่ AI จะไม่ใช่แค่วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ แต่อาจพัฒนาไปสู่การสร้าง Digital Twin ของมนุษย์ เพื่อให้คำแนะนำด้านสุขภาพแบบองค์รวมและเฉพาะบุคคล
อาจกล่าวได้ว่า ประเทศไทยมีทิศทางที่ชัดเจนและมีความมุ่งมั่นในการพัฒนา Medical AI โดยอาศัยความแข็งแกร่งด้านข้อมูลทางการแพทย์และสาธารณสุข การทำงานร่วมกันในรูปแบบ Consortium การสนับสนุนเชิงนโยบายและงบประมาณจากภาครัฐ การพัฒนาเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มโดยหน่วยงานวิจัย และการนำไปปรับใช้จริงในระบบบริการสุขภาพ ถือเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จ Medical AI ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น “ก้าวสำคัญ” เชิงยุทธศาสตร์ ที่จะนำมาซึ่งระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย และเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ (New S-Curve) ของประเทศไทยในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ภาษีทรัมป์ป่วนโลก มองหาหลุมหลบภัย ‘พักเงิน’ ยังไงให้ ‘ผลตอบแทนไม่พัก’
สคส. ย้ำ พ.ร.ก.ไซเบอร์ฉบับใหม่ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล-ผู้เสียชีวิต ฝ่าฝืนเจอโทษหนักถึงจำคุก 5 ปี
‘สืบค้นข้อมูล-สร้างเอกสารราชการ-ถอดเทปภาษาไทย’ 3 เทคโนโลยีเด่นบน Pathumma LLM