Share on
×

Share

‘AI for Thai V2’ พลิกโฉมจากบริการฟรีสู่ ‘ตลาดกลาง AI’ แห่งแรกของไทย

เบื้องหลัง AI for Thai V2 เบื้องหลังแพลตฟอร์ม AI สัญชาติไทยที่ให้บริการคนทั้งประเทศมานานหลายปี คือเรื่องราวการต่อสู้ทางวิศวกรรมที่เริ่มต้นจากโจทย์ง่าย ๆ ของผู้บริหารเมื่อ 10 ปีก่อน สู่การวางสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนเพื่อ “สร้างตลาดกลาง AI” แห่งแรกของไทย

ชาญชัย จันฤาชัย วิศวกรผู้ดูแลแพลตฟอร์ม AIFORTHAI ฝ่ายสนับสนุนบริการทางวิศวกรรมและเทคโนโลยี จากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมผู้บุกเบิกแพลตฟอร์ม ที่ได้มาเล่าภาพความท้าทายตั้งแต่การเอาชนะข้อจำกัดของระบบราชการ การเลือกเทคโนโลยีที่ใช่ในวันที่ตัวเลือกมีจำกัด จนถึงการออกแบบเวอร์ชัน 2 ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าจาก “ผู้ให้บริการฟรี” สู่การเป็น “ตลาดกลาง” ที่เปิดให้ทุกคนเข้ามาซื้อขาย API ได้อย่างเสรี

จุดเริ่มต้น: เมื่อ “งานวิจัยชั้นดี” ถูกขังด้วย “ระเบียบราชการ”

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ปัญหาใหญ่ของเนคเทคไม่ใช่การขาดแคลนเทคโนโลยี แต่คือการนำเทคโนโลยีเหล่านั้นออกไปให้ประชาชนใช้งานจริง “การจะนำงานวิจัยของเนคเทคไปใช้มันลำบากมาก ต้องทำหนังสือมาขอ ต้องเดินเรื่องเอกสาร ดีไม่ดีก็ขอไม่ผ่าน ยิ่งถ้าจะซื้อขาย (Licensing) ก็จะติดปัญหาระบบการเงินราชการที่ซับซ้อน” ชาญชัย กล่าว

โจทย์ที่ได้รับจากผู้บริหารจึงชัดเจนแต่ท้าทายอย่างยิ่ง นั่นคือ “ทำอย่างไรให้คนทั่วไปได้ใช้งานวิจัยของเราได้ง่าย ๆ โดยไม่ผิดกฎระเบียบ” คำตอบในยุคนั้นคือการสร้าง “เว็บเซอร์วิส” หรือ API ที่นักพัฒนาสามารถเรียกใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทันที เพื่อเลี่ยงกระบวนการติดตั้งและซื้อขายที่ยุ่งยาก แต่ภารกิจนี้ก็ต้องเผชิญกับสองโจทย์ใหญ่ทางวิศวกรรม คือ 1) ทำอย่างไรให้ระบบล่มยากที่สุด และ 2) ทำอย่างไรให้รองรับผู้ใช้งานได้มากที่สุด ภายใต้งบประมาณที่จำกัดของหน่วยงานรัฐ

จากโจทย์ดังกล่าว ภารกิจในการสร้างแพลตฟอร์มกลางจึงเริ่มต้นขึ้น ทว่าหนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทีมงานต้องเผชิญกับความท้าทายทางวิศวกรรมที่ซับซ้อนภายใต้งบประมาณและทรัพยากรของหน่วยงานรัฐที่จำกัด การเดินทางเพื่อเฟ้นหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดจึงเปรียบเสมือนการต่อจิ๊กซอว์ครั้งสำคัญ เพื่อสร้างรากฐานของระบบที่ไม่เพียงแต่ต้องตอบโจทย์ในวันนี้ แต่ต้องแข็งแกร่งพอที่จะรองรับอนาคตได้

การเดินทางทางเทคโนโลยีของเวอร์ชัน 1: จากศูนย์สู่แพลตฟอร์มที่ “ตายยาก”

ในยุคที่เทคโนโลยียังไม่เฟื่องฟูเท่าปัจจุบัน ทีมงานต้องผ่านการค้นคว้าและทดลองอย่างหนักเพื่อหาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมที่สุด โดยพบว่าเทคโนโลยี Virtual Machine (VM) ในยุคนั้นกินทรัพยากรสูงเกินไปและไม่ตอบโจทย์สำหรับโครงการที่มีงบจำกัด ขณะที่ OpenShift แม้จะน่าสนใจ แต่ก็ยังไม่ยืดหยุ่นพอที่จะรองรับ “งานวิจัย” ที่มีความเฉพาะตัวสูงได้ จนกระทั่งการมาถึงของ Docker ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เทคโนโลยีนี้ทำให้ทีมสามารถแยกแต่ละเซอร์วิสออกจากกันในรูปแบบของคอนเทนเนอร์ที่ใช้ทรัพยากรน้อยมาก ซึ่งแก้ปัญหาได้ทั้งในแง่ของงบประมาณและความหลากหลายของงานวิจัย

นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้ต้องเข้าไปยุ่งกับโค้ดของนักวิจัยโดยตรง ทีมได้นำ API Gateway มาใช้เป็นหัวใจของการควบคุม ทำหน้าที่เป็นตัวกลางจัดการทุกอย่าง ตั้งแต่การยืนยันตัวตนไปจนถึงการจำกัดปริมาณการใช้งาน

“นักวิจัยเขาสนใจแค่ว่าความแม่นยำ (Accuracy) ของเขาดีเท่าในเปเปอร์ไหม แต่เวลาเอาไปใช้จริง ถ้าคนเรียกเยอะ ๆ แล้วระบบล่ม คนก็จะตำหนิ หน้าที่ของผมคือทำอย่างไรให้ซอฟต์แวร์ของนักวิจัยรับโหลดได้เยอะภายใต้ทรัพยากรที่เรามี” ชาญชัย กล่าว

ความสำเร็จในการสร้างแพลตฟอร์มเวอร์ชัน 1 ที่มีเสถียรภาพและเข้าถึงง่าย ได้กลายเป็นดาบสองคมอย่างรวดเร็ว เมื่อความต้องการใช้งานจากภาคเอกชนและนักพัฒนาอิสระพุ่งสูงขึ้นจนเกินกว่าโควต้าที่ระบบให้บริการฟรีจะรองรับไหว เสียงเรียกร้องที่ต้องการใช้งานมากขึ้นและยินดีที่จะจ่ายค่าบริการ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ทีมงานต้องคิดการณ์ใหญ่ไปอีกขั้น นี่ไม่ใช่แค่วิกฤติด้านทรัพยากร แต่เป็นโอกาสทองในการยกระดับแพลตฟอร์มจากแค่ “บริการของรัฐ” ไปสู่ “ระบบนิเวศเชิงพาณิชย์” ที่จะขับเคลื่อนวงการ AI ของประเทศอย่างแท้จริง

กำเนิดเวอร์ชัน 2: จาก “ผู้ให้บริการ” สู่ “ตลาดกลาง AI” (AI Marketplace)

ความสำเร็จของเวอร์ชัน 1 ที่ให้บริการฟรีทั้งหมดนำมาสู่ความท้าทายใหม่ ผู้ใช้งานจำนวนมากต้องการใช้งานเกินกว่าโควต้าที่จำกัดและพร้อมที่จะจ่ายเงิน แต่ระบบการเงินของหน่วยงานรัฐในขณะนั้นยังไม่เอื้ออำนวย นี่จึงเป็นจุดกำเนิดของ AI for Thai เวอร์ชัน 2 ที่มีเป้าหมายหลักคือการสร้างระบบให้ผู้ใช้สามารถจ่ายเงินเพื่อซื้อบริการเพิ่มได้ และที่สำคัญคือการ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาภายนอกสามารถนำ API ของตนเองมาฝากวางเพื่อขายบนแพลตฟอร์มได้

เปรียบเสมือนการเปลี่ยน AI for Thai ให้กลายเป็น “เซเว่นอีเลฟเว่นของวงการ API” โดยมีฟีเจอร์สำคัญที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกฝ่าย เริ่มจากการเปิดบทบาทใหม่ที่เรียกว่า Provider ให้นักพัฒนาทั่วไปสามารถนำ API ของตนเองมาวางขายหรือให้บริการฟรีได้ รองรับด้วยระบบจ่ายเงินที่ยืดหยุ่น ซึ่งใช้การเติมเงินแบบ Pre-paid ผ่าน QR Code เพื่อเปลี่ยนเป็น “โทเคน” สำหรับใช้จ่ายค่าบริการ อันเป็นโมเดลที่สอดคล้องกับข้อบังคับของหน่วยงานรัฐ

นอกจากนี้ ยังมีโมเดลธุรกิจที่หลากหลายให้ Provider สามารถเลือกได้ว่าจะให้ AI for Thai โฮสต์เซอร์วิสให้ หรือจะโฮสต์บนคลาวด์ของตัวเองแล้วเชื่อมต่อเข้ามาพร้อมนโยบายที่เป็นธรรมที่ระบบจะไม่คิดค่าบริการหากเกิดข้อผิดพลาดฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (Error 500) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน และที่สำคัญคือระบบ Billing ถูกออกแบบมาให้ รองรับอนาคต สามารถคิดค่าบริการได้ทั้งแบบ “ต่อ Request” สำหรับ API ทั่วไป และแบบ “ต่อ Token” สำหรับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) โดยเฉพาะ

แม้ว่าปัจจุบันเวอร์ชัน 2 จะยังอยู่ในช่วง Soft Launch เพื่อรอให้กระบวนการด้านการเงินขององค์กรมีความชัดเจนอย่างสมบูรณ์ แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ AI for Thai จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงเครื่องมือภายในเพื่อแก้ปัญหาของหน่วยงาน สู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างระบบนิเวศและตลาดกลางด้านปัญญาประดิษฐ์ที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในอนาคต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

10 ปี NETPIE: จากโปรเจกต์ใต้ดิน สู่พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล

จากไร่อ้อยถึงอวกาศ: เมื่อ AI คือ ‘ทางรอด’ ไม่ใช่ทางเลือกของอุตสาหกรรมไทย

‘ยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ’ การเงิน-สุขภาพ ดันไทยสู่ผู้นำอาเซียน

×

Share

ผู้เขียน