อุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เมื่อ Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิ่งระดับโลก เปิดเผยรายงานผลกระทบ (Impact Report) ฉบับแรกในประเทศไทย โดยรายงานฉบับใหม่นี้เผยว่า ระหว่างปี 2564 ถึง 2567 เน็ตฟลิกซ์ได้ลงทุนในคอนเทนต์ไทยรวมกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.4 พันล้านบาท ที่อัตราแลกเปลี่ยน 37 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) ส่งผลให้เกิดผลงานซีรีส์และภาพยนตร์ออริจินัลของไทยมากกว่า 20 เรื่อง พร้อมสร้างงานกว่า 13,500 ตำแหน่ง ครอบคลุมหลากหลายบทบาทในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย
การลงทุนนี้ไม่เพียงสร้างงานโดยตรง แต่ยังก่อให้เกิด “ผลกระทบต่อเนื่อง” (Spillover Effect) ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องได้สูงเกือบ 2 เท่าตัว ตอกย้ำถึงศักยภาพของคอนเทนต์ไทยในการเป็นฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริม Soft Power ของประเทศบนเวทีโลก
การลงทุนครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเติบโตของอุตสาหกรรมบันเทิงและสื่อของไทยซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 6 แสนล้านบาท โดยอุตสาหกรรมคอนเทนต์มีสัดส่วนราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศคือ นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการคืนเงิน (Cash Rebate) 30% ที่ทำให้กองถ่ายทำจากต่างประเทศเข้ามาในไทย สร้างเม็ดเงินสะพัดในปีที่แล้วสูงถึง 6,600 ล้านบาท
ดร.ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA กล่าวว่า “การลงทุนของ Netflix ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเลข 200 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่จากการศึกษาของเราพบว่ามันสามารถส่งต่อมูลค่าเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้เกือบ 2 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมาก”
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนผ่านความสำเร็จของคอนเทนต์ไทยหลายเรื่องที่สร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น “Hunger คนหิว เกมกระหาย” ที่ส่งให้นักแสดงไทยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล International Emmy Awards เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์, “DELETE” ที่ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 บนชาร์ตผู้ชมทั่วโลกนานหลายสัปดาห์, และล่าสุดอย่าง “Ready, Set, Love เกมชนคนโสด” ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
มาโลบิกา (เมล) บาเนอร์จี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายคอนเทนต์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน็ตฟลิกซ์ กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหัวใจสำคัญของความทะเยอทะยานในการเล่าเรื่องของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราไม่ได้มองไทยเป็นเพียงแค่ฉากหลังที่สวยงาม แต่เป็นบ่อน้ำแห่งความคิดสร้างสรรค์และเรื่องราวท้องถิ่นที่คู่ควรกับเวทีระดับโลก”
หัวใจสำคัญของความสำเร็จนี้อยู่ที่การยึดมั่นในกลยุทธ์ “เรื่องราวที่สร้างโดยคนไทย เพื่อคนไทย” ซึ่งได้รับการยืนยันจากมุมมองของคนทำงานจริงอย่าง ปราบดา หยุ่น โปรดิวเซอร์และนักเขียนบทจาก Bangkok Breaking: ฝ่านรกเมืองเทวดา และดาหลา บุปผา ฆาตกรรม ที่กล่าวว่า “ภาพยนตร์และซีรีส์ไทยไม่ได้เป็นเพียงสื่อเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นหน้าต่างสู่วัฒนธรรม ทัศนคติ และวิธีการเล่าเรื่องแบบคนไทย ผลงานออริจินัลที่เราผลิตร่วมกับเน็ตฟลิกซ์ช่วยสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย พร้อมกับส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยสู่ระดับสากล เมื่อเราผลิตคอนเทนต์ที่สะท้อนความเป็นไทยอย่างแท้จริง เรื่องราวเหล่านี้จะสามารถสร้างความผูกพันให้กับผู้ชมชาวไทยอย่างลึกซึ้ง พร้อมทั้งดึงดูดผู้ชมจากทั่วโลกอีกด้วย”
“Netflix Effect” ไม่ใช่แค่เรื่องบนจอ: จากแรงบันดาลใจสู่มูลค่าเศรษฐกิจและ Soft Power
ผลกระทบจากการลงทุนของ Netflix ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอุตสาหกรรมบันเทิงเท่านั้น แต่ยังขยายวงกว้างไปสู่ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในมิติอื่น ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Netflix Effect” ที่ซึ่งเรื่องราวบนจอภาพยนตร์และซีรีส์ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทรงพลังและจับต้องได้
เมล บาเนอร์จี ได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า “เมื่อผู้ชมตกหลุมรักสถานที่ที่เห็นบนจอ พวกเขาก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะมาเยี่ยมเยือน นำมาซึ่งพลังงานใหม่ ๆ และโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่น”
รายงานฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่าคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับประเทศไทยมีส่วนกระตุ้นการท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักได้อย่างไร เช่น สืบสันดาน ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชม Chateau De Khaoyai ในจังหวัดนครราชสีมา, สาธุ กระตุ้นความสนใจในวัดสำปะซิว จังหวัดสุพรรณบุรี และถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง ทำให้ถ้ำหลวงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม คอนเทนต์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวท้องถิ่นเหล่านี้ช่วยให้สถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักของไทยเป็นที่รู้จักในระดับโลก พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบาย Amazing Thailand Grand Tourism and Sports 2025 ของรัฐบาลไทย ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้แก่นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนจุดหมายปลายทางที่น้อยคนมักรู้จักของไทย
ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบยังขยายผลไปสู่การกระตุ้นความต้องการ “อยากซื้อของไทย” และในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า คือบทบาทในการเป็นเครื่องมือ ทางการทูตวัฒนธรรม (Cultural Diplomacy) และการสร้าง Soft Power ให้กับประเทศ คอนเทนต์แต่ละเรื่องจึงเปรียบเสมือน “ทูต” ที่นำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ ๆ ของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก
สร้างคนเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน: การลงทุนที่สอดคล้องกับนโยบายชาติ
นอกจากการลงทุนด้านคอนเทนต์แล้ว เน็ตฟลิกซ์ยังทุ่มเทให้กับการพัฒนาบุคลากรซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตที่ยั่งยืน โดยในปี 2566 ได้เปิดตัวโครงการ Reel Life Camp ซึ่งเป็นการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์และสื่อโทรทัศน์รุ่นใหม่กว่า 145 คน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอาชีพในวงการบันเทิง ผ่านเวิร์กช็อปกับผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีประสบการณ์ ครอบคลุมการเรียนรู้ด้านการบริหารกองถ่าย การจัดการงบประมาณ และการควบคุมดูแลขั้นตอนหลังการถ่ายทำ
ขณะเดียวกัน ทีมงานโปรดักชันในประเทศไทยของเน็ตฟลิกซ์ยังได้จัดโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านเทคนิคของบุคลากรด้านโปรดักชันที่มีประสบการณ์แล้วมากกว่า 500 คน ครอบคลุมทั้งผู้ลำดับภาพ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอฟเฟ็กต์ภาพ (VFX) และผู้จัดการข้อมูลในกองถ่าย
การลงทุนของเน็ตฟลิกซ์กับบุคลากรไทยตามที่ระบุในรายงานนี้ ยังสอดคล้องกับ นโยบาย One-Family-One-Soft Power (OFOS) ของรัฐบาลไทย อีกทั้งยังสนับสนุนเป้าหมายของประเทศในการสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่งและสร้างรายได้กว่า 4 ล้านล้านบาท ซึ่งมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเติบโตและยกระดับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยสู่เวทีโลกอย่างเป็นรูปธรรม
การเดินทางของ Netflix ในประเทศไทย ซึ่งกำลังจะครบรอบ 10 ปีในปีหน้า พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อการลงทุนที่หนักแน่นมาพบกับความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัดและนโยบายที่ส่งเสริมอย่างถูกทิศทาง ผลลัพธ์ที่ได้คือ พลังที่สามารถขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชาติให้ก้าวไกลไปบนเวทีโลกได้อย่างน่าภาคภูมิใจ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เจาะกลยุทธ์ SHOPGENIX สร้างยอดขาย 7 พันล้านบน TikTok Shop ได้อย่างไร
‘รามาธิบดีโมเดล’ ขับเคลื่อนอนาคตการแพทย์ด้วย AI, Data และความร่วมมือ