การดำเนินนโยบายความยั่งยืนในภาคธุรกิจ เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างโลกที่ดีขึ้น ธุรกิจในภาคพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ การเงิน และสิ่งทอ มีบทบาทที่สำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน
ภายในงาน “BE THE CHANGE ยั่งยืนได้เมื่อเราเปลี่ยน” ซึ่งจัดขึ้นโดย ‘The People’ มีการเผยแนวคิดเรื่องการสร้างความยั่งยืนผ่านมุมมองขององค์กรชั้นนำ อาทิ ภาคพลังงาน บริษัท เชฟรอน ประเทศไทยสำรวจและผลิต อุตสาหกรรมพลังงานเป็นหนึ่งในภาคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน ประกอบกับการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาดช่วยให้มีการผลิตพลังงานที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การออกแบบและก่อสร้างอาคารที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยคาร์บอน ภาคการเงิน การลงทุนที่ยั่งยืน สถาบันการเงินที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สนับสนุนการลงทุนในธุรกิจที่มีความยั่งยืน และ ภาคสิ่งทอ การผลิตที่มีความรับผิดชอบการใช้วัสดุที่ยั่งยืนในการผลิตเสื้อผ้าและการส่งเสริมการใช้ซ้ำและการรีไซเคิล
กลยุทธ์ของเชฟรอน คือการสร้าง Lower Carbon
เชฟรอน เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมแก๊สในประเทศไทย ปัจจุบันมีแหล่งผลิตที่สามารถผลิตแก๊สได้ถึง 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญและกระทบกับความมั่นคงของประเทศ โดยกระบวนการผลิตพลังงานจากแก๊สประกอบด้วยหลายขั้นตอน ได้แก่ การสำรวจและขุดเจาะ การสกัดแก๊ส การแยกและการแปรรูป การขนส่ง การผลิตพลังงาน และการควบคุมการปล่อยคาร์บอน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ จะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมา ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้การผลิตพลังงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ปัณวรรธน์ นิลกิจศรานนท์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายวิศวกรรมโครงสร้างบริษัท เชฟรอน ประเทศไทยสำรวจและผลิต มีเป้าหมายในการสร้าง Lower Carbon ที่คืบหน้าไปในด้านการผลิตพลังงาน แม้ว่าความท้าทายที่เกิดขึ้น คือการลดคาร์บอนในธุรกิจที่จำเป็นต้องสร้างคาร์บอนอยู่ตลอดเวลา การดำเนินตามนโยบายความยั่งยืนในธุรกิจพลังงานจะต้องเผชิญกับ “Energy Trilemma” ซึ่งเป็นทางเลือกสามทางที่ยากลำบาก ได้แก่ Net Zero : การผลิตพลังงานสะอาดที่ไม่ปล่อยคาร์บอน ราคาพลังงานที่ถูก : เพื่อให้ภาคเศรษฐกิจของประเทศมีพลังงานที่ราคาถูก และความมั่นคงทางพลังงาน : การมีเสถียรภาพในการใช้พลังงาน ทั้ง 3 ทางเลือกนี้มักจะสวนทางกัน จึงเป็นความท้าทายที่ยากมาก ๆ ในการหาทางแก้ไข สิ่งที่โลกต้องทำคือการหาเทคโนโลยีและพลังงานทางเลือกที่ราคาถูกลง หรือการผลิตพลังงานที่ไม่ปล่อยคาร์บอน เพื่อให้ทั้ง 3 ทางเลือกเข้ามาใกล้กันมากที่สุด
เชฟรอนมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอนาคต โดยเริ่มจากการลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตปัจจุบันให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ยังสร้างองค์กรใหม่เพื่อศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการผลิตใหม่ที่ใช้คาร์บอนต่ำ เช่น Carbon Capture and Storage (CCS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่กักเก็บคาร์บอน และวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีนี้ในอนาคต เพื่อลดคาร์บอนในการสร้างพลังงานสะอาด ภายในปี 2028 อีกทั้งยังนำเสนอเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายลดการปล่อยคาร์บอนของ Chevron Thailand โดยมีการแสดงแผนการและกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับการลดคาร์บอนในองค์กร ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้
- Propel ever cleaner base operations : มุ่งเน้นการดำเนินงานพื้นฐานที่สะอาดขึ้น
- Grow sustainable long-term opportunity : การเติบโตของโอกาสที่ยั่งยืนในระยะยาว
- Enhance organization capability : การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กร
แผนที่ดำเนินการสำเร็จแล้ว คือแผนการลดคาร์บอน Chevron Thailand 2022 : มีการจัดทำกลยุทธ์และแผนที่ชัดเจน และการทำสำรวจเพื่อกำหนดค่าพื้นฐานของการปล่อยคาร์บอน 2023 : เริ่มการรณรงค์ “รู้จักการปล่อยคาร์บอนของคุณ” (know your emissions) เพื่อให้พนักงานและองค์กรเข้าใจถึงการปล่อยคาร์บอนของตนเอง รวมถึงตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนลง 10% และ 2024 : การรณรงค์ “คาร์บอนต่ำเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันของเรา” (lower carbon is our competitiveness) และตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนลงมากกว่า 15%
ปัจจัยที่ทำให้เชฟรอนประสบความสำเร็จในการลดคาร์บอน นอกจากการปรับตัวของบริษัทพลังงาน สิ่งที่เชฟรอนทำ คือการส่งมอบพลังงานที่คาร์บอนต่ำโดยการวัดจาก “Carbon Intensity” หรือปริมาณคาร์บอนที่ผลิตออกมาหารด้วยจำนวนบาร์เรลที่ผลิตได้ เชฟรอนสามารถลด Carbon Intensity ได้ 25% โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีการใช้กว่า 20 โครงการที่ใช้รีโมตควบคุมเพื่อลดการเดินทางด้วยพลังงาน ลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยให้พนักงาน
การใช้ซ้ำ (Reuse) อุปกรณ์ในเชิงอุตสาหกรรมก็มีบทบาทสำคัญในการลดการติดตั้งเครื่องจักรใหม่ ทำให้เชฟรอนสามารถใช้งานแท่นขุดเจาะได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายนี้ ไม่ว่าเราจะพูดถึงกลยุทธ์ เทคโนโลยี หรือเป้าหมายต่าง ๆ แต่ถ้าคนไม่ทำก็ไม่มีความหมาย การเริ่มจากมายด์เซ็ตของคนในองค์กรเป็นอันดับแรก เป็นสิ่งที่สำคัญ การสร้างการมีส่วนร่วมและแนวคิดว่า Sustainable เป็นเรื่องความรับผิดชอบของตัวเราเอง จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้อย่างแท้จริง
แสนสิริเน้นย้ำนโยบายความยั่งยืน การดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
แสนสิริเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่มีนโยบายความยั่งยืนที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม การดำเนินงานของแสนสิริไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแต่เรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่ยังคำนึงถึงปัจจัยด้านสังคม (Social) และการบริหารจัดการ (Governance) ด้วย หลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) คือแนวทางที่แสนสิรินำมาใช้เพื่อสร้างความยั่งยืนในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ
หลักการของ ESG ประกอบด้วย
- Environmental (สิ่งแวดล้อม) : การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน, การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- Social (สังคม) : การมีส่วนร่วมของชุมชน, การดูแลพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย
- Governance (การบริหารจัดการ) : การดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล, การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์และความต้องการของตลาด
แสนสิริมี Green Framework ที่ชัดเจน อาทิ Green Procurement (การจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืน) เป็นเป้าหมายในปี 2025 ให้มีการจัดซื้อวัสดุ “Low Carbon” และได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 30% สำหรับการจัดซื้อของแสนสิริ และมีการจัดซื้อวัสดุที่ลดการปล่อยคาร์บอนและส่งเสริมการใช้วัสดุที่ยั่งยืนในการก่อสร้าง ในด้าน Green Construction (การก่อสร้างนวัตกรรมเพื่อโลก) เป็นเป้าหมายในปี 2030 ตังเป้าให้มีการปรับใช้การก่อสร้างที่มีความยั่งยืน 20% ของโครงการทั้งหมด ลดปริมาณของเสียในที่ฝังกลบได้อย่างน้อย 15% และใช้วัสดุ Low Carbon ใน TOR (Terms of Reference) ของโครงการ 30% สุดท้ายด้าน Green Architecture and Design (การออกแบบและสถาปัตยกรรมที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ) เป็นเป้าหมายในปี 2030 ในการพัฒนา Low Carbon Home 30% ของโครงการทั้งหมด และสร้างบ้านที่มีการใช้พลังงานเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Home)
สมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ว่ามีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน จากกระบวนการก่อสร้างและการใช้งานอาคาร เช่น การสร้างบ้านที่มีอายุการใช้งานนานถึง 60 ปี บริษัทต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากบ้านเหล่านั้นในระยะยาว แสนสิริจึงต้องคิดหาวิธีการออกแบบบ้านที่ลดการปล่อยคาร์บอน เช่น การบริหารจัดการน้ำ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดของเสียจากกระบวนการก่อสร้าง
แสนสิริประสบความสำเร็จด้วยการให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมความยั่งยืนในองค์กร โดยเริ่มจากการปลูกฝังความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของพนักงานในทุกระดับ ได้แก่ “การจัดการคนในองค์กร” สร้างวัฒนธรรมให้พนักงานอินกับเรื่องความยั่งยืน “การทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์” สร้างองค์ความรู้และการมีส่วนร่วมกับซัพพลายเออร์ในการดำเนินงานที่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น การแยกขยะของแต่ละตึก โดยตึกที่จัดการขยะได้ดีที่สุดจะได้รับรางวัลเป็นวันหยุดเพิ่มขึ้น 2 วันต่อปี “การจัด Forum และการแสดงวิสัยทัศน์” จัดกิจกรรม Forum เพื่อแสดงวิสัยทัศน์และแนวทางการเดินทางร่วมกันในการสร้างโลกที่ดี และให้รางวัลกับซัพพลายเออร์ที่มีคุณภาพดีในแต่ละปี
เมย์แบงก์ มุ่งสร้างโครงการและความร่วมมือเพื่อความยั่งยืน
อารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลว่า การสร้างฐานผู้ลงทุนในประเทศให้มากขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมการเงินสมัยใหม่ที่มีหลักการ ESG เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากไม่เพียงแต่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจที่ยั่งยืน แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การให้ความรู้และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ ESG การพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินที่ยั่งยืน การส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน และการประเมินและรายงานผลการดำเนินงานเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างฐานผู้ลงทุนที่มีความรับผิดชอบและมีจิตสำนึกต่อความยั่งยืนในระยะยาว
หนึ่งในนั้นคือ การสร้างฐานผู้ลงทุนในประเทศให้มากขึ้น ให้ความรู้และการสร้างความเข้าใจ อย่างการจัดสัมมนา เวิร์กช็อป และการอบรมเกี่ยวกับประโยชน์ของการลงทุนในธุรกิจที่ยั่งยืน หรือ การสร้างผลิตภัณฑ์การเงินที่ยั่งยืน เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย มุ่งเน้นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงง่ายและมีความหลากหลาย เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงินของตนการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล เช่น แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลและทำการลงทุนได้ทุกที่ทุกเวลา
ยกตัวอย่าง โครงการและความร่วมมือเพื่อความยั่งยืน เช่น Maybank Foundation : มูลนิธิเมย์แบงก์มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการด้านการศึกษา การพัฒนาชุมชน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) : เมย์แบงก์มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ยั่งยืน เช่น กองทุนสีเขียว (Green Funds) และพันธบัตรเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bonds) เพื่อสนับสนุนโครงการที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เป็นต้น หรืออีกแนวทางที่เป็นกลยุทธ์คือการสร้างแอปพลิเคชันที่ช่วยเรื่องการลงทุน และปรับให้เข้ากับผู้คนเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงง่าย นอกจากนี้เมย์แบงก์ยังมุ่งเน้นการส่งเสริมความยั่งยืนในเรื่องการลงทุนในเมืองไทย โดยการสร้างการลงทุนที่มีความยั่งยืนในระยะยาว
เมย์แบงก์ใช้หลักการและกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าและการมีส่วนร่วมในทุกระดับขององค์กรด้วยเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ 4 ส่วน
- สร้างจุดประสงค์ (Purpose) การกำหนดเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน : มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม หรือการบริหารจัดการ กำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจที่ชัดเจน จะช่วยให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจถึงเป้าหมายและแนวทางในการดำเนินงานร่วมกัน
- สร้างแพชชันให้เกิดขึ้น (Passion) การสร้างแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่น : สร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานโดยการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานเพื่อความยั่งยืน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน
- องค์กรที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางและยั่งยืน (Customer-Centric Sustainable Organization) การมุ่งเน้นความต้องการของลูกค้าและการปรับตัว : เน้นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่เข้าถึงง่ายและเหมาะสมกับลูกค้าในทุกกลุ่ม
- วัฒนธรรมการเทรนความรู้ต่อ ๆ กัน (Knowledge Transfer Culture) การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง : สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดฝึกอบรมและเวิร์กช็อปเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ของพนักงาน
ฟรอลิน่าตัวอย่างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
ณัษฐพงษ์ ธรรมฉัตรพงศ์ เจ้าของแบรนด์ฟรอลิน่า (Frolina) เล่าถึงความสำคัญของความยั่งยืนในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม การผลิตฝ้ายซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสิ่งทอซึ่งจำเป็นต้องใช้น้ำและดินที่มีคุณภาพสูง รวมถึงต้องการอุณหภูมิและความชื้นที่เพียงพอ ทำให้พื้นที่การปลูกฝ้ายมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นความท้าทายในอุตสาหกรรมฝ้ายคือการลดปริมาณน้ำและการทำให้ดินมีคุณภาพสูง นอกจากนี้ยังรวมถึงการปรับพันธุกรรมของฝ้ายให้แข็งแรงมากขึ้น และสร้างสำนึกให้เกษตรกรเห็นความสำคัญของการเพาะปลูกฝ้ายอย่างยั่งยืนและความโปร่งใส
แบรนด์ฟรอลิน่า (Frolina) ได้มุ่งเน้นให้สินค้าของตนตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุด โดยเน้นทั้งคุณภาพและความโปร่งใสในกระบวนการผลิต ลูกค้าควรรู้ว่าสินค้านั้นมาจากที่ใดและมีขั้นตอนการผลิตอย่างไร ด้วยความตั้งใจที่จะลดการใช้พลังงานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ การลดการใช้น้ำเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือการใช้ใยไผ่ (Smart Fabric) ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำได้ดี ระบายอากาศได้ และสามารถกำจัดแบคทีเรียด้วยตัวเอง ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและช่วยสร้างความยั่งยืนได้ดี เช่น สินค้า 100% NATURAL BAMBOO TOWEL
นอกจากใยไผ่ยังมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยร่วมมือกับผู้นำในการสร้างไฟเบอร์และผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ใยยูคาลิปตัส ซึ่งมีการวิจัยจากยูคาลิปตัสในป่า การเลือกใช้ใยนี้เป็นเพราะความยั่งยืนที่จะส่งต่อให้รุ่นลูกรุ่นหลาน
ปัจจัยที่ทำให้ความยั่งยืนสำเร็จของ แบรนด์ฟรอลิน่า (Frolina) คือ
- การสร้างคุณค่าที่ลูกค้าต้องการ : ผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งาน และมีคุณสมบัติที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสื่อสารถึงคุณค่าที่ผลิตภัณฑ์สามารถมอบให้กับลูกค้าอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา
- การสร้างองค์กรที่มีแพชชั่นในความยั่งยืน : ส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบต่อการดำเนินงานด้วยความยั่งยืน และตั้งเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติของการดำเนินงาน
- การประหยัดพลังงานและการรียูสอุปกรณ์ : การลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตและการใช้พลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์
- การรีไซเคิลวัตถุดิบและการใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน : การนำวัตถุดิบที่เหลือใช้กลับมารีไซเคิลและนำกลับมาใช้ในกระบวนการผลิตใหม่ และการใช้วัตถุดิบที่มีคุณสมบัติยั่งยืน เช่น ใยไผ่และใยยูคาลิปตัส
- การให้ความตระหนักเรื่อง Red Refect : สร้างนโยบายและกระบวนการที่มุ่งเน้นการลดของเสียให้น้อยที่สุด
- การเปลี่ยนแปลงจากเรื่องที่ใกล้ตัว : เริ่มเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเล็ก ๆ ที่ใกล้ตัวและสามารถทำได้ทันที เช่น การประหยัดพลังงานในสำนักงาน การจัดการขยะในองค์กร
ณัษฐพงษ์ ทิ้งท้ายว่า เชิญชวนอุตสาหกรรมสิ่งทอให้มาร่วมกันสร้างความยั่งยืน โดยการสื่อสารและแบ่งปันความรู้กัน เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำให้โลกนี้ดีขึ้นไปอีก แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนในอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และการลดของเสีย ทั้งนี้เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าและยั่งยืนให้กับคนรุ่นหลังอีกด้วย ยกตัวอย่าง โครงการของแบรนด์ฟรอลิน่า (Frolina) คือการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2019 Frolina ได้เริ่มลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ โดยสร้างระบบโซลาร์เซลล์และระบบบำบัดน้ำที่มีประสิทธิภาพ การทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยประหยัดต้นทุนและสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่เป็นมิตรกับกระเป๋าเงินมากขึ้น
การขับเคลื่อนนโยบายความยั่งยืนทั้งธุรกิจภาคพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ การเงิน และสิ่งทอ มีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงในธุรกิจเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้ทรัพยากร แต่ยังส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างสังคมที่ดีขึ้นสำหรับคนรุ่นหลัง ดังนั้น การดำเนินนโยบายความยั่งยืนในธุรกิจเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของโลกเรา
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SEO ในยุค AI: ทำไม SEO ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไข Brand Damage
ถอดรหัสความเร็จ Starbucks ต้นแบบแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม