แกร็บ เผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปี 2566 (ESG Report 2023) รวบรวมผลการดำเนินงานของแกร็บ ที่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุม 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในสังคม การส่งเสริมและดูแลสิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการอย่างยั่งยื่น โดยในปีที่ผ่านมา (2566) แพลตฟอร์มแกร็บช่วยสร้างรายได้ให้กับคนในภูมิภาคมากกว่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินโดยให้สินเชื่อกับพาร์ตเนอร์คนขับและร้านค้ารวมกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากกว่า 71,000 ตัน และลดปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งมากกว่า 7,365 ตัน
วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันแพลตฟอร์มของแกร็บกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ไม่เฉพาะแต่ผู้ใช้บริการที่มีมากกว่า 35.5 ล้านคนทั่วทั้งภูมิภาค แต่ยังรวมถึงพาร์ตเนอร์คนขับและร้านค้ากว่า 13 ล้านราย ที่อาศัยแพลตฟอร์มแกร็บเป็นช่องทางในการหารายได้ แกร็บไม่ได้เป็นเพียงแค่แอปพลิเคชันที่ช่วยตอบสนองความสะดวกสบาย แต่ยังสามารถมีส่วนในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ที่ผ่านมาแกร็บจึงพัฒนาแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้บริการ
ขณะเดียวกัน แกร็บยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืน ครอบคลุมใน 3 มิติหลัก ได้แก่ การสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในสังคม (Social Impact) ซึ่งโฟกัสไปที่การเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถสร้างอาชีพและรายได้จากแพลตฟอร์ม การส่งเสริมและดูแลสิ่งแวดล้อม (Environment) โดยมุ่งใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม และการใช้ธรรมาภิบาลในการกำกับดูแลกิจการเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Governance) ทั้งหมดนี้สอดคล้องไปกับพันธกิจ GrabForGood ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่แกร็บในทุกประเทศยึดถือมาตลอดนับตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจ
สำหรับรายงานความยั่งยืนของแกร็บประจำปี 2566 นำเสนอภาพรวมการดำเนินงานที่แกร็บทั่วทั้งภูมิภาค ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมา โดยมีไฮไลท์์สำคัญ ดังนี้
การสร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในสังคม:
- พาร์ตเนอร์คนขับและร้านค้าสามารถสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มแกร็บได้รวมกันมากกกว่า 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.07 แสนล้านบาท) ขณะที่รายได้ต่อชั่วโมงของพาร์ทเนอร์คนขับเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
- ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินโดยให้สินเชื่อพาร์ตเนอร์คนขับและร้านค้าเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.55 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 57% โดย 1 ใน 3 ของพาร์ทเนอร์คนขับทั้งแพลตฟอร์มได้รับสินเชื่อจากแกร็บ
- พัฒนาทักษะและศักยภาพของพาร์ตเนอร์เพื่อเพิ่มโอกาสในการหารายได้ ด้วยการจับมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาหลักสูตรต่างๆ อาทิ หลักสูตรการเงิน การตลาดดิจิทัล การอบรมภาษาอังกฤษ และภาษาจีน รวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า โดยในปี 2566 มีพาร์ตเนอร์คนขับเข้ารับการอบรมออนไลน์ผ่านโครงการ GrabAcademy มากถึง 1.2 ล้านคน
- รักษามาตรฐานด้านความปลอดภัย โดย 99.99% ของเที่ยวเดินทางในการรับส่งผู้โดยสารและบริการเดลิเวอรีปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ขณะที่จำนวนเที่ยวการเดินทางจากให้บริการทั้งสองประเภทเพิ่มขึ้นถึง 11% ในปีที่ผ่านมา
การส่งเสริมและดูแลสิ่งแวดล้อม:
- ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 71,000 ตัน จากการสนับสนุนให้พาร์ตเนอร์คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำหรือเป็นศูนย์ ในการให้บริการ
- สนับสนุนการปลูกต้นไม้กว่า 280,000 ต้น จากการบริจาคเงินของผู้ใช้บริการผ่านฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอนทุกครั้งที่ใช้บริการเรียกรถและเดลิเวอรี
- ลดการใช้ช้อนส้อมพลาสติกไปเป็นจำนวนรวมกว่า 817 ล้านชุด และลดปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวได้มากถึง 7,365 ตัน จากฟีเจอร์งดรับช้อนส้อมพลาสติกและการส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์แบบรีไซเคิลได้
“สำหรับในประเทศไทย แกร็บยังเดินหน้าสานต่อพันธกิจ GrabForGood อย่างต่อเนื่องโดยในปีที่ผ่านมา นอกจากการพัฒนาและปรับแผนธุรกิจให้สอดรับกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปหลังโควิด โดยยังคงเปิดโอกาสให้คนไทยใช้แพลตฟอร์มแกร็บในการสร้างรายได้แล้ว ยังส่งเสริมให้พาร์ตเนอร์คนขับ-ร้านค้าที่มีข้อจำกัดสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน ด้วยการให้สินเชื่อแก่พาร์ตเนอร์กว่า 100,000 ราย ในด้านสิ่งแวดล้อม ยังคงมุ่งผลักดันโครงการ Grab EV โดยผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจเพื่อสนับสนุนให้พาร์ตเนอร์คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันยังเดินหน้าโครงการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการร่วมบริจาคผ่านฟีเจอร์ชดเชยคาร์บอนเมื่อใช้บริการต่าง ๆ ของแกร็บ ซึ่งเฉพาะในปีที่ผ่านมา แกร็บได้นำเงินบริจาคไปซื้อคาร์บอนเครดิต และปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอนได้มากกว่า 150,000 ต้นในจังหวัดกระบี่” วรฉัตร กล่าวเสริม
และเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกที่ผ่านมา แกร็บ ประเทศไทย ยังได้จัดกิจกรรม GrabForGood เพื่อปลุกจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับพนักงาน โดยร่วมกับมูลนิธิเทอร์ราไซเคิล ไทย (TerraCycle Thai Foundation) ชวนพนักงานจิตอาสาไปร่วมเก็บขยะในคลองลาดพร้าว พร้อมเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการและการคัดแยกขยะที่ถูกวิธี โดยสามารถเก็บขยะได้เป็นจำนวนกว่า 1.3 ตัน เพื่อนำมาคัดแยกและรีไซเคิลต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
TMA เผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ไทยอันดับ 25 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ปรับขึ้น 5 อันดับ
คนไทยตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ วันละกว่า 2 แสนคน กองทุนพัฒนาสื่อฯ เดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกัน