หลังจากทีมไทยแลนด์ยกคณะไปถึงสหรัฐรอบแรก สอบตกไม่เป็นท่ากลับมามือเปล่า เมื่อโดนัล ทรัมป์ ยืนยันเก็บภาษีไทยสินค้าของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐอัตรา 36% สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากลาว และพม่าทีเสีย 40% ทั้งที่จ้างล็อบบี้ยีสต์ช่วยดำเนินการเกือบ 200 ล้านบาท แทบไม่มีความหมาย
อันที่จริง ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณเตือนประเทศคู่ค้ากับสหรัฐล่วงหน้านานกว่า 7 เดือน ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่งที่ทำเนียบขาวปลายเดือนมกราคม ตอนนั้นรัฐบาลไทยอาจจะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ อีกทั้ง นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้ลงมาแอ๊คชันเอง โดยมอบหมายให้ ”พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯและรัฐมนตรีคลังทำหน้าที่หัวหน้าทีมเจรจา ขณะที่ผู้นำประเทศอื่น ๆ ลงมานำทีมด้วยตัวเองอย่างกระตือรือร้น จึงไม่แปลกใจที่รัฐมนตรีคลังของสหรัฐไม่ยอมให้ทีมไทยแลนด์เข้าพบ
ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจก็ไม่ได้เข้าร่วมหารือ แต่ทีมทำงานใช้วิธีคุยกันทางโทรศัพท์แทน ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มีความสำคัญอย่างมาก ในทีมไทยแลนด์จะมีเพียงข้าราชการจากหน่วยงานเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจเท่านั้น ทำให้รอบใหม่นี้ ”ทักษิณ ชินวัตร” ลงมาคุมเกมเอง
เพื่อให้เกิดความแฟร์ สาเหตุที่สหรัฐตั้งกำแพงภาษีกีดกันสินค้าไทยรอบนี้สูงกว่าหลาย ๆ ประเทศ ต้องย้อนไปดูความเป็นมาในอดีต โดยสหรัฐมองว่าที่ผ่านมาถูกไทยเอาเปรียบด้วยมาตรการกีดกันต่าง ๆ ทั้งมาตรการภาษีศุลกากร และ มาตรการไม่ใช่ภาษี เช่น การจำกัดการนำเข้าสินค้าเกษตร มาตรการสาธารณสุข ข้ออ้างปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ กลายเป็นอุปสรรคของสินค้าจากสหรัฐส่งออกมายังไทย ทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐอย่างต่อเนื่อง เป็นปัญหาสะสมที่มีมานาน
นอกจากนี้ยังมี ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ และข้อจำกัดด้านการลงทุน โดยที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ไทยปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมถึงเปิดตลาดการค้าให้มากขึ้น แต่ไทยไม่กระตือรือร้นและเพิกเฉยมาตลอด
รอบใหม่นี้ไทยยังมีลุ้น โดยจะต้องยื่นข้อเสนอให้ทันก่อนวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ซึ่งก็เหลือไม่กี่วัน รายละเอียดที่จะยื่นคงต้องยอมตามที่สหรัฐต้องการแบบไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คือเตรียมยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ หรือไม่เก็บภาษีในสัดส่วน 90% ของสินค้าสหรัฐทั้งหมด จากเดิมกว่า 60% และกำจัดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีครอบคลุมสินค้าสหรัฐประมาณ 10,000 รายการ รวมถึงการยกเว้นภาษีสำหรับบริการดิจิทัลของสหรัฐ ที่ดำเนินการในประเทศไทย หรือให้บริการลูกค้าชาวไทย
นอกจากนี้ มีแนวโน้มว่าไทยจะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว ซื้อเครื่องบินของบริษัทโบอิ้ง และผลิตภัณฑ์อาหารและเกษตรกรรมสำคัญของสหรัฐมากขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงข้าวโพด ถั่วเหลือง และข้าวบาร์เลย์ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นฐานเสียงของโดนัล ทรัมป์ อีกด้วย
ข้อเสนอใหม่ จะส่งผลให้มูลค่าการเกินดุลการค้าของประเทศไทยที่มีต่อสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันที่ 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะลดลงได้ถึง 70% ใช้ระยะเวลาภายใน 3 ปี นอกจากนี้ จะทำให้เกิดการสมดุลการค้าของทั้งสองประเทศเร็วขึ้นกว่าเดิม
รอบใหม่นี้ทางทีมไทยแลนด์ตั้งความหวังลึก ๆ ว่าภาษีอาจจะลดลงจาก 36% เหลือ 18-20% เท่ากับอินโดฯ และเวียดนาม ทีเป็นคู่แข่งโดยตรง
แต่ความหวังก็ค่อนข้างริบหรี่ แม้รอบนี้จะยื่นเงื่อนไขแบบเปิดกว้างอ้าซ่าก็ตาม เพราะมีเวลาเหลือไม่กี่วันทีมไทยแลนด์ต้องทำงานแข่งกับเวลา และยังต้องแข่งกับประเทศที่ยื่นข้อเสนอใหม่เกือบ 100 ประเทศที่ต่อคิวรอยาวเหยียด ด้วยเงื่อนไขดังกล่าวมีความเป็นไปได้ว่า สหรัฐอาจจะไม่มีการพิจาณาแต่จะยืนอัตราเดิมไปก่อน
ถ้าสหรัฐไม่ลดภาษีให้ไทยต่ำกว่า 36% หรือใกล้เคียงกับเวียดนามที่เป็นคู่แข่งโดยตรงได้ อาจจะเรียกว่าเป็นหายนะเศรษฐกิจไทยเลยทีเดียว ซึ่งทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยก็กำลังเข้าขั้นวิกฤติอยู่แล้วจะหนักกว่าเดิม การส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้รับผลกระทบแน่ๆ อาจจึงขั้นต้องติดลบ
โดยผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า หากไทยเสียภาษี 36% ครึ่งปีหลังของปี 68 ส่งออกไทยจะติดลบ 4% และในปี 69 จะติดลบ 2% ทำให้สูญเสียรายได้มหาศาล เฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ของไทยมีสัดส่วน 18% ของจีดีพี หากเป็นเช่นนี้ คาดว่าจีดีพีอาจหดตัวลงอย่างน้อย 1% หรืออาจจะติดลบ เช่นเดียวกัน
สำหรับสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯมากที่สุด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ และยาง หากถูกตั้งภาษีสูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามและ อินโดนีเซีย ไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างรุนแรง
ต้องบอกตรง ๆ ว่างานนี้เหนื่อย ไทยมีทางเลือกไม่มาก ความเสียหายไม่เฉพาะเรื่องส่งออกยังจะรวมไปถึงเรื่องการลงทุน ทุกวันนี้นักลงทุนต่างชาติเวลาพิจาณาว่าจะลงทุนที่ไหน ส่วนใหญ่จะไปลงทุนในเวียดนามและอินโดนีเซียก่อนจะพิจารณาเลือกไทย แต่หลังจากวันที่ 1สิงหาคม หากไทยต้องเสียภาษี 36% นักลงทุนย่อมจะเลือกไปลงทุนในเวียดนาม กับอินโดนีเซียแน่ๆมิหนำซ้ำยังจะถูกมาเลเซียซึ่งเสียภาษี 25% ต่ำกว่าไทยแซง ถึงตอนนั้นไทยคงหลุดวงโคจรของประเทศที่น่าลงทุนไปอย่างน่าเสียดาย
ผลกระทบเป็นลูกโซ่อย่างรุนแรง ทั้งอุตสาหกรรม แรงงาน การลงทุน ครั้งนี้ มีการประเมินความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1.2ล้านบาท แต่ถ้าเรายอมมอบราบ ด้วยการยกเว้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯทั้งหมด สูญเสียรายได้จากภาษีเพียง 35,900 ล้านบาท/ปี กระทบกับรายได้รัฐเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะอัตราภาษีนำเข้าหลายรายการก็ไม่ได้สูงมากนัก จึงมีโอกาสสูงมากที่เราจะยอมเปิดกว้างเหมือนเวียดนามและอินโดฯ แต่จะได้รับการพิจารณามากน้อยแค่ไหนคงต้องรอผลอีกไม่กี่วันข้างหน้า
อย่าลืมว่าไทยในสายตาสหรัฐไม่ใช่แค่เรื่องการค้า ยังมีปัญหาการเมืองภายใน จุดยืนระหว่างไทยกับจีน รวมถึงการที่จีนเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกไปสหรัฐ ปัญหาสิทธิมนุษยชน งานนี้หนักกว่าที่คิดจริง ๆ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
‘เศรษฐกิจ-การเมืองไทย’ ไร้แสงสว่างปลายอุโมงค์
‘Entertainment Complex’ เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่…หรือฮับสีเทา