Share on
×

Share

Looloo Technology รวมพลทาเลนต์ไทยคืนถิ่น สร้างสตาร์ตอัพตัวจริงด้าน AI

การขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีไอทีขั้นสูงเป็นปัญหาที่พูดกันมานานและเป็นโจทย์ใหญ่ที่ประเทศไทยต้องหาทางแก้ไข ทำให้เกิดความคิดผนึกกำลังกันของคนไทยที่เคยทำงานบริษัทไอทีต่างประเทศจัดตั้งเป็นบริษัท deep tech startup เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว

ภายใต้ชื่อ “ลูลู่ เทคโนโลยี” (Looloo Technology) พวกเขารวบรวมยอดฝีมือคนไทยที่เคยทำงานบริษัทไอทีชั้นนำระดับโลกในซิลิคอนวัลเลย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา กลับมาสร้างองค์กรที่ทำงาน ค้นคว้าวิจัย ออกแบบ และพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความสลับซับซ้อน หรือเทคโนโลยีระดับสูงเพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านไอทีของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีจากปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ให้ไม่แพ้ชาติใดในโลก 

รวมทาเลนต์ไทยคืนถิ่น

Looloo Technology ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2563 โดยคำว่า looloo มาจากตัวเลข 100 ยกกำลัง 100 เพื่อสานฝันการเป็นจุดรวมพลคนเก่ง เป็นเวทีให้คนไทยที่เคยไปทำงานต่างแดนได้กลับบ้านมาร่วมกันพัฒนาประเทศโดยใช้ AI ในการยกกำลังขีดความสามารถให้กับองค์กรต่าง ๆ 

“ความที่ต่างคนเคยทำงานที่ซิลิคอนวัลเลย์ทำให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางในการดึงบุคลากรจากสถาบันการศึกษาแถวหน้าตั้งแต่ Stanford, MIT, Carnegie Mellon และ University of Pennsylvania มาร่วมงานกัน” 

บิ๊ก-ปริชญ์ รังสิมานนท์ co-founder บอกว่าบริษัท Looloo Technology เริ่มต้นโดยมี 3 กำลังหลักเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง หนึ่ง น็อต-ดร.ธรรมนิติ์ พิพัฒน์ศรีสวัสดิ์ อดีต Senior Software Engineer ที่ Google นาน 12 ปี เป็นหนึ่งในทีมพัฒนา Google Assistant ภาษาไทย นักเรียนทุนพระราชทานไปศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน (Carnegie Mellon) และจบปริญญาเอกด้านปัญญาประดิษฐ์ พร้อมรางวัลนักเรียนดีเด่นจาก UCLA อีกทั้งมีผลงานวิจัยด้าน AI ที่ได้รับรางวัลงานวิจัยดีเยี่ยมจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติในปี 2557 

สอง สุปิติ บูรณวัฒนาโชค หรือาจารย์แชร์ นักเรียนทุนธนาคารแห่งประเทศไทย ศิษย์เก่าคาร์เนกี เมลลอน สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท เคยมีประสบการณ์ทำงานด้าน data science ที่บริษัท Oracle สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ระดับ Top 5 ของโลก และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Dek-D.com 

และสามคือตัวเขา จบการศึกษาจาก MIT (Massachusetts Institute of Technology) มีประสบการณ์ทำงานด้านนักลงทุนให้กับกองทุนสำรองระหว่างประเทศของรัฐบาลสิงคโปร์ หรือ GIC (Government of Singapore Investment Corp) ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

“เดิมผมเป็นนักลงทุนในแผนก developed market equities ดูแลการลงทุนในทวีปอเมริกาและยุโรป แต่ในช่วงปี 2008 ที่ระบบการเงินล่ม ถูกโอนย้ายมาทำงานแผนก special investments ซึ่งรวมถึง venture capital ในซิลิคอนวัลเลย์ จึงมีโอกาสได้เจอคนไทยเก่ง ๆ หลายคนที่นั่น รวมถึงคุณน็อต ขณะนั้นทำงานที่ Google และแชร์ ซึ่งทำงานอยู่ Oracle และเริ่มทำบริษัทสตาร์ตอัพของตัวเอง”

“ผมกลับไทยก่อนเพื่อมาดูแลธุรกิจของครอบครัวแต่ยังมีความหลงใหลเรื่องเทคโนโลยีอยู่ พอปลายปี 2562 ก่อนโควิด เริ่มคุยกันชวนให้เพื่อน ๆ มาสร้างบริษัททางด้าน AI ด้วยกัน พอเดือนมีนาคมปีถัดมาโควิดแรงต้องปิดประเทศ พี่น็อตเลยกลับมาประเทศไทยพร้อมคนไทยเก่ง ๆ อีกหลายคน จึงตัดสินใจมารวมตัวกันตั้งบริษัทกันอย่างจริงจัง”

เขาเล่าว่า ก่อนหน้านี้ในเมืองไทยมีการสร้างเทคโนโลยีด้าน AI แบบจริงจังน้อยมาก พวกเขาจึงมีความคิดจะกลับมาสร้างความสามารถด้านนี้ให้ประเทศ การตั้งบริษัทมาจากสองเหตุผลคือ อยากเห็นคนไทยที่เก่ง ๆ กลับบ้าน และนำเทคโนโลยีด้าน AI มาพัฒนาประเทศ จึงได้วางกฎเหล็กการรับงานไว้ 3 ข้อ คือ ต้องเป็นการสร้างเทคโนโลยีที่ดีให้สังคม ต้องสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาวให้กับบริษัทหรือประเทศได้ และพัฒนาเทคโนโลยีระดับฟรอนเทียร์เทคที่มีความยากและก้าวล้ำนำหน้า โดยตอนนี้มี International Research Publication ที่คิดค้นจากคนในทีมงานแล้วกว่า 30 ชิ้น

“ดิจิทัลทรานฟอร์เมชันเป็นสิ่งที่ต่างประเทศพูดกันมาเป็น 10 ปี และมีคนที่ทำอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเรามาทำเรื่องเดิมคงโตช้า เผอิญจังหวะเริ่มตั้งบริษัท ทางเมืองนอกเริ่มพูดถึง AI เมื่อมั่นใจว่าเทรนด์มาแน่ เราจึงไม่แข่งเรื่อง digitization หรือดิจิทัลทรานฟอร์เมชัน แต่มุ่งไป AI เลย แล้วเจาะจงดึงคนเก่งด้านนี้มาเพื่อทำอะไรก่อนคนอื่น และสร้างความสามารถของทีมให้ไปไกลกว่าคนอื่น โชคดีว่ามาถูกทางเพราะผ่านไป 3 ปี AI ก็มาจริง ๆ”

ฟรอนเทียร์เทคด้าน AI

“motto แรกของเราคือ AI for The Better World ส่วนเทคโนโลยีหลักในการพัฒนาฟรอนเทียร์เทค คือเทคโนโลยีเชิงลึกด้าน AI ที่เราสร้างขึ้นใหม่เองทั้งหมด เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย เวลาไปคุยกับลูกค้า ผมจะบอกว่าเราเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้าน AI ที่นำเทคโนโลยี AI มาช่วยลูกค้าเพิ่มยอดขาย เพิ่ม ROI และเพิ่มกำไร”

ธุรกิจที่เป็นหัวใจหลักของบริษัท ลูลู่ เทคโนโลยี จำกัด จึงเป็นการใช้เทคโนโลยี AI ในการทำ predictive analytics เพื่อช่วยองค์กรคาดการณ์อนาคต และการวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) เพื่อช่วยคาดการณ์ยอดขายและจำนวนสินค้าที่ต้องสต๊อก (demand and inventory prediction) และแนะแนวทางเพื่อเพิ่มยอดขาย

เขายกตัวอย่างลูกค้าธุรกิจน้ำดื่มที่ต้องส่งสินค้าให้กับจุดจำหน่ายกว่า 3 แสนจุดทั่วประเทศ สามารถนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์และเสนอแนะว่าควรจัดส่งน้ำดื่มประเภทใดและจำนวนเท่าไรไปให้แต่ละจุดจำหน่ายในทุกวัน ทั้งการคำนวณปริมาณสินค้าที่ควรสต๊อกเพื่อไม่ให้มีปัญหาของขาดตลาด หรือแนะนำสินค้าอื่น (new SKUs recommendation) เพิ่มเติมเพื่อช่วยร้านค้าเพิ่มยอดขายให้ได้สูงสุด

“การเข้ามาของ AI เปลี่ยนเกมธุรกิจไปเยอะ AI ช่วยให้วางสินค้าจำนวนที่ถูกในร้านค้าที่ใช่ และแนะนำสินค้าเพิ่มเติมทำให้เพิ่มยอดขายและเกิดการซื้อซ้ำ ระบบของเราได้ช่วยในการวางสินค้ากว่า 10 ล้านชิ้นต่อสัปดาห์ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมหาศาล คล้ายกับการมาของ web eCommerce ที่มีการทำ recommendation ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มยอดขาย และในที่สุด web ที่ไม่ได้ทำก็จะสู้ web ที่ทำไม่ได้”

เมื่อเกิดกระแสนิยม Generative AI ขึ้นมา ลูลู่ เทคโนโลยี ก็เป็นหนึ่งในทีมที่มีลูกค้าติดต่อเข้ามาให้ช่วย implement Generative AI ให้กับองค์กรจำนวนมาก ทั้ง ChatGPT และ Google Vertex เนื่องจากพื้นฐานที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Natural Language Processing ที่ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญในการพัฒนา Google Assistant มาก่อน โดยได้ทำงานเป็นพาร์ทเนอร์กับ Google ด้วย

บริษัทยังมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง Speech to Text ที่ช่วยแปลงข้อมูลเสียงให้เป็นข้อมูล text ที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ เพื่อช่วยการทำงานของระบบคอลเซ็นเตอร์ โดยระบบนี้สามารถจำแนกแยกแยะเสียงพูดระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ (voice diarization) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการตรวจสอบระบบคอลเซ็นเตอร์

“เทคโนโลยีของเราไม่ใช่การสุ่มตรวจแบบเดิม ๆ แต่ทำได้ครบทุกคู่สายที่ติดต่อเข้ามาในแต่ละวัน และช่วยสร้างสคริปต์การขายแบบอัตโนมัติ (dynamic sales script) ที่เพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานขาย แล้วยังเอาไปต่อยอดได้อีกมากมาย เช่น เอาไปฝึกอบรมพนักงานขายในการพูดคุยกับลูกค้า” 

นอกจากนี้ ยังมีระบบการอ่านเอกสารอัตโนมัติ หรือ OCR (Optical Character Recognition) โดยเฉพาะการอ่านเอกสารที่เป็นลายมือเขียนภาษาไทย ซึ่งสามารถอ่านเอกสารที่อยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่นกระดาษ หรือ PDF แล้วส่งเข้าระบบฐานข้อมูลบริษัท (ERP) อัตโนมัติได้อย่างแม่นยำ ลดการใช้กำลังคนและเวลาได้มหาศาลในการพิมพ์เอกสารเข้าระบบ 

“ก้าวต่อไปคือการพัฒนา AI ทางการแพทย์ โดยต้องการให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ที่ดี ซึ่งปัจจุบันมีความร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวชในการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ทางการแพทย์ และยังทำช็อปตรวจสุขภาพที่สยามพารากอนร่วมกัน”

แตกต่างอย่างแข็งแกร่ง

ปริชญ์กล่าวว่า ลูลู่ เทคโนโลยี พยายามสร้างความได้เปรียบให้ต่างจากบริษัทอื่น ๆ ใน 3 ด้าน ได้แก่ Experts คนที่มีความเชี่ยวชาญเป็นข้อได้เปรียบแรก โดยมีคนเก่งที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำและคนที่มีประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศ ซึ่งเคยร่วมงานในโปรเจกต์ของบริษัทระดับโลกอย่าง Amazon, Wallmart หรือ Goldman Sachs อยู่มาก เมื่อกลับมาเมืองไทยพวกเขาสามารถนำความรู้และประสบการณ์มาใช้กับงานของบริษัทได้เลย

“สินทรัพย์ของบริษัท AI ไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากคน แล้วคนด้าน AI เพียว ๆ ในไทยแทบไม่มี เราจึงต้องรวบรวมคนเก่ง ๆ มาอยู่ที่นี่ให้ได้ โชคดีที่เรารวบรวมมาได้มากพอควร” 

“การรับคนของเราค่อนข้างหิน ผมไม่อ่านเรซูเม่แต่ส่งข้อสอบไปให้ทำ ผ่านแล้วค่อยมาซักประวัติกันอีกที จากสถิติคนที่ผ่านการคัดเลือกของเราน้อยมากเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ คือสมัครมา 100 คนผ่านแค่คนเดียว เพราะเราต้องการทาเลนต์ที่เก่งงานและสู้งาน”

ปัจจุบันมีทีมกว่า 100 คน อายุเฉลี่ยราว 24-25 ปี แบ่งเป็น ทีมวิศวกรทำงานด้านแมชชีน เลิร์นนิ่ง และ AI รวม 50 คน ส่วนอีก 50 คน เป็นทีมโปรแกรมเมอร์เพื่อเสริมการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ทำงานสมบูรณ์ทั้งฟรอนต์เอนด์และแบ็คเอนด์ ที่เหลือคือส่วนงานรับผิดชอบด้านธุรกิจ”

ข้อได้เปรียบที่สอง Customization คือ การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เข้ากับทุกความต้องการของลูกค้า โดยการสร้างเทคโนโลยีของตัวเองเริ่มต้นจากศูนย์จนจบ ไม่ได้ใช้ซอฟท์แวร์สำเร็จรูป เช่น ระบบ AI ทางการแพทย์ที่ขึ้นใหม่เองทั้งหมด จึงทำให้สามารถทำโซลูชั่นที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าต่าง ๆ อย่างแท้จริง

และสาม Design Thinking ลูลู่ เทคโนโลยี ใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบที่ทำให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของมนุษย์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็น Human Centric AI Solution โดยอยู่บนความเชื่อว่า “เทคโนโลยีจะไม่เวิร์คเลยถ้าเทคโนโลยีนั้นไม่เข้าใจมนุษย์” ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจเพนพอยต์ของตัวเอง กำหนดแนวทางแก้ไข และมองหาเทคโนโลยีเข้ามาเสริม 

ในมิติทางธุรกิจ ลูลู่ เทค มีแผนกที่ดูเรื่องกระบวนการคิดเชิงออกแบบในการเข้าใจปัญหาของลูกค้าโดยการสัมภาษณ์ผู้บริหาร สัมภาษณ์พนักงาน รวมถึงผู้ใช้งานเพื่อทำความเข้าใจว่าแอปพลิเคชันที่ลูกค้าต้องการจะนำไปใช้นั้นตอบโจทย์เพนพอยต์จริงหรือไม่ 

“การทำ user testing  เพื่อเข้าใจผู้ใช้งาน การทำ A/B testing ในการทดสอบการทำงาน 2 รูปแบบเพื่อดูว่า รูปแบบใดมีประสิทธิภาพมากกว่ากันแทบทุกสัปดาห์ เรียกว่าเป็นหนึ่งในบริษัท AI ที่มีการทดสอบระบบงานมากที่สุด”

ปริชญ์แชร์ประสบการณ์เพิ่มเติมว่า มีหลายครั้งที่ลูกค้าเดินเข้ามาด้วยโจทย์การทำ AI แบบฟุ้ง ๆ มีหลายอย่างที่อยากทำ จึงต้องทำเวิร์คช็อปกันว่าโปรเจคไหนจะทำให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด โดยกระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐานของบริษัทจะเริ่มจากการส่งทีม consulting ไปศึกษาโปรเจกต์ของลูกค้าโดยใช้กระบวนการคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อดูว่าโปรเจกต์ใดทำแล้วเกิดผลสัมฤทธิ์ได้มากที่สุดและพอเหมาะกับงบประมาณที่มี

เมื่อคัดเลือกโปรเจกต์ได้แล้ว จึงเข้าสู่ขั้นตอนที่ 2 การคิดและออกแบบแอปพลิเคชันด้วย design thinking  เพื่อเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งาน ควบคู่กับการทำ data audit ในการตรวจสอบข้อมูลว่าพร้อมและเพียงพอหรือไม่ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 การพัฒนาแอปพลิเคชันหรือสร้างโมเดล และขั้นตอนสุดท้าย คือ การส่งมอบ AI solution สู่การใช้งาน โดยมีเป้าหมายให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้มากที่สุด 

“ก่อนจะเป็นที่หนึ่งเรื่อง AI คุณต้องเป็นบริษัทที่เป็นหนึ่งเรื่องการวางแผนก่อน แล้วหน้าที่ของ ลูลู่ เทคโนโลยี คือการช่วยชี้ให้เห็นว่าเพนพอยต์แท้จริงของลูกค้าอยู่ตรงไหน สามารถแก้ได้ด้วยเทคโนโลยีจริงรึเปล่า แล้วจะเอา AI ไปแก้โจทย์ตรงไหน เพราะ AI ไม่ใช่คำตอบของปัญหาทุกอย่าง บางทีลูกค้าอาจกลับไปโดยไม่จำเป็นต้องใช้บริการของเราก็ได้”

ทำดีเพื่อโลก

อีกสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ ลูลู่ เทคโนโลยี แตกต่างจากเอไอเฮ้าส์อื่น ๆ คือ “การอยากเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ดี และทำดีให้กับโลก” เป็นเจตจำนงอันแรงกล้าที่ไม่ใช่แค่การทำงานของลูกค้าให้เสร็จ แต่ต้องตอบตัวเองและทีมงานได้ว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้โลกจะได้ประโยชน์อะไร สิ่งที่ทำจะช่วยให้สังคมดีขึ้นอย่างไร

ปริชญ์ ยกตัวอย่างโปรเจกต์เล็ก ๆ ชื่อ Carenation หรือพวงหรีดสานบุญ ที่เขาเริ่มต้นเป็นการส่วนตัว มาถึงวันนี้สามารถสร้างยอดบริจาคเพื่อสังคมได้มากกว่า 21 ล้านบาท และทุกคนในบริษัทพร้อมที่จะมาช่วยกันเพื่อทำประโยชน์ให้สังคมไทย “ถ้าไม่ริเริ่มด้วยสิ่งที่เราสามารถช่วยเหลือสังคมได้ ต่อให้พูดว่า ลูลู่ เทคโนโลยี เป็นบริษัท AI ที่ดีก็คงไม่มีใครเชื่อ”

“แน่นอนว่าเรามีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ เช่น เราจะชนะคนอื่นยังไง เราต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญทาง AI อันดับหนึ่ง แล้ววันนี้เราทำอะไร ทำได้แค่ไหน อันนี้เป็นเป้าที่เราวัด เรามีเป้าในการคืนประโยชน์ให้สังคมเหมือนกับ Carenation ที่เราตั้งเป้าเงินบริจาคไว้ 100 ล้าน แต่ถึงตอนนี้ทำได้แล้ว 21 ล้าน จะเห็นว่าเราไม่ได้วัดที่ตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่เราวัดผลกระทบที่มีต่อสังคมด้วย”

แตกหน่อเพื่อโต

“ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ถ้ามองโดยโครงสร้างโมเดลธุรกิจ ลูลู่ เทคโนโลยี เปรียบเสมือนบริษัทแม่ที่คอร์บิสซิเนสคือ Predictive Analytics และ Generative AI ในรูปแบบของ project based เป็นพื้นฐานในการนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม เช่น การคาดการณ์การจัดการสินค้าคงคลัง การพยากรณ์การจัดส่งสินค้า การนำ Generative AI ไปใช้กับแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น chatbot หรือ call center และเมื่อนำไปขยายผลต่อเป็นการพัฒนาโซลูชั่นที่ใช้ข้อมูลและ AI ตัวไหนที่เข้าตา ตรงกระแส และดูมีอนาคต ก็พร้อมจะแตกออกเป็นโมเดลธุรกิจใหม่”

เขายกตัวอย่าง 3 ธุรกิจที่ ลูลู่ เทคโนโลยี เห็นโอกาสแตกออกเป็นบริษัทลูกและมีนักลงทุนเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ได้แก่ หนึ่ง แอปพลิเคชันการอ่านเอกสารอัตโนมัติ (Optical Character Recognition) และการแปลงเสียงเป็นข้อความ (Speech to Text) แตกออกมาเป็นบริษัท Word Sense 

สอง ระบบการทดสอบออนไลน์ที่พัฒนาให้กับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในช่วงโควิด ต่อมาขยายผลเป็นบริษัท Job Pascard ในการทดสอบทักษะที่แท้จริงของบุคลากรแบบ skill based assessment ไม่ใช่จากข้อสอบแบบเลือกตอบ (multiple choice question) ซึ่งสามารถวัดความสามารถจริงได้กับทุกสาขาอาชีพ 

และสาม “หมอคู่คิดส์” เป็นแอปพลิเคชันหมอเด็กออนไลน์เพื่อตอบโจทย์ของพ่อแม่มือใหม่ที่ยังเลี้ยงลูกไม่เป็นและต้องการคนให้คำปรึกษาตอลดเวลาไม่ว่าจะเป็นหมอหรือพยาบาล  

ศักยภาพด้าน AI ของไทย

“ศักยภาพคนไทยเรื่อง AI ไม่ได้แพ้ชาติใดในโลก อีกทั้ง Open AI เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2560 อเมริกาจึงนำหน้าเราไปได้ไม่ไกล ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องใครมาก่อนมาหลัง แต่อยู่ที่ใครมีมันสมองมากกว่ากัน” 

เขาชี้ให้เห็นว่า ลูลู่ เทคโนโลยี มีคนไทยที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนา Google Assistant ที่คนใช้งานเป็นพันล้านคนทั่วโลก มี Data Scientist จากองค์กรชั้นนำอย่าง Oracle เทคโนโลยี Speech-to-Text ภาษาไทย ที่สร้างโมเดลเองและมีความแม่นยำสูง แอปพลิเคชันด้านการแพทย์ซึ่งยังคงพัฒนาต่อไปให้ถึงจุดที่ครอบคลุมได้ทุกโรคเพราะประเทศไทยมีหมอที่เก่งมาก มีข้อมูลทางการแพทย์และข้อมูลทางสุขภาพที่หลายประเทศยังหาไม่ได้เทียบเท่า 

“เหล่านี้เป็นสิ่งที่เมืองไทยมีความได้เปรียบทางการแข่งขันบางอย่าง จึงต้องหาให้เจอแล้วนำมาสร้างเป็นจุดแข็งเพื่อทำให้ประเทศได้ประโยชน์ และโลกได้ประโยชน์ไปด้วย”

วัฒนธรรมองค์กรฉบับลูลู่

“บริษัทที่ดีผู้ก่อตั้งไม่ควรมี skill sets ที่เหมือนกัน อย่างผมมาสายธุรกิจชอบเจอคน เน้นงานสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้า ส่วนผู้ร่วมก่อตั้งอีก 2 คน เป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งมาก แต่อาจไม่ได้ชอบที่จะออกงานสักเท่าไหร่ จึงกลายเป็นจุดแข็งที่ผสมผสานอย่างลงตัว เวลาผมไปรับโจทย์มา ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำไม่ได้ในทางเทคนิค หน้าที่ผมคือลุยหน้าบ้านเต็มที่ หลังบ้านคือเก็บได้หมด ไม่มีพลาด”

ปริชญ์กล่าวว่า ลูลู่ เทคโนโลยี พยายามทำให้มีวัฒนธรรมองค์กรเหมือนที่ Silicon Valley คือเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างแบบ Flat ไม่มีเจ้านายลูกน้อง ไม่มีลำดับชั้น เป็นวัฒนธรรมที่สดใหม่ สนุกสนาน โดยตั้งชื่อให้ว่า GRIT ประกอบด้วย G-Growth Mindset ทุกคนมีความต้องการที่อยากเรียนรู้เพื่อเติบโต R-Rational ทุกคนถกเถียงกันได้ด้วยเหตุผลและไม่ถือโทษโกรธกัน I-Initiative ทุกคนต้องพร้อมมีสิ่งใหม่ ๆ มาชวนคิดหรือนำเสนอ และ T-Thrive as One รวมกันเป็นหนึ่งทำงานร่วมกันเป็นทีม

อีกทั้งการเลือกที่จะพิสูจน์ความสามารถโดยวัดจากผลงานเชิงประจักษ์ที่จับต้องได้จริง ดังเช่นวันนี้สามารถบอกได้ว่าระบบ Speech-to-Text และการอ่านเอกสารที่รวมถึงลายมือภาษาไทยที่เราพัฒนามีความแม่นยำเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ อ่านเอกสารได้มากถึง 140,000 แผ่นต่อวัน การตรวจเอกสารซื้อขายรถมือสองและเอกสารการเงินสำหรับรถยนต์ปีละ 7 หมื่นคัน รถจักรยานยนต์ปีละ 2 แสนคัน ระบบ Predictive Analytics สามารถช่วยขยับยอดขายให้ลูกค้าได้อย่างชัดเจนจนระบบเราได้รับการไว้วางใจให้ช่วยวางสินค้าได้มากกว่า 10 ล้านชิ้นในทุกสัปดาห์ การแนะแนวธุรกิจในการเปิดจุดจำหน่ายใหม่ได้ถึง 3 หมื่นสาขาต่อปี ทั้งหมดเป็น

“แต่ถึงอย่างไรอีก 5 ปี 10 ปี อะไรก็เปลี่ยนไปได้อีก เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วจนต้องขยับตัวและเรียนรู้ตลอดเวลา ผมเลยเป็นคนไม่ค่อยเชื่อหรือยึดติดกับเป้าหมายจนเกินไป แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดชนิดที่รู้สึกว่ามันดีกว่านี้ไปไม่ได้แล้ว ไม่ต้องคิดมาก เช่น ผมมีเป้าในการทำอย่างไรให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการแพทย์ที่ดีได้ แต่ระหว่างทางจะเป็นยังไงไม่รู้ ก็แค่ทำให้ดีที่สุดแล้วทุกอย่างจะดีเอง”

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดใจ “พิมพ์พิชา อุตสาหจิต” ทายาทรุ่น 3 ขายหัวเราะ “การ์ตูนเป็น Soft Power ที่ไปอยู่กับอะไรก็ได้”

‘ศ.ดร. พิรงรอง รามสูต’ สะท้อนมุมมองต่อบทบาทของ กสทช. บนความท้าทายในโลกยุคแพลตฟอร์มดิจิทัล

เทคสตาร์ตอัพ “โพรโตเมท” ต้นน้ำ “หมวกกันน็อคเอไออัจฉริยะ”​ สัญชาติไทย

×

Share

ผู้เขียน