Share on
×

Share

LTMH เปิดเวทีเสวนา “ตลาดหุ้นไทย” ถอดมุมมองอนาคตธุรกิจ ฝ่าวิกฤติและจับทิศทางการลงทุน

LTMH เป็นกลุ่มบริษัทสื่อ และที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากเพจออนไลน์ที่ชื่อว่า ‘ลงทุนแมน’ ในปี 2560 และเติบโตจนกลายเป็นสื่อด้านการเงิน-การลงทุนชั้นนำ ด้วยจุดเด่นในการถ่ายทอดเรื่องราวธุรกิจ และการลงทุนที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย ได้จัดงาน LTMH Open House เสวนาตลาดหุ้นไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดทุนไทยในปัจจุบัน พร้อมนำเสนอวิสัยทัศน์และกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกและภายในประเทศยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

ภายในงานประกอบด้วย 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1.เสวนาตลาดหุ้นไทยอัปเดตสถานการณ์ Perfect Storm ตลาดหุ้นไทย 2.รู้จักบริษัท LTM LTMH มีธุรกิจอะไรบ้าง? มีกลยุทธ์และทิศทางในการเติบโตอย่างไรและกับคำถามสำคัญที่ว่าทำไม ถึงเลือกที่จะ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงนี้ 3.โอกาสในตลาดหุ้นไทย กลุ่มธุรกิจไหน ในตลาดหุ้นไทยที่น่าสนใจลงทุน

โดย อัพ – ธณัฐ เตชะเลิศ ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LTMH มี่ – ทิวา ชินธาดาพงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย บอล – ภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทอง นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) และ ตู้ – มานะชัย ตันติกาญจนากุล นักลงทุนเน้นคุณค่า

รู้จักบริษัท LTMH วิสัยทัศน์กลยุทธ์และเหตุผลของการเข้าตลาดหลักทรัพย์ท่ามกลางความท้าทาย

ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน บริษัท LTMH กลับตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อระดมทุน โดยในงาน LTMH Open House ช่วงที่สอง ภายใต้หัวข้อ “รู้จักบริษัท LTMH” ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางของบริษัท กลยุทธ์การเติบโต และเหตุผลของการเลือกช่วงเวลานี้ในการ IPO

การตัดสินใจเข้าตลาด mai ท่ามกลางสภาวะที่ท้าทาย

คุณอัพ CEO ของ LTM เปิดเผยว่า หากพิจารณาเพียงด้านมูลค่าการระดมทุน บริษัทอาจเลือกเลื่อนการ IPO ออกไปในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นทางธุรกิจ โดยเฉพาะการขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ทำให้บริษัทต้องเดินหน้าระดมทุนตามแผนที่วางไว้ เพื่อไม่พลาดโอกาสสำคัญที่กำลังเปิดอยู่ในขณะนี้ โดยเน้นว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและการเติบโตของเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในด้านการใช้แอปพลิเคชันทางการเงิน เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องเร่งวางรากฐานธุรกิจใหม่ให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้

แรงสนับสนุนจากนักลงทุน Seed Funding

หนึ่งในจุดที่น่าสนใจของงานคือการพูดคุยกับนักลงทุนกลุ่มแรกของ LTMH ได้แก่ คุณมี่และคุณตู้ ซึ่งตัดสินใจลงทุนใน LTMH ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยทั้งสองเน้นย้ำว่า ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนคือ “ตัวผู้บริหาร” คุณมี่เล่าว่า เขาประทับใจในแนวคิดของคุณอัพที่ว่า อยากทำให้คนไทยฉลาดขึ้น ซึ่งพัฒนาเป็น อยากทำให้คนไทยรวยขึ้น ความชัดเจนในวิสัยทัศน์นี้คือเหตุผลหลักที่ทำให้เขาเลือกสนับสนุน

ด้านคุณตู้กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของคุณอัพตรงกับความฝันของเขาเองในการสร้างคอนเทนต์การเงินที่เข้าใจง่าย และถึงแม้เขาจะไม่มีทักษะถ่ายทอดแบบคุณอัพ แต่เขาเชื่อมั่นในศักยภาพของคุณอัพอย่างมาก พร้อมทั้งเปรียบเปรยว่าคุณอัพเหมือนเป็นทั้งเล่าปี่ ขงเบ้ง และบางทีอาจเป็นโจโฉในร่างเดียวกัน และคุณตู้ยังกล่าวถึงความกล้าของคุณอัพที่เปลี่ยนจากการเป็นเจ้าของเพจบนแพลตฟอร์มของคนอื่น มาเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มของตนเองอย่าง Blockdit ซึ่งเปรียบได้กับการย้ายจากร้านค้าในห้างมาเปิดห้างของตัวเอง เป็นการตัดสินใจที่แสดงถึงความกล้าทดลองโมเดลธุรกิจใหม่

วิวัฒนาการจากเพจลงทุนแมนสู่ธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์ม

คุณอัพเล่าถึงจุดเริ่มต้นของ LTMH จากเพจลงทุนแมนเมื่อ 8 ปีก่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อแบ่งปันความรู้ด้านการลงทุน แต่เมื่อเห็นว่าเพียงคนเดียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก จึงพัฒนาแพลตฟอร์ม Blockdit เพื่อให้คนทั่วไปสามารถแบ่งปันองค์ความรู้ร่วมกันได้ 

LTMH ขยายตัวจากเพจเดียวสู่ธุรกิจสื่อออนไลน์หลายแบรนด์ เช่น ลงทุนเกิร์ล, MarketThink, Investoriest และ Money Lab รวมถึงการจัดอีเวนต์และตีพิมพ์หนังสือกว่า 16 เล่ม โดยในปี 2567 รายได้หลักจากสื่อออนไลน์เติบโตขึ้นประมาณ 30% แม้ว่ารายได้รวมจะดูไม่เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากปี 2566 มีรายได้พิเศษแบบ One-time จากโปรเจกต์เฉพาะกิจ คุณอัพยังเน้นถึงการพัฒนารูปแบบรายได้ จากเดิมที่พึ่งพางานโปรเจกต์เดี่ยว ไปสู่รายได้แบบประจำ (Recurring Income) ซึ่งเกิดจากสัญญาระยะยาวกับลูกค้า ส่งผลให้รายได้มีความมั่นคงมากขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนบุคลากรตามสัดส่วนรายได้

ความกังวลจากนักลงทุนและคำชี้แจงของผู้บริหาร

นักลงทุนอย่างคุณบอลได้แสดงความกังวลต่อรายได้จากโครงการ IPO ที่ลดลง ซึ่งเป็นหนึ่งในรายได้ของบริษัท ด้านคุณอัพชี้แจงว่า รายได้จากการให้บริการด้าน IR และ PR สำหรับบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทต่างๆ เริ่มให้ความสำคัญกับการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ในช่วงที่ตลาดผันผวน คุณอัพยังกล่าวถึงจุดแข็งของ LTMH ในการถ่ายทอดเนื้อหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย โดยยกตัวอย่างงานสัมภาษณ์ผู้บริหารของแบรนด์ “มาม่า” ที่สามารถสื่อสารภาพลักษณ์เชิงบวกได้อย่างน่าสนใจ 

สำหรับประเด็นเรื่อง Conflict of Interest ระหว่างการเป็นสื่อกับการมีลูกค้าเป็นบริษัทจดทะเบียน คุณอัพระบุว่าบริษัทมีมาตรฐานและนโยบายชัดเจน เช่น จะไม่เผยแพร่คำกล่าวอ้างหากไม่มีหลักฐานยืนยัน และการโฆษณาทุกชิ้นต้องผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ธุรกิจ Wealth Tech ที่กำลังจะเปิดดำเนินการ จะถูกแยกเป็นอีกบริษัทหนึ่งภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. เพื่อความโปร่งใส

โอกาสในตลาด Wealth Tech

Wealth Tech (Wealth Technology) คือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับบริการทางการเงินและการลงทุนส่วนบุคคล เช่น การซื้อขายกองทุนรวม การจัดการพอร์ตลงทุน การวางแผนทางการเงินอัตโนมัติ (Robo-Advisors) และการให้คำปรึกษาด้วย AI โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ต้นทุนต่ำลง และสามารถปรับบริการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ (Personalization)

เป้าหมายของ LTMH คือการครองส่วนแบ่งตลาดเพียง 1% จากตลาดกองทุนรวมมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งเพียงพอจะสร้างรายได้ระดับหลายร้อยล้านบาท โดยใช้จุดแข็งด้านคอนเทนต์ การสื่อสาร และการออกแบบ UX/UI ที่เข้าใจง่ายเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง

คุณตู้และคุณมี่ต่างมองว่าธุรกิจใหม่นี้มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะหากสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นด้าน Simplify, Visualize หรือ Personalize ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับความสามารถเดิมของ LTMH ในการย่อยข้อมูลซับซ้อนให้เข้าใจง่าย

คุณอัพสรุปว่า การระดมทุนในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มทุน แต่เป็นการวางรากฐานระยะยาวให้กับธุรกิจในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว บริษัทต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และคว้าโอกาสที่กำลังเกิดขึ้น แม้ว่าสภาวะตลาดหุ้นจะยังมีความไม่แน่นอน แต่ LTMH เชื่อว่าด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ทีมงานที่มีความสามารถ และโมเดลธุรกิจที่ปรับตัวได้ จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

ต่อมา “Perfect Storm ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่ไหม?”

ผู้ร่วมเสวนาได้แลกเปลี่ยนมุมมองต่อภาวะตลาดหุ้นไทยที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากหลากหลายปัจจัย ทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตต่ำ กระแสเงินทุนไหลออก ความผันผวนและปัญหาความเชื่อมั่นในธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน โดยมีนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญร่วมวิเคราะห์ถึงแนวโน้มและโอกาสที่ซ่อนอยู่ในภาวะวิกฤตินี้

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 17.18% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดในโลก ดัชนี SET Index ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบบริเวณ 1,160 จุด ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อกว่า 30 ปีก่อน ทั้งที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศพัฒนาไปมาก เช่น การมีรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า

แล้วตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “Perfect Storm” หรือไม่?

คุณตู้ มองว่าถึงแม้จะยังไม่ถึงจุดที่เป็นพายุสมบูรณ์แบบ แต่ก็เข้าใกล้อย่างมาก อาจกำลังอยู่ในใจกลางพายุและเริ่มเห็นสัญญาณว่าอาจจบในไม่ช้า แม้ยังไม่มีความชัดเจน

คุณบอล ชี้ว่า ตลาดหุ้นไทยกลายเป็น “ที่หนึ่งของโลก” ในแง่ของผลตอบแทนที่แย่ที่สุด ปัจจัยสำคัญมาจาก fund flow ที่ไหลออกต่อเนื่อง และการประเมินค่าที่ต่ำลงอย่างรุนแรง ทั้งยังสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแรงสะสมมานาน ตลาดอาจฟื้นกลับในอนาคตตามหลัก “reversion to the mean” แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าระดับค่าเฉลี่ยใหม่จะอยู่ที่ใด

คุณมี่ เปรียบเทียบสภาพตลาดกับการดำรงชีวิตของคนทั่วไป โดยกล่าวว่า “ทุกคนเริ่มกินมาม่าแล้วครับ” พร้อมเสริมว่ามาม่าในปัจจุบันก็ยังแพงขึ้น สะท้อนต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ และชี้ว่าตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญวิกฤตอย่างแท้จริง แม้เศรษฐกิจภาพรวมจะยังไม่อยู่ในภาวะถดถอยรุนแรง

คุณอัพ ซึ่งอยู่ในตลาดหุ้นมากว่า 20 ปี กล่าวว่า รอบนี้เป็นรอบที่ลึกและสั่นคลอนความมั่นใจมากที่สุด แม้เคยผ่านวิกฤตหลายครั้ง ทั้งต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ซับไพรม์ แต่ครั้งนี้ส่งผลต่อจิตใจนักลงทุนอย่างชัดเจน พร้อมย้ำว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส แต่ต้องมีวินัยและไม่ใช้อารมณ์นำ

จุดที่น่าสนใจคือ คุณอัพไม่เพียงร่วมเสวนาในฐานะนักลงทุน แต่ยังเป็นผู้บริหาร LTMH ที่เลือกเดินหน้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาที่ตลาดยังเปราะบาง โดยให้เหตุผลว่า LTMH ไม่ได้มอง IPO เป็นแค่การระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจ แต่คือการวางรากฐานระยะยาว และใช้ momentum นี้เป็นโอกาส

เหตุการณ์ forced sale จากผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่ใช้หุ้นเป็นหลักประกันแล้วถูกบังคับขาย ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงในหมู่นักลงทุน โดยเฉพาะเมื่อกรณีเหล่านี้เกิดขึ้นกับบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อระบบธรรมาภิบาลในตลาดไทยโดยรวม และทำให้กองทุนหรือรายย่อยที่ถือหุ้นร่วมกันได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณบอลกล่าวถึงวิกฤตศรัทธานี้ว่า นักลงทุนไม่ได้กลัวแค่ราคาหุ้นตก แต่กลัวข้อมูลที่ไม่โปร่งใสและความไม่แน่นอนในคำพูดของผู้บริหาร ขณะที่คุณมี่เน้นว่า นักลงทุนกองทุนเองก็อยู่ในระบบแรงกดดันให้ต้องลงทุนแม้จะรู้ว่าหุ้นบางตัวราคาแพงเกินจริง ซึ่งทำให้เกิดภาวการณ์สะสมความเสี่ยงในระบบโดยไม่มีใครกล้าพูด เสนอให้มอง valuation อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่บางตัว เช่น AOT ที่ดูน่าสนใจแต่มีรายได้ผูกอยู่กับ King Power มากถึง 90% ซึ่งจึงเสนอแนวคิดว่าแทนที่จะดูแค่ความคุ้นเคยของแบรนด์ นักลงทุนควรวิเคราะห์โครงสร้างรายได้และปัจจัยเสี่ยงในเชิงลึก 

คุณตู้ และคุณมี่ กล่าวเสริมว่า การเข้าสู่ตลาดของ LTMH แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ตลาดต่ำ ถือเป็นบทพิสูจน์ว่า LTMH เป็นธุรกิจที่เชื่อมั่นในแผนของตนเอง โดยเฉพาะเมื่อบริษัทไม่ได้พึ่งพารายได้จาก IPO อย่างเดียว แต่ยังมีกลยุทธ์ในการแปลงความแข็งแกร่งของแบรนด์และฐานผู้ติดตามให้กลายเป็นการเติบโตทางธุรกิจแบบยั่งยืน ซึ่งนักลงทุนรุ่นใหม่ควรศึกษาเป็นกรณีตัวอย่าง

คุณบอลสรุปว่า ตลาดหุ้นไทยในระยะยาวอาจไม่ใช่เป้าหมายหลักของการลงทุนแบบ passive แต่ในช่วงเวลานี้ ด้วยระดับ valuation ที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปี การลงทุนแบบเลือกหุ้นรายตัว โดยเฉพาะธุรกิจที่มีแผนชัดเจนและโครงสร้างรายได้หลากหลาย อาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่เชื่อในการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล

โอกาสในตลาดหุ้นไทย “กลุ่มธุรกิจไหนในตลาดหุ้นไทยที่น่าสนใจลงทุน”

คุณตู้เริ่มต้นด้วยการชี้ให้เห็นว่า การเลือกหุ้นที่ดีไม่ควรยึดติดกับการเลือกตามกลุ่มอุตสาหกรรมแบบเดิมอีกต่อไป นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักเลือกหุ้นจากคาแรคเตอร์ของหุ้นรายตัว มากกว่าจะจำกัดตัวเองอยู่ใน Sector ใด Sector หนึ่ง โดยเน้นว่าหุ้นที่น่าสนใจควรมีลักษณะ 2 ประการหลัก ได้แก่

  1. เป็นผู้นำตลาด (Market Leader) ไม่ว่าจะในตลาดหลักหรือ Sub-segment
  2. มีผู้บริหารที่เก่ง แตกต่าง และเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง

คุณตู้ยังกล่าวถึงบริบทการลงทุนในปัจจุบันที่แตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน ปัญหา Information Overload ทำให้นักลงทุนต้องใช้วิธีการใหม่คือการ โฟกัสแบบเจาะลึก (Deep Dive) โดยยกตัวอย่างน้องนักลงทุนที่มองเห็นโอกาสจากหุ้นจีนทั้งที่ตลาดจีนมีความผันผวนสูง แสดงให้เห็นว่า หากนักลงทุนเข้าใจธุรกิจอย่างแท้จริง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้แม้ในสภาวะที่ตลาดไม่เป็นใจ

คุณบอลเสริมว่า นักลงทุนไม่จำเป็นต้องวิ่งตามกระแส เช่น หุ้นเทค หรือหุ้นต่างประเทศเสมอไป เพราะหุ้นที่ดีที่สุดคือหุ้นที่เรารู้จักและเข้าใจจริง ๆ ซึ่งในบริบทของคนไทย หุ้นไทยมักจะเป็นตัวเลือกที่เข้าใจง่ายที่สุด โดยเขาแนะนำให้พิจารณาหุ้นที่มี 3 ลักษณะ

  1. ธุรกิจแข็งแกร่ง มีฐานะการเงินดี กระแสเงินสดมั่นคง อยู่รอดได้ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน
  2. มีการเติบโต เติบโตทั้งรายได้และกำไรในระยะยาว
  3. ราคาสมเหตุสมผล มี Upside เหลือให้ลงทุนได้ ไม่ใช่หุ้นดีแต่ราคาแพงเกินไป

คุณบอลยังเน้นย้ำว่า นักลงทุนต้องแยกให้ออกระหว่างปัญหาชั่วคราวกับปัญหาเชิงโครงสร้างของธุรกิจ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในการตัดสินใจลงทุน

ด้านคุณอัพ เน้นคาแรคเตอร์ของหุ้นที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ ได้แก่

  1. มีจิตวิญญาณผู้ประกอบการ (Owner’s Mindset) ผู้บริหารต้องมี Skin in the Game เป็นเจ้าของจริง ไม่ใช่แค่ผู้จัดการที่ถูกจ้างมา
  2. แบรนด์แข็งแกร่ง (Strong Branding) มี Market Share สูง หรือกำหนดราคาสินค้าได้เหนือคู่แข่ง
  3. มีตลาดที่ใหญ่กว่าประเทศไทย (Global Potential) ไม่พึ่งตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียว
  4. ราคาที่เหมาะสม (Reasonable Valuation)  มี Margin of Safety เพียงพอ รองรับความผันผวนได้

คุณอัพทิ้งท้ายว่าหุ้นลักษณะนี้มีอยู่ในตลาดหุ้นไทยหลายตัว แต่เรามักมองข้ามไปเพราะไปโฟกัสกับหุ้นต่างประเทศมากเกินไป ทั้งที่หุ้นไทยมีข้อมูลให้ศึกษาลึกและเข้าใจได้มากกว่า

คุณมี่ ปิดท้ายด้วยการพูดถึงแนวโน้มในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะประเด็นประชากรที่ลดลง และความจำเป็นที่ธุรกิจต้องสามารถเติบโตได้แม้ไม่มีประชากรเพิ่มขึ้น โดยเสนอแนวคิดว่า

  1. โลกอยู่ในจุดเปลี่ยนใหญ่ อัตราการเกิดต่ำทั่วโลกจะเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจถาวร
  2. ธุรกิจต้องโตได้โดยไม่พึ่งจำนวนคนเพิ่ม แต่ต้องเพิ่มคุณค่า (Value for Money)
  3. ผู้บริหารต้องมี Passion สูง กล้าปรับตัว และมีพลังในการฝ่าฟันมากกว่าคนทั่วไป
  4. นักลงทุนควรลงทุนในธุรกิจที่ชอบจริง ๆ เพราะการมีความสุขในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ผลตอบแทน

โลกกำลังเปลี่ยนอย่างรุนแรง นักลงทุนจึงต้องปรับมุมมองใหม่ และเลือก “เรือ” ที่แข็งแรงที่สุดเพื่อฝ่าการเปลี่ยนแปลงไปได้

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน