Share on
×

Share

วิกฤติโลก-ไทยป่วยหนัก! ‘สมคิด จิรานันตรัตน์’ ชู AI พลิกเกมก่อนจม

ประเทศไทยกำลังเข้าใกล้ภาวะ ‘รัฐล้มเหลว’ คือคำเตือนจาก สมคิด จิรานันตรัตน์ บนเวที The Story Thailand Forum 2025 ที่ชี้ว่าท่ามกลางพายุ 3 ลูกของโลกยุค “Fast and Furious” ประเทศไทยกำลังป่วยหนักจากภายใน และทางรอดเดียวคือต้อง “รื้อบ้านสร้างใหม่” โดยด่วน

ในวาระครบรอบ 5 ปีของ The Story Thailand ซึ่งได้จัดงานสัมมนาใหญ่ The Story Thailand Forum 2025: Sustainability in the Age of AIสมคิด จิรานันตรัตน์” ที่ปรึกษา Arise by INFINITAS และอดีตประธาน KBTG ได้ขึ้นเวทีส่งเสียงเตือนดัง ๆ ไปยังสังคมไทยในหัวข้อบรรยาย “How Thailand Could Survive in the Age of AI” พร้อมนำเสนอแนวทางแก้ไขที่เฉียบคมและตรงไปตรงมา ท่ามกลางความท้าทายที่ถาโถมเข้าใส่ประเทศจากทุกทิศทาง โดยชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ระดับโลกพร้อมกันถึง 3 ลูก ซึ่งอาจทำให้ประเทศเข้าใกล้ภาวะ “Failed State” หากไม่เร่งปรับตัวอย่างเร่งด่วน

โลกในยุค “Fast and Furious” กับ 3 พายุใหญ่ที่ต้องรับมือ

สมคิดเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ภูมิทัศน์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วแบบ “Fast and Furious” ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (World will be more chaotic and dynamic) โลกกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่พร้อมกัน 3 ลูก ได้แก่

  1. วิกฤติสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หากไม่ทำอะไรอย่างจริงจัง ในอีก 10 ปีข้างหน้า อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้น 2-3 องศา ซึ่งอาจทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายจนกรุงเทพฯ อยู่ไม่ได้ และที่น่ากลัวกว่านั้น คือการที่เชื้อราบางประเภทที่เคยอยู่ในร่างกายมนุษย์ไม่ได้เพราะอุณหภูมิสูง จะปรับตัวและก่อให้เกิดโรคระบาดที่ร้ายแรงกว่าโควิดหลายเท่า
  2. การปฏิวัติของ AI (AI Disruption) ที่ไม่ใช่แค่ Digital Disruption ที่ผ่านมา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเปลี่ยนชีวิตผู้คนจากหน้ามือเป็นหลังมือ AI จะสร้าง “มหาอำนาจ AI” (AI Superpower) และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำมหาศาล เพราะประเทศที่สร้าง AI ได้จะมีความสามารถเหนือกว่าประเทศที่ทำได้เพียงซื้อมาใช้ ขณะเดียวกันการพัฒนา AI ที่ต้องใช้พลังประมวลผลและพลังงานมหาศาล ก็กำลังซ้ำเติมปัญหาสภาพภูมิอากาศให้เลวร้ายลง
  3. ระเบียบโลกใหม่ที่ไร้ระเบียบ (New World Disorder) ซึ่งเกิดจากการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน โดยเฉพาะการแย่งชิงความเป็นใหญ่ด้านเทคโนโลยีและ AI สิ่งนี้ผลักดันให้โลกเข้าสู่ยุคชาตินิยมที่แต่ละประเทศมองแต่ประโยชน์ของตนเอง และเพิ่มความเสี่ยงของสงครามอย่างที่เห็นในรัสเซีย-ยูเครน หรือที่น่ากลัวกว่าอย่างอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งแน่นอนว่า AI จะถูกใช้เป็นอาวุธร้ายแรง

“เรือรั่วกลางพายุ”: ส่อง 3 ปัญหากัดกินประเทศไทย

ขณะที่โลกกำลังเผชิญพายุใหญ่ สมคิดได้ชี้ให้เห็นว่าเรือที่ชื่อ “ประเทศไทย” นั้นอยู่ในสภาพที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะกำลังเผชิญกับ Thailand Issues หรือปัญหาเชิงโครงสร้างที่กัดกินประเทศมานาน 3 ประการหลัก ได้แก่ Productivity and efficiency, Corruption, และ Competitiveness โดยเปรียบเปรยว่า “รถเรานี่เก่ามา 40 ปีแล้วนะ คนขับนี่ก็แก่ แถมถังน้ำมันรั่วอีกต่างหาก”

ปัญหาแรกคือ ประสิทธิภาพการผลิต (Productivity and Efficiency) ที่ตกต่ำ นำไปสู่ เศรษฐกิจที่ไม่แข็งแรง จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ โดยในปี 2024 ประเทศไทยมีคนอายุเกิน 60 ปีถึง 20% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 33% ในปี 2040 กลายเป็น สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) ซึ่งจะนำมาสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ค่าใช้จ่ายภาครัฐด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้น และการเติบโตของ GDP ที่ลดลง ปัญหานี้ถูกซ้ำเติมด้วยระบบราชการที่อุ้ยอ้าย แม้จะมีความพยายามสร้าง Digitized Bureaucratic Government แต่ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่ผิวเผิน โดยที่ยังคงมี กระบวนการ (Same processes) ชุดความคิด (Same mindsets) และโครงสร้าง (Same Structures) แบบเดิม ๆ

ปัญหาที่สองซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด คือ ปัญหาคอร์รัปชัน (Corruption) ที่หยั่งรากลึกจนกลายเป็น สังคมที่ไม่แข็งแรง (Unhealthy Society) ประกอบด้วยการเมืองที่ใช้เงินและระบบอุปถัมภ์ ต้นทุนการบริการสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐานที่สูงเกินจริง และความโปร่งใสที่จำกัด สิ่งนี้สะท้อนผ่านดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) ของไทยในปี 2024 ที่ได้คะแนนเพียง 34/100 อยู่ใน อันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก และเป็นอันดับ 6 ในอาเซียน ตามหลังสิงคโปร์ (84), มาเลเซีย (50), ติมอร์-เลสเต (44), เวียดนาม (40) และอินโดนีเซีย (37)

“ปัญหาคอร์รัปชันที่หยั่งรากลึกจนกลายเป็น “วงจรอุบาทว์” ของการซื้อเสียงและซื้อตำแหน่ง ที่นำไปสู่การทุจริตงบประมาณแผ่นดินอย่างมหาศาลการเรียกรับเงินใต้โต๊ะสูงถึง 30-50% ได้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว สิ่งนี้สะท้อนผ่านดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (CPI) ของไทยที่ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย จากอันดับ 99 มาอยู่ที่ 107 จนต้องไปแข่งกับฟิลิปปินส์และลาว และมีคะแนนเหนือกว่าเพียงแค่กัมพูชาและพม่าเท่านั้น”

ปัญหาประการสุดท้ายคือ ความสามารถทางการแข่งขัน (Competitiveness) ของประเทศที่ถดถอยลงอย่างน่าเป็นห่วง มีรากฐานมาจากระบบการศึกษาที่ล้มเหลว เห็นได้จากคะแนน PISA ของเด็กไทยต่ำลงทุกปีในทุกด้าน ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่าน และความคิดสร้างสรรค์ แม้กระทั่งคะแนนภาษาอังกฤษยังด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ประกอบกับระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ที่ไม่เอื้อให้คนเก่งสามารถเติบโตและสร้างธุรกิจระดับโลกได้ ประเทศไทยขาดระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ที่จะสร้างคนเก่งระดับโลกได้อย่าง “อเล็กซานเดอร์ หวัง” แห่ง Scale AI ที่เติบโตจากระบบของ Y Combinator ในสหรัฐอเมริกา

“เราต้องรื้อบ้าน สร้างบรรยากาศใหม่ สร้างความน่าสนใจใหม่ ๆ ด้วยคนที่มีความสามารถและออกแบบเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพราะโลกอนาคตจะไม่มีที่ยืนมากพอสำหรับคนอ่อนด้อยและคนที่อยู่กับที่ แต่จะมีช่องโอกาสเหลือไว้สำหรับคนที่จะสามารถไขว่คว้าเท่านั้น”

“ต้องรื้อบ้านสร้างใหม่”: เมื่อโลกไม่มีที่ยืนให้คนอยู่กับที่

อย่างไรก็ตาม สมคิดยังเชื่อว่าประเทศไทยยังมี “ช่องโอกาส” ที่จะรอดพ้นวิกฤติไปได้ หากกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคน ผ่าน “AI in Actions” โดยได้เสนอพิมพ์เขียวทางรอดที่ต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาพื้นฐานให้สิ้นซาก นั่นคือการสร้าง เศรษฐกิจดิจิทัลที่สมบูรณ์ (Digital Economy) ซึ่งประกอบด้วย Digital ID, Digital Money, Digital Paper และ Digital Asset โดยต้องผลักดันสังคมไร้เงินสดอย่างจริงจังเพื่อทำลายเครื่องมือของธุรกิจสีเทาและการคอร์รัปชัน

ขณะเดียวกันต้องปฏิรูปภาครัฐครั้งใหญ่ให้เป็น “Autonomous Digital World” ลดขนาดองค์กรลงครึ่งหนึ่งใน 5 ปี และใช้เทคโนโลยีทำงานแทน และที่สำคัญที่สุดคือพลังของประชาชนที่ต้องลุกขึ้นมาไม่ยอมรับการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง

“ที่สำคัญที่สุดคือพลังของประชาชนที่ต้องลุกขึ้นมาส่งเสียงว่า ‘กูไม่เอาโว้ย’ กับการคอร์รัปชัน”

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยต้องเร่งสร้างความสามารถในการแข่งขันขึ้นมาใหม่ สมคิดเสนอแนวคิดที่น่าสนใจในการปฏิวัติการศึกษาด้วย AI โดยใช้ AI เป็น “พ่อแม่” หรือ “ครูส่วนตัว” ให้กับเด็กไทยทุกคน เพื่อยกระดับทักษะ เหมือนกรณีที่เด็กสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีเพราะฝึกกับพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก และที่สำคัญคือต้องสอนวิธีคิดนอกกรอบ ควบคู่ไปกับการ สร้างระบบนิเวศสำหรับคนเก่ง (World Class Ecosystem) โดยรัฐหรือทุนใหญ่ต้องกล้าลงทุนเฟ้นหาคนไทยหัวกะทิ และสนับสนุนให้พวกเขาสร้างธุรกิจจากที่ใดก็ได้ในโลก ไม่ว่าจะเป็น Silicon Valley หรือ London เพื่อให้ได้สัมผัสกับวิธีคิดระดับโลกอย่างแท้จริง 

“ถ้าผมมีเงินสักหมื่นล้านเนี่ย ผมคิดว่าผมสร้างได้” สมคิดกล่าว

ทั้งหมดนี้คือ เสียงเตือนที่ทรงพลังและเปี่ยมด้วยรายละเอียดที่ชี้ทางสว่างว่าการจะอยู่รอดและแข่งขันได้ในโลกยุคใหม่นั้น ประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนและลงมือทำอย่างเร่งด่วนที่สุด

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ทางรอดธุรกิจไทยยุค AI: พ้นกับดัก ‘ผู้บริโภค’ สู่การใช้เป็น ‘ทรัพยากร’

ZUPPORTS สตาร์ตอัพจากรั้ว SCG กับภารกิจพลิกโลกโลจิสติกส์

บีคอน วีซี-กรมลดโลกร้อน-GGGI เปิดตัวคู่มือสำหรับสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศ

×

Share

ผู้เขียน