Share on
×

Share

Netflix ชี้ไทยมีศักยภาพเป็น ‘ฮับคอนเทนต์’ แห่งเอเชีย

ในยุคที่ภูมิทัศน์สื่อบันเทิงโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและท้าทายที่สุดครั้งหนึ่ง การลงทุนมูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,300 ล้านบาท ที่อัตราแลกเปลี่ยน 36.5 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) จาก Netflix ที่สร้างงานให้คนในอุตสาหกรรมกว่า 13,500 ตำแหน่ง และยอดการรับชมคอนเทนต์ไทยที่พุ่งสูงถึง 750 ล้านชั่วโมงทั่วโลกในปี 2024 เพียงปีเดียว คือสัญญาณที่ชัดเจนว่า “เรื่องเล่าจากประเทศไทย” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศอีกต่อไป แต่กำลังก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีโลกอย่างเต็มภาคภูมิ

เวทีเสวนาที่รวบรวมบุคคลสำคัญจากสามภาคส่วน ได้แก่ รูเบน ฮัตตาริ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเน็ตฟลิกซ์, ดร.ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) และ ปราบดา หยุ่น โปรดิวเซอร์/นักเขียนบท จาก Bangkok Breaking และ ดาหลา บุปผา ฆาตกรรม ได้ฉายภาพอนาคตของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยไว้อย่างน่าสนใจ ตั้งแต่โอกาส ความท้าทาย ไปจนถึงสูตรสำเร็จในการสร้างสรรค์ผลงานที่ครองใจผู้ชมทั้งในและต่างประเทศ

ภูมิทัศน์ใหม่: เมื่อโอกาสมาพร้อมความท้าทายที่ใหญ่ขึ้น

การเข้ามาของแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งได้สร้างแรงสั่นสะเทือนและพลิกโฉมอุตสาหกรรมคอนเทนต์อย่างสิ้นเชิง ดร.ชาคริต ชี้ว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือ “การที่ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์” ซึ่งเป็นการ disrupt อุตสาหกรรมในภาพรวม และสร้างโจทย์ใหม่ที่ทุกฝ่ายต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้คน

ในมุมมองของคนทำงานสร้างสรรค์ ปราบดา หยุ่น สะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า “โลกของอุตสาหกรรมบันเทิงมันแคบลงมาก ทุกคนสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้ค่อนข้างทัดเทียมกัน”

การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทลายกำแพงเก่า ๆ ที่เคยมีอยู่ เส้นแบ่งระหว่างผู้ชมภาพยนตร์ในโรงและผู้ชมซีรีส์ทางบ้านค่อย ๆ เลือนหายไป ขณะที่มาตรฐานและคุณภาพของงานผลิตก็ถูกยกระดับจนแทบไม่ต่างกัน ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทัศนคติของผู้ชมในประเทศเองก็เปลี่ยนไป

“เรารู้สึกว่าคนดูพร้อมที่จะเปิดรับคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่มาจากครีเอเตอร์ไทยเองด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดความกล้าในการสร้างสรรค์”

สิ่งนี้ได้เปิด “สนาม” ที่กว้างใหญ่และน่าตื่นเต้นให้กับครีเอเตอร์ไทยได้ทดลองไอเดียใหม่ ๆ ที่ในอดีตอาจเป็นไปได้ยาก เช่น ภาพยนตร์เกี่ยวกับการแข่งขันแกะสลักหิมะ ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่ไม่เคยถูกสร้างมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสที่เปิดกว้างนี้ก็มาพร้อมกับการแข่งขันที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

“ความท้าทายก็สูงขึ้นเพราะการแข่งขันก็สูงขึ้น” ปราบดา หยุ่น ยอมรับ

โลกที่ไร้พรมแดนกลายเป็นเหมือนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ แต่ก็หนาแน่นไปด้วยผู้เล่นจากทั่วทุกมุมโลก ผู้ชมมีทางเลือกมหาศาล ความท้าทายนี้ส่งผลโดยตรงต่อคนทำงาน ที่ต้องทำงานหนักขึ้นไม่ใช่แค่ในเชิงการผลิต แต่รวมถึงการศึกษาคู่แข่งและตามให้ทันเทรนด์โลก

“ถึงแม้จะชื่นชอบ Netflix ขนาดไหน ผมก็ยังต้องเป็นสมาชิกของที่อื่น ๆ ไปด้วย เพื่อการทำงานและเพื่อ Reference” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น การคาดเดาว่าผลงานชิ้นหนึ่งจะประสบความสำเร็จและเข้าถึงผู้ชมได้มากน้อยเพียงใดกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งขึ้น

ดังนั้น นี่จึงเป็นยุคสมัยแห่งดาบสองคมที่เต็มไปด้วยอิสระในการสร้างสรรค์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ก็เรียกร้องให้ผู้สร้างต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสร้างผลงานที่โดดเด่นและแตกต่าง ท่ามกลางสมรภูมิคอนเทนต์ที่ดุเดือด นับเป็นช่วงเวลาที่ “สนุกและท้าทาย” อย่างแท้จริงสำหรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย

สูตรสำเร็จของ Netflix: “Local, Local, Local” คือหัวใจ

ท่ามกลางมหาสมุทรคอนเทนต์ที่ไร้พรมแดน อะไรคือเข็มทิศที่นำทางการลงทุนและการสร้างสรรค์ของ Netflix ในประเทศไทย? รูเบน ฮัตตาริ เผยว่า กุญแจสู่ความสำเร็จไม่ว่าจะในตลาดใดก็ตาม คือความมุ่งมั่นในการลงทุนกับคอนเทนต์ท้องถิ่น ภายใต้มนต์คาถาที่ยึดถือเป็น “ดาวเหนือ” หรือหลักการสำคัญ นั่นคือ “Local, Local, Local”

เขาขยายความถึงปรัชญาการทำงานที่ว่า “ถ้าคุณผลิตคอนเทนต์สำหรับทุกคน คุณอาจจะไม่ได้สร้างความบันเทิงให้ใครเลย” Netflix เชื่อว่าหัวใจสำคัญคือการสร้างสรรค์ผลงานที่สามารถเชื่อมโยงและมีความเกี่ยวข้องกับผู้ชมในท้องถิ่นเป็นอันดับแรก โดยต้องมั่นใจว่าเรื่องราวนั้นมีความจริงแท้ (Authentic) และสะท้อนบริบทของสังคมและวัฒนธรรมนั้น ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง

วิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ประกอบด้วย 3 แกนหลัก คือ

  1. ทีมงานท้องถิ่นที่แข็งแกร่ง: Netflix ลงทุนกับการสร้างทีมงานในประเทศไทยที่หยั่งรากลึกและเข้าใจภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยอย่างแท้จริง ทีมงานนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมที่เข้าใจทั้งรสนิยมของผู้ชมในประเทศ และความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ละเอียดอ่อน
  2. กระบวนการทำงานที่เคารพผู้สร้าง: จากมุมมองของ ปราบดา หยุ่น การทำงานร่วมกับทีม Netflix คือการสนทนาที่เน้นแก่นของการเล่าเรื่องอย่างแท้จริง “สิ่งที่เราคุยกันเป็นเรื่อง Storytelling จริง ๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Emotion ของตัวละครจริง ๆ… ไม่ใช่เรื่องทางธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องตัวเลข ซึ่งเป็นการให้อิสระและพื้นที่ปลอดภัยแก่ผู้สร้างในการพัฒนาไอเดียอย่างเต็มที่”
  3. การเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ: Netflix วางตำแหน่งตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศสร้างสรรค์ในไทย ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรในท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้สร้างสรรค์เอง ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐอย่าง CEA

ผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้สะท้อนออกมาเป็นตัวเลขที่น่าทึ่ง เฉพาะในปี 2024 เพียงปีเดียว คอนเทนต์ไทยถูกรับชมบน Netflix ทั่วโลกรวมกันมากกว่า 750 ล้านชั่วโมง ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า เมื่อเรื่องราวสามารถสร้างความประทับใจและเชื่อมโยงกับผู้ชมในบ้านเกิดได้อย่างแข็งแกร่ง พลังของเรื่องเล่านั้นก็จะสามารถเดินทางข้ามพรมแดนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้เช่นกัน

การค้นหาแก่นแท้ความเป็นไทย: เมื่อ Local คือ Global ที่ทรงพลังที่สุด

หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือการถกเถียงเรื่องความเป็นไทย ในคอนเทนต์ที่จะนำเสนอสู่สายตาชาวโลก ปราบดา หยุ่น ได้ให้มุมมองว่า ในช่วงแรกที่ได้ทำงานกับแพลตฟอร์มระดับโลก ความคิดของคนทำงานหลายคนมักจะมีความหวังว่านี่คือโอกาสที่จะโกอินเตอร์ ซึ่งบางครั้งอาจนำไปสู่ความพยายามสร้างผลงานให้มีความเป็นสากลจนอาจละเลยรากเหง้าของตัวเองไป

แต่ความจริงที่ค้นพบนั้นกลับตรงกันข้าม “ถ้าเราสำรวจความเป็นโลคอลของเราได้มากพอและถึงแก่นพอ จริง ๆ แล้วคนต่างชาติเขาสนใจสิ่งนี้มากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่เขาไม่มี”

เขาชี้ให้เห็นว่า การพยายามแข่งขันกับต่างชาติในแนวทางที่เขาถนัดอยู่แล้ว เช่น ภาพยนตร์แอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ที่มีความเป็นสากลสูงจนจับต้องไม่ได้ว่ามาจากวัฒนธรรมไหน อาจไม่ใช่หนทางที่น่าดึงดูดที่สุด

หัวใจสำคัญที่แท้จริงคือขุมทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่ในประเทศไทยซึ่งยังไม่ถูกนำมาเล่าขานมากนัก

“ไทยเราเองยังมีหลาย ๆ ประเด็น หลาย ๆ วัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมไทย ที่เรายังไม่ได้ explore เท่าไหร่ แต่ละภาคต่าง ๆ ของเรามีอะไรอีกมากมายที่เราสามารถหยิบยกมันขึ้นมาทำอย่างจริงจังได้” เขากล่าวและยอมรับว่าที่ผ่านมาเรื่องเล่าส่วนใหญ่มักจะกระจุกตัวอยู่แค่ในกรุงเทพฯ หรือเฉพาะแวดวงสังคมที่คุ้นเคย

มุมมองนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Netflix อย่างสมบูรณ์ รูเบน ฮัตตาริ ยืนยันว่า “เราเพิ่งจะแค่ขีดข่วนบนพื้นผิว เท่านั้น” เขามองเห็นศักยภาพมหาศาลของเรื่องราวที่ยังไม่ถูกค้นพบ ทั้งในพื้นที่ที่แตกต่างและวัฒนธรรมย่อย (Sub-culture) ที่หลากหลายทั่วประเทศ

“เรื่องราวที่ยอดเยี่ยมสามารถมาจากที่ไหนก็ได้ เราจึงไม่ควรจำกัดตัวเองอยู่แค่การทำงานกับผู้สร้างในกรุงเทพฯ” รูเบนกล่าว พร้อมยกตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Gold Rush Gang ที่ถ่ายทำในภาคใต้ของไทย เป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นที่จะขยายขอบเขตการเล่าเรื่องออกไป

ดังนั้น การเดินทางครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การผลิตคอนเทนต์ แต่เป็นการค้นหาร่วมกันระหว่างแพลตฟอร์มและผู้สร้างสรรค์ชาวไทย เพื่อค้นหาโจทย์ที่ยากแต่ท้าทายว่าอะไรคือแก่นแท้ของความเป็นไทยที่ทั้งคนไทยรู้สึกเป็นเจ้าของและคนทั่วโลกก็ตื่นเต้นที่จะได้รับชม เหมือนดังที่ Squid Game ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เรื่องราวที่เป็นท้องถิ่นอย่างที่สุด สามารถกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกได้อย่างทรงพลัง

พลังแห่งความร่วมมือ: สร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง

ความสำเร็จอันน่าทึ่งของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทยไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการสร้าง ระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง ซึ่งเกิดจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของทุกภาคส่วน รูเบน ฮัตตาริ ยืนยันหนักแน่นว่า “เราไม่สามารถทำคนเดียวได้” และเน้นย้ำถึงคุณค่าของการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง

CEA คือ ผู้เชื่อมโยงและเติมเต็มช่องว่าง ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ ดร.ชาคริต เผยว่า CEA วางบทบาทตัวเองเป็นตัวกลางที่คอยเชื่อมโยงและเติมสิ่งที่ขาดในอุตสาหกรรม โดยดำเนินโครงการสำคัญ 2 ส่วนหลักที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ คือ โครงการ Content Lab ทำหน้าที่เป็นโรงบ่มเพาะบุคลากรที่มีศักยภาพ เพื่อยกระดับทักษะ (Elevate Skill) ให้ได้มาตรฐานสากล พร้อมสำหรับการนำเสนอผลงานสู่แพลตฟอร์มระดับโลก และโครงการ Content Project Market ต่อยอดจาก Content Lab โดยสร้างตลาดนัดโปรเจกต์ เปิดโอกาสให้ผู้สร้างสรรค์ที่ผ่านการบ่มเพาะได้นำเสนอผลงานต่อสายตานักลงทุนโดยตรง ทั้งจากในและต่างประเทศ ซึ่ง Netflix เองก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรสำคัญที่เข้าร่วมเพื่อค้นหาโปรเจกต์ที่น่าสนใจไปพัฒนาต่อ

ภาครัฐ คือ ผู้อำนวยความสะดวกด้วยนโยบายที่ก้าวหน้า อีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศนี้สมบูรณ์คือ นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการคืนเงิน (Incentive Program) สำหรับกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ ซึ่ง รูเบน ฮัตตาริ ยกย่องว่าเป็นนโยบายที่มองไปข้างหน้าอย่างมาก และเป็นสิ่งที่หลายประเทศใฝ่ฝันอยากจะมี นโยบายนี้ไม่เพียงดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศ แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะฝีมือของทีมงานชาวไทยและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่สำคัญของการผลิตคอนเทนต์ระดับโลก

การทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบนี้ได้สร้าง Synergy ที่ทรงพลัง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่ความสำเร็จเชิงธุรกิจ แต่ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง ดร.ชาคริต เล่าถึงประสบการณ์การเดินทางไปต่างประเทศว่า “ทุกคนได้ดูคอนเทนต์ไทย แล้วก็อยากมาเที่ยว และชื่นชมผลงานของคนไทย” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อระบบนิเวศแข็งแกร่ง ผลผลิตที่ได้จะกลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อน Soft Power ที่มีประสิทธิภาพ สร้างทั้งมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืน

สู่อนาคต: ประเทศไทยฮับแห่งการผลิตคอนเทนต์แห่งเอเชีย

เมื่อมองไปยังอนาคต ทั้งสามท่านเห็นตรงกันว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลาง (Hub) การผลิตคอนเทนต์ของภูมิภาค

ปราบดา หยุ่นมองว่า “ในปัจจุบันเราก็พิสูจน์แล้วระดับหนึ่งว่าเราเป็นฮับในเชิงเทคนิค ทีมงานและสตูดิโอของเราเป็นที่ยอมรับในระดับโลก แต่ความท้าทายคือจะรักษาความเป็นผู้นำนี้ไว้ได้อย่างไร ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน คำตอบคือการกลับไปที่ต้นทุนทางวัฒนธรรมที่เรามีอยู่มหาศาล และนำมาประยุกต์ให้ร่วมสมัย”

ดร.ชาคริตเสริมว่า จุดแข็งของไทยคือทักษะการเล่าเรื่องและการนำเสนอประเด็นทางวัฒนธรรมในภาษาที่คนทั่วโลกเข้าใจได้ ดังเช่นความสำเร็จของภาพยนตร์ หลานม่า ที่เป็นเรื่องราวไทย-จีนที่เฉพาะเจาะจง แต่กลับสามารถสื่อสารกับผู้ชมทั่วโลกได้อย่างลึกซึ้ง

ในมุมมองของ Netflix รูเบน ฮัตตาริ ยืนยันว่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยถูกมองเป็นต้นแบบที่หลายประเทศอยากจะเป็นให้ได้ ด้วยนโยบายที่ก้าวหน้าและความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและเอกชน เขาเชื่อว่าไทยจะเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาคนี้ต่อไปอย่างแน่นอน

ท้ายที่สุด การเดินทางของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยบนเวทีโลกเพิ่งจะเริ่มต้น การผนึกกำลังระหว่างแพลตฟอร์มระดับโลกที่มีวิสัยทัศน์ ครีเอเตอร์ท้องถิ่นที่เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ และภาครัฐที่พร้อมสนับสนุน คือสมการสำคัญที่จะนำพา “เรื่องเล่าไทย” ไปสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมทั่วโลกได้อย่างยั่งยืนและไร้ขีดจำกัด

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Netflix Effect: เม็ดเงิน 7.4 พันล้าน ปลุกเศรษฐกิจสร้างสรรค์ดัน Soft Power ไทย

‘ท๊อป จิรายุส’ ลดอายุร่างกายจาก 49 เหลือ 30 ด้วยศาสตร์ Longevity

×

Share

ผู้เขียน