Share on
×

Share

“ปรีดา เตียสุวรรณ์” แห่งแพรนด้าจิวเวลรี่ กับเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีก่อน นักธุรกิจไทยกลุ่มหนึ่งร่วมริเริ่มจัดตั้ง “เครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social Venture Network – SVN)” ภายใต้แนวคิดเริ่มต้นในการประกอบธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) ต่อเนื่องมาถึงการวางเป้าหมายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนตามแนวทางสากลในปัจจุบัน

ปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัทแพรนด้าจิวเวลรี่จำกัดแกนนำก่อตั้งเครือข่าย SVN และดำรงตำแหน่งประธานในปัจจุบัน กล่าวว่า “โดยหลักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องไม่ทำตัวเป็นส่วนเกินแต่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำทรัพยากรของแผ่นดินมาผลิตสินค้าหรือบริการที่สร้างความสุขยั่งยืนให้กับคนไทยและสังคมไทย ภายใต้นิยามของคำว่า คุณภาพสมราคา ราคาสมคุณค่า และไม่ทำลายธรรมชาติ”

“คาร์บอน” สัญญาณเตือนวิกฤติโลก

ปรีดา กล่าวว่า การเคลื่อนไหวต่อปัญหาความยั่งยืนโลกเกิดขึ้นมายาวนานกว่า 40 ปีแล้ว จากการตระหนักถึงความเสื่อมโทรมของโลกและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเกี่ยวเนื่องถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และการดำเนินกิจกรรมของมนุษย์ เกิดการจัดตั้งกองทุนเพื่อการอนุรักษ์ เช่น กองทุน “World Wildlife Fund” ร่วมดำเนินงานโดยบุคคลสำคัญหลายท่าน อาทิ เจ้าชายฟิลิป (H.R.H. Prince Philip, The Duke of Edinburgh) รัสเซล เออร์รอล เทรน (Russell Errol Train) เป็นต้น 

เนื่องจากในเวลานั้นเกิดปัญหากับสัตว์หายาก เช่น หมีแพนด้า ซึ่งต้องการอากาศบริสุทธ์และพืชผลที่สะอาดในการบริโภค ทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับบรรยากาศโลก จึงมีการทดลองนำเครื่องมือวัดคุณภาพอากาศไปติดตั้ง ณ เกาะแห่งหนึ่งบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิก ที่ไมมีเครื่องบินผ่านน่านฟ้าหรือเรือเดินสมุทรแล่นผ่าน โดยตั้งสมมุติฐานว่า พื้นที่แนวเส้นศูนย์สูตรถ้ามีอุณหภูมิสูงจะส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนน้อยลง การสังเกตการณ์ที่ใช้เวลานาน 16 ปี พบว่า ค่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้น ทำให้โลกร้อนขึ้น เกิดปัญหาก๊าซเรือนกระจกที่กักความร้อนจากแสงอาทิตย์ อันตรายจากโลกที่ร้อนขึ้นทำให้น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้หลอมละลาย ไหลบ่าลงสู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรซึ่งเป็นแกนกลางของโลก

“รัสเซล เทรน เดินทางมาพบเครือข่ายของพวกเราซึ่งรวมตัวกันได้ 15 รายตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เพื่อบอกว่า ตำแหน่งใกล้เส้นศูนย์สูตรของประเทศไทย คือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อรวมกับพื้นที่แนวเส้นศูนย์สูตรของประเทศต่าง ๆ จะมีประชากรรวม 100 กว่าล้านคน ที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ดังกล่าว”

ปัญหาที่เกิดขึ้นนำไปสู่การค้นหาทางออก อาทิ แนวทางเรื่อง “ข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ  (UN Global Compact-UNGC)” เพื่อการดำเนินธุรกิจบนความรับผิดชอบต่อสังคมที่สอดคล้องกับ “หลักการสากล 10 ประการ (Ten Principles)” ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และการต่อต้านคอรัปชัน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสู่การวาง “เป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals-SDGs)” รวม 17 ข้อ ในปัจจุบัน 

ข้อเสนอเรื่อง ”Global Green New Deal” ที่องค์การสหประชาชาติเตรียมเริ่มต้นใช้ในปีหน้า ด้วยการนำเอาปัญหาโลกร้อนมากางบนโต๊ะให้เห็นอย่างถ้วนหน้าว่า มีความรุนแรงขนาดไหน สมรภูมิความขัดแย้งตามภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ที่นำไปสู่การสู้รบได้สร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเท่าไร งบประมาณที่ใช้จ่ายไปเพื่อการสงครามและการทหาร ควรถูกนำมาใช้ในการพัฒนาพลังานทางเลือกดีกว่าหรือไม่ หรือ ประเทศอุตสาหกรรมเกิดก่อนต่าง ๆ ซึ่งสร้างคาร์บอนมาระดับหนึ่ง ควรต้องออกมาร่วมแสดงความรับผิดชอบต่อวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างไร 

การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้ายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) ทำให้เห็นแนวทางความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 (ค.ศ.2050) หรือ การทวงถามงบช่วยเหลือจากประเทศอุตสาหกรรมเกิดก่อนที่ใช้ทรัพยากรโลกและสร้างคาร์บอนมาก่อน ซึ่งได้ยอดชดเชยสรุปรวมถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  

“การจัดตั้งองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก ทำให้องค์กรธุรกิจอย่างพวกเราต้องรับการตรวจประเมินจากเจ้าหน้าที่ทุก 3 เดือน การเดินทางโดยเครื่องบินจะถูกตรวจสอบว่า ได้สร้างคาร์บอนในปริมาณเท่าไร โดยมีจดหมายแจ้งยอดการเกิดคาร์บอนจากกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน” 

เครือข่าย SVN ร่วมสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมไทยยั่งยืน

บทบาทของ SVN ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คือ การสนับสนุนการเคลื่อนไหวในการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ แต่ไม่สนับสนุนหรือแสดงท่าทีกดดันหากเห็นว่า ธุรกิจทำสิ่งที่เป็นภัยหรือสร้างความลำบากให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม การขับเคลื่อนองค์ความรู้เพื่อสร้างการตระหนักรู้ผ่านเครือข่ายนักธุรกิจ แต่การดำเนินการช่วงเริ่มต้นไม่ค่อยเกิดผลใด ๆ แม้แต่นักวิเคราะห์หุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่ได้คำนึงว่าเป็นเรื่องสำคัญ จนเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา มีหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงปัญหาโลกร้อนมากมาย รวมถึงเกิดฉันทามติโลกที่ยืนยันถึงการเข้าสู่วิกฤติด้านสภาพภูมิอากาศ

ปัจจุบัน SVN มีองค์กรสมาชิกราว 20-30 ราย มีการจัดประชุมเวียนไปตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือตัวอย่างจากต่างประเทศ การติดตามทิศทางการเคลื่อนไหวด้านความยั่งยืนขององค์กรต่าง ๆเช่น องค์การสหประชาชาติ ไม่ว่าจะเป็นประเด็น Global Compact, SDGs โดยพร้อมเดินตามกรอบความร่วมมือ การให้การสนับสนุน และเผยแพร่องค์ความรู้อย่างเต็มที่

“เรายังต้องการองค์กรรุ่นใหม่ คนยุคใหม่ที่เป็นนักปฏิบัติเข้ามาร่วมขับเคลื่อนการทำงานของเครือข่ายมากขึ้น รวมถึงบูรณาการความร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ที่กำลังเดินไปแนวทางรักษ์โลกเช่นเดียวกัน”

วิสัยทัศน์ความยั่งยืนของแพรนด้าจิลเวลรี่

การเกิดขึ้นของ Global Compact ในปี 2543 เปรียบเหมือนการสร้างสัญญาประชาคมของโลกขึ้นใหม่ โดยองค์การสหประชาชาติต้องการเน้นการทำงานร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาชนโดยตรง นอกเหนือจากการขับเคลื่อนร่วมกับภาครัฐไปก่อนหน้านี้

แพรนด้า จิวเวลรี่ นับเป็นบริษัทไทยแห่งแรกที่ลงนามกรอบความร่วมมือ Global Compact ในปี 2545 ภายหลังการริเริ่มของ โคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ณ ขณะนั้น เพื่อให้ธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เช้ามามีส่วนร่วมโดยสมัครใจในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

การตัดสินใจลงนามเกิดขึ้นเนื่องจากเห็นด้วยกับเรื่องบัญญัติ 10 ประการ ที่ทำให้เกิดการแข่งขันทางให้เกิดอย่างเสมอภาคและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับแนวทางการทำงานขององค์กรเรื่อง CSR รวมถึงการตั้งเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินการล่วงหน้าไปก่อนนี้แล้ว 6-7 ปี

ในปี 2553 ประเด็น Global Compact  ถูกปรับเปลี่ยนมาเป็น SDGs เพื่อส่งเสริมแนวทางแสวงหาความร่วมมือที่มากขึ้น คุณปรีดาถูกเชิญให้เข้าร่วมการประชุมที่เมืองดาวอส และได้ร่วมลงนามเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายสร้างความยั่งยืน ซึ่งขณะลงนามมีเพียง 12 ข้อ เท่านั้น

การได้รับเกียรติเป็นผู้กล่าวปิดการประชุมในครั้งนั้น คุณปรีดาชี้ให้ที่ประชุมเห็นว่า ประเด็นความยั่งยืนเป็นสิทธิระดับพื้นฐานของมนุษย์ และเป็นคุณค่าสากล (Universal Value) ที่มนุษย์พึงให้แก่กัน และน่าจะเป็นจุดเชื่อมโยงความร่วมมือของประชาคมโลกที่อยู่เหนือประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศไม่ว่าเรื่องใด 

ปัจจุบัน เป้าหมาย SDGs ถูกขยายผลเพิ่มเติมเป็น 17 ข้อ ซึ่งแพรนด้า จิวเวลรี่สามารถบรรลุเป้าหมายแล้ว 8 ข้อ และมีแผนดำเนินการเพิ่มเติมในเป้าหมายข้ออื่น ๆ ต่อไป อย่างไรก็ตาม ตลอด 50 ปีของการดำเนินธุรกิจ องค์กรได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สะท้อนผ่านการประกอบอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ โดยเฉพาะรางวัลด้านการดูแลบุคลากร วัดจากยอดการลาออกของพนักงานถือว่าต่ำมาก แม้แต่ลูกค้ารายแรกยังทำธุรกิจกับองค์กรจนถึงทุกวันนี้

ปรีดากล่าวว่า ผลดีที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ คือ ความภักดีจากลูกค้า การซื้อขายสินค้ากับซัพพลายเออร์ที่แทบไม่ต้องต่อรองราคา พนักงานที่พร้อมพูดคุย ให้ความร่วมมือ และทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับองค์กร 

“ยิ่งทำมากก็ยิ่งมีส่วนช่วยเลดคาร์บอนได้มาก ยิ่งทำไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งซึบซับถึงประโยชน์  ลูกค้าเพิ่มขึ้นเพราะมั่นใจว่า คุณได้ปฏิบติตามมติของสังคมโลกอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มักตั้งคำถามถึงเรื่องราวเหล่านี้ หากไม่ทำ ธุรกิจอาจอยู่ไม่ได้ในอนาคต” 

นำธงแพรนด้ากรุ๊ปคาร์บอนเป็นศูนย์ตามเป้าหมายยูเอ็น 

คุณปรีดาให้ความมั่นใจว่า บริษัทในกลุ่มแพรนด้า กรุ๊ป จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้ตามเป้าหมายในปี 2593 และน่าจะเป็นอุตสาหกรรมแรกที่ทำได้ เนื่องจากกระบวนการผลิตแทบจะไม่มีการสร้างมลภาวะ จะมีเพียงเครื่องชุบและเครื่องหล่อที่ปล่อยคาร์บอนอยู่บ้าง แต่นับว่าน้อยจนไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น เช่น โรงผลิตเหล็ก เป็นต้น

“การทำ CSR ในอดีต เราเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ลูกค้า พนักงาน ซัพพลายเออร์ แต่ไม่มีเป้าความสำเร็จ หรือพันธสัญญาเชิงคุณภาพที่ชัดเจน  แต่เมื่อนำแนวทางความยั่งยืนเช่น SDGs มาใช้ ทำให้สามารถกำหนดพันธกิจองค์กร และเรียงลำดับช่วงเวลาดำเนินการที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ในการพัฒนาองค์กรให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหม่ที่ไร้คาร์บอน โดยตั้งเป้าหมายลดคาร์บอนให้ได้อย่างน้อย 25-30% ในปี 2573 รวมถึงปูทางคนรุ่นใหม่ให้มารับช่วงต่อเพื่อทำพันธกิจนี้ให้สำเร็จในอนาคต”

ขณะเดียวกัน ได้ให้ความเห็นว่า ภาครัฐซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง ต้องมีส่วนร่วมสนับสนุนและทำงานคู่ขนานไปกับภาคเอกชน รวมถึงนำแนวทาง SDGs ทั้ง 17 ข้อ ไปใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติในหน่วยงานภาครัฐเอง เพราะถ้าภาคเอกชนทำแต่ภาครัฐไม่ขับเคลื่อน การไปถึงเป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์คงไม่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างประเด็นเรื่องพลังงานทางเลือก หากยังคงผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหิน ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนสูงเข้าไปใช้หรือจำหน่ายในประเทศ 

ปรีดา กล่าวว่า โลกที่ร้อนขึ้น 1.5 องศาและจะร้อนขึ้นไปอีก ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า มนุษย์ได้ใช้ทรัพยากรโลกอย่างไม่ทะนุถนอมมาตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อ 100 กว่าปีทีแล้ว แม้แต่การผลิตสินค้าในอดีตที่ไม่เคยคำนวณต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมรวมเข้าไปด้วย 

“เมื่อปัญหาโลกร้อนทำให้ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิต ต่อความเป็นอยู่ที่ยากลำบากจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น พวกเราจึงอยู่เหมือนเดิมไม่ได้ ต้องหันหน้ามาร่วมมือกันเพื่อชดเชยความเสียหายจากการกระทำในอดีต และประคับประคองไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ รวมถึงไม่คิดกอบโกย โดยปราศจากการคำนึงสุขภาพของประเทศ และสุขภาพของประชาชน” 

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ถอดสูตรการลงทุนสไตล์ SeaX Ventures กับ “ศุภชัย ปาจริยานนท์”

“เมื่อคน (ไม่) กินผัก อยากปลูกผัก” ออร์แกนิกแท้แบบ Wenzel ของ กัญภัส ศรีณรงค์ ชยานุวัฒน์

“สมชัย สิทธิชัยศรีชาติ” แม่ทัพ “SiS” – IT distributor ไทย ที่ครองแชมป์ได้ยาวนาน 30 ปี

×

Share

ผู้เขียน