ส่อง “3 ดิจิทัลเฮลท์ฝีมือคนไทย” ต้นแบบนวัตกรรม สู่แพทย์ทางเลือกยุคใหม่ “เครื่องตรวจโควิดแบบเรืองแสง – เอไอตรวจโควิดกลายพันธุ์ – คลาวด์ ดีไซน์ วัดสัญญาณชีพ”ที่ทั้งรวดเร็ว แม่นยำ ลดต้นทุน
“ดิจิทัล เฮลท์” (Digital Health) เป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ผนวกเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและศาสตร์ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์มาไว้ด้วยกัน ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัย ดูแล รวมถึงรักษาคนไข้ได้รวดเร็วแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งบางนวัตกรรมยังช่วยให้แพทย์สามารถสื่อสาร และเฝ้าระวังอาการของคนได้จากระยะไกลแบบ”ไร้สัมผัส” ได้อีกด้วย
ในช่วงวิกฤติโควิด-19 เหล่านวัตกรรมดิจิทัลเฮลท์ต่าง ๆ ก็ได้ถูกนำมาใช้ในการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 และในขณะเดียวกันช่วยลดความเสี่ยง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเหล่าแพทย์และพยาบาลในการปฏิบัติหน้าที่ โดยบทความในวันนี้ จะพาทุกท่านไปติดตามความก้าวหน้าของนวัตกรรมดิจิทัลเฮลท์ในไทย ผ่าน 3ต้นแบบนวัตกรรมฝีมือนักวิจัยไทย ที่ครอบคลุม “เครื่องตรวจโควิดแบบเรืองแสง เอไอตรวจโควิดกลายพันธุ์ คลาวด์ ดีไซน์ (Cloud Design) วัดสัญญาณชีพ” ที่พร้อมเป็นต้นแบบแก่หน่วยงานต่าง ๆ ในการต่อยอดหรือยกระดับประสิทธิภาพ สู่การรักษาทางการแพทย์ยุคใหม่ในอนาคต ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- เปรียบเทียบประสบการณ์การใช้งาน 5G ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
- บี.กริม เพาเวอร์ – ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ร่วมกันพัฒนาและบริหารโรงไฟฟ้าพลังความร้อน
· เครื่องมือตรวจเชื้อโควิดแบบเรืองแสง
อีกหนึ่งนวัตกรรมแนวดิจิทัลเฮลท์ ที่ก้าวข้ามอุปสรรคในการใช้เครื่องมือแพทย์ขนาดใหญ่ ที่ไม่สะดวกต่อการพกพาหรือเคลื่อนย้าย แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัจจุบันมีเพียงสมาร์ทโฟน พร้อมเครื่องมือตัวช่วยเพียงเล็กน้อย ก็สามารถช่วยให้คุณหมอตรวจวินิจฉัยเชื้อไวรัสได้แล้ว ด้วย เครื่องมือตรวจเชื้อโควิดแบบเรืองแสง ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ผ่านการอ่านค่าเรืองแสง ของชุดตรวจทางชีวโมเลกุล ด้วยกล้องของสมาร์ทโฟน ช่วยแพทย์รู้ผล ผู้ติดเชื้อใน 45-60 นาที เร็วกว่าการตรวจในระบบปกติที่ต้องเข้าห้องแลปถึง 3 เท่า ซึ่งทีมแพทย์ยังสามารถนำไปใช้ในการลงพื้นที่หรือตรวจคัดกรองตามชุมชน (On Site) ได้ อีกทั้งยังมีต้นทุนในการพัฒนาที่ต่ำกว่าระบบปกติหลายเท่า
ทั้งนี้ นวัตกรรมดังกล่าว อยู่ระหว่างการยื่นจดสิทธิบัตรและรับรองมาตรฐานอย. ซึ่งเป็นผลการวิจัยและพัฒนาร่วมกันระหว่าง ดร.พิมพ์ขวัญ หาญนันทอนันต์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. (พัฒนาเครื่องมือการอ่านผล) นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (พัฒนาชุดน้ำยาตรวจ) และ บริษัท เซอร์ทิส จำกัด (SERTIS) (พัฒนาแอปพลิเคชัน) โดยในอนาคตเตรียมพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถตรวจเชื้อไวรัสที่หลากหลายได้
· เอไอตรวจโควิดกลายพันธุ์ ครั้งแรกของโลก
เทคโนโลยีใหม่อย่างเอไอตรวจโควิดกลายพันธุ์ครั้งแรกของโลกที่มาพร้อมความสามารถใน 2 ส่วน คือ บ่งชี้เชื้อโควิด-19 ได้ถึง 8 สายพันธุ์ และ ตรวจตำแหน่งการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการค้นหากลายพันธุ์ที่น่ากังวล (VOCs) ได้ถูกต้องถึง 99% ใน 30 วินาที
ล่าสุดสามารถตรวจเจอโควิดสายพันธุ์ลูกผสม อินเดีย-อังกฤษ ได้แล้ว ซึ่งนับเป็นการช่วยแพทย์ลดขั้นตอนวิเคราะห์ให้เหลือเพียงอ3 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1. นำเข้าข้อมูลสารพันธุกรรมทั้งหมด หรือจีโนมที่ได้ทั้งแบบเดี่ยว หรือแบบหลาย ๆ จีโนมพร้อมกัน เข้าโปรแกรม 2. วิเคราะห์สายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 3. ประมวลผลในรูปแบบชื่อของสายพันธุ์ และหากพบเชื้อกลายพันธุ์ จะแสดงผลเป็นสีแดง พร้อมแสดงตำแหน่งกลายพันธุ์ (VOCs) บนจีโนม แต่หากไม่พบเชื้อจะเป็นสีเทา ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าว อยู่ระหว่างลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) และยื่นจดสิทธิบัตรร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ก่อนจะขยายผลในการถ่ายทอดนวัตกรรมแก่หน่วยงานที่สนใจเป็นลำดับต่อไป ผลการวิจัยชิ้นนี้ เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างนักวิจัย สจล. โรงพยาบาลรามาธิบดี และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
· Cloud Design วัดสัญญาณชีพ ครั้งแรกของไทย
อีกหนึ่งผลงานการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีเอไอในทางการแพทย์ เพื่อกู้วิกฤตโควิด-19 อย่าง Cloud Design วัดสัญญาณชีพ ครั้งแรกของไทย ตรวจวัดสัญญาณชีพและติดตามอาการผู้ป่วยได้แบบใกล้ชิดโดย ‘ไร้การสัมผัส’ (Touchless) ผ่านการสวมอุปกรณ์ปลอกแขน เพื่อทำหน้าที่ตรวจสัญญาณชีพและแสดงผล 6 ค่าสำคัญของผู้ป่วย ประกอบด้วย คลื่นไฟฟ้าหัวใจ อัตราการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ ค่าออกซิเจนในเลือด อุณหภูมิ และค่าความดันโลหิต
โดยที่ระบบเอไอ จะทำหน้าที่แสดงผลแบบเรียลไทม์ (Real Time) ไปยังมอนิเตอร์ส่วนกลาง เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถวิเคราะห์ผล และแนวทางการรักษาได้ทันท่วงที ผ่านการสวมปลอกแขนให้ผู้ป่วยตั้งแต่ครั้งแรก
ทั้งนี้ เอไอดังกล่าว ได้นำร่องทดสอบประสิทธิภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ณ โรงพยาบาลสนาม อาคารนิมิบุตร โดยเป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดย ดร.วิบูลย์ ปิยวัฒนเมธา อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.
เรียกได้ว่า อนาคตข้างหน้าวงการแพทย์ไทยจะก้าวได้ไกลและรุดหน้ายิ่งขึ้น ด้วยนวัตกรรมด้าน Digital Healthcare โดยนักวิจัยไทย อันสะท้อนภาพได้ชัดเจนว่า ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรลงทุนด้านสุขภาพ เพื่อลดการพึ่งพานวัตกรรมต่างชาติ เพิ่มโอกาส/ลดความเหลื่อมล้ำการเข้าถึงระบบการรักษาทางการแพทย์ของคนไทย หรือกระทั่งสามารถส่งออกนวัตกรรมเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ในอนาคตอีกด้วย
เช่นเดียวกับหลักคิดในการสร้าง “โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร” หรือ “KMCH” ภายใต้การกำกับดูแลของมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ที่มุ่งสร้างโรงพยาบาลที่พร้อมขับเคลื่อนการแพทย์ และคุณภาพชีวิตคนไทย ผ่านการเป็นพื้นที่เพื่อการรักษาพยาบาล และศึกษาวิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อรองรับวิกฤตสุขภาพในอนาคต ซึ่งคาดว่าการก่อสร้างโรงพยาบาลดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2566 ในวงเงินก่อสร้าง 1,000 ล้านบาท
เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี ในปี 2563 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้จัดตั้งโครงการก่อสร้าง “โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร” หรือ “KMC Hospital: King Mongkut Chaokhun Thahan Hospital” ภายใต้แนวคิด “ให้เพื่อสร้าง” โรงพยาบาลศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางการแพทย์แบบครบวงจรแห่งแรกของไทย ที่พร้อมดูแลรักษาผู้ป่วย ตลอดจนเป็นพื้นที่ในการศึกษาวิจัยของบุคลากรทางการแพทย์-นักวิจัยไทยอย่างไร้ขีดจำกัด และสถานที่ฝึกอบรมนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกในอนาคต โดยมุ่งลดการนำเข้าเทคโนโลยี-เครื่องมือแพทย์มูลค่ามหาศาล นับแสนล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ โรงพยาบาลแห่งนี้ สามารถรองรับผู้ป่วยจำนวน 60 เตียง บนพื้นที่ใช้สอยกว่า 14,000 ตารางเมตร โดยคาดการณ์มูลค่าก่อสร้างกว่า 1,000 ล้านบาท และจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 2 ปี