Share on
×

Share

อนาคต AI for Thai: ต้องไปต่อในฐานะ ‘วาระแห่งชาติ’

ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือแต่คือสมรภูมิแห่งใหม่ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม อนาคตของประเทศไทยจึงถูกเดิมพันด้วยคำถามสำคัญ เราจะสร้างปัญญาประดิษฐ์ที่มี “มันสมอง” และ “หัวใจ” เป็นของคนไทยได้อย่างไร?

เวทีเสวนา ‘ก้าวต่อไปของ AI for Thai’ ได้ดรวมพลทางความคิดจากผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาครัฐ การศึกษา เอกชน และนักวิจัย ได้มาร่วมกันวางยุทธศาสตร์ เพื่อเปลี่ยนแพลตฟอร์ม AI ของไทยให้กลายเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม

ความท้าทายร่วม: จากห้องเรียนสู่องค์กรเมื่อบริบทไทยคือหัวใจสำคัญ

รองศาสตราจารย์ดร.ประมา ศาสตระรุจิ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา (UNINET) กล่าวว่า ภาคการศึกษากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ AI ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือเครื่องมือพื้นฐานที่นักศึกษาทุกคนต้องเข้าถึง อย่างไรก็ตาม ความเหลื่อมล้ำทางงบประมาณของแต่ละมหาวิทยาลัยได้สร้างช่องว่างในการเข้าถึงเครื่องมือ AI ระดับโลก

“AI for Thai คือคำตอบของความเท่าเทียม AI ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ถูกสอนด้วยข้อมูลทั่วโลก บริบทและวัฒนธรรมของไทยจะหายไปหมด เด็กยุคใหม่จะเรียนรู้โดยขาดรากเหง้าของตัวเอง นี่คือจุดที่ AI for Thai ซึ่งเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมไทย จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสิ่งนี้ไว้” รศ.ดร.ประมา กล่าวถึงอันตรายของการพึ่งพา AI จากต่างชาติเพียงอย่างเดียว

ในทิศทางเดียวกัน ดร.ยุทธศาสตร์ นิธิไพจิตร ในฐานะผู้แทนจากระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของ AI for Thai กล่าวว่า ภาครัฐตื่นตัวเรื่อง AI อย่างมาก แต่ยังคงเผชิญกับปัญหาการทำงานแบบแยกส่วน “ต่างคนต่างทำ” ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล

“ประเทศไทยไม่ได้มีงบประมาณที่จะไปสู้กับยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้ การรวมศูนย์และบูรณาการคือทางรอด AI for Thai คือตัวอย่างของการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือการสร้างเทคโนโลยีที่เข้าใจบริบทของคนไทยได้อย่างแท้จริง เงินทุกบาทที่ลงทุนไปก็หมุนเวียนอยู่ภายในประเทศ” ดร.ยุทธศาสตร์ กล่าว

แม้ว่าความจำเป็นในการมีแพลตฟอร์มระดับชาติเพื่อรักษาบริบทและอธิปไตยทางดิจิทัลของไทย แต่เทคโนโลยีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมการเท่านั้น ความท้าทายที่ใหญ่กว่านั้นคือการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง ซึ่งต้องเริ่มต้นจากองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “คน”

สร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง: เมื่อ “คน” สำคัญกว่า “โค้ด”

ปฐม อินทโรดม กรรมการสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ได้เปรียบเทียบ AI for Thai ว่าเปรียบเสมือนเครือข่ายไทยสาร (Thaisarn) ในยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต คือเป็น “ผู้เปิดประตู” (Enabler) ให้เกิดนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ ๆ แต่ก็มีจุดอ่อนที่น่ากังวล

“ตัวเลขที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เราอยู่ในอันดับที่ 57 จาก 65 ประเทศในด้านการวิจัย AI และทักษะดิจิทัลพื้นฐานของเรายังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียอยู่มาก เราจะกระโดดไปสู่ยุค AI อย่างเต็มตัวไม่ได้ถ้าพื้นฐานยังไม่แน่น เราต้องอย่าข้ามขั้น การสร้างคนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” ปฐม กล่าว

สอดคล้องกับ ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และนายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร AI ของประเทศ ที่มองว่าความต่อเนื่องในการพัฒนาคือหัวใจสำคัญ

NECTEC ชู ‘AI for Thai’ กุญแจสู่อธิปไตย AI ของชาติ ประกาศเดินหน้าเวอร์ชัน 2.0

“สิ่งที่น่ากังวลคือตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนไป บริษัทใหญ่ ๆ เริ่มใช้ AI ทำงานแทนโปรแกรมเมอร์ระดับจูเนียร์ได้แล้ว นั่นหมายความว่าเด็กจบใหม่จะมีความรู้แค่ในตำราไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาต้องมีประสบการณ์จากการลงมือทำจริง ต้องผ่านสนามอย่าง Hackathon เพื่อให้พร้อมที่จะกระโดดเข้าไปทำงานในระดับที่ซับซ้อนขึ้นได้ทันที” ดร.เทพชัย กล่าว

ดร.เทพชัย ย้ำว่า บทบาทของ AI for Thai ในวันนี้ ไม่ได้เป็นแค่ Generative AI แต่เป็นคลังของ “Microservices” ที่เป็นเครื่องมือเฉพาะทางซึ่งสามารถนำไปต่อยอดหรือทำให้ AI โมเดลอื่น ๆ ฉลาดขึ้นในบริบทของภาษาไทยได้

บูรณาการเปิดกว้างสร้างวาระแห่งชาติ

ทิศทางในอนาคต หัวใจสำคัญอยู่ที่การบูรณาการในทุกมิติ เริ่มจากเป้าหมายเร่งด่วนในการผลักดันให้ AI for Thai กลายเป็นเครื่องมือพื้นฐานในทุกมหาวิทยาลัย เพื่อลดช่องว่างและสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงเทคโนโลยี

ขณะเดียวกันในภาครัฐจำเป็นต้องยุติการพัฒนา AI แบบต่างคนต่างทำ และหันมาทุ่มงบประมาณเพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มกลางให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งนี้จะเปิดทางให้ AI for Thai สามารถก้าวไปสู่การเป็น “Marketplace” ที่แท้จริง ผ่านการเพิ่มจำนวน API ให้หลากหลายและครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม พร้อมสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและนักพัฒนาจากทั่วประเทศ

แต่เหนือสิ่งอื่นใด วาระที่สำคัญที่สุดคือ “การสร้างคน” ซึ่งต้องอาศัยการปรับหลักสูตรการศึกษาให้เน้นการลงมือปฏิบัติจริง และสร้างความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลิตบุคลากรที่มีทักษะพร้อมรับมือกับโลกการทำงานยุคใหม่

อนาคตของ AI for Thai ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทีมพัฒนาของ NECTEC เพียงลำพัง แต่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกภาคส่วน ที่จะมองเห็นเป้าหมายเดียวกันในการสร้างอธิปไตยทางดิจิทัลที่ยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ใช้” แต่เป็น “ผู้สร้าง” ที่สามารถยืนหยัดบนเวทีโลกได้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘AI for Thai V2’ พลิกโฉมจากบริการฟรีสู่ ‘ตลาดกลาง AI’ แห่งแรกของไทย

SCB 10X ผนึก สกศ. ส่ง AI ‘Typhoon’ ติวเด็กไทยสู้ศึก PISA

×

Share

ผู้เขียน