Share on
×

Share

CMO ต้องรู้! 10 กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ โดย สโรจ เลาหศิริ

ตำแหน่ง CMO จึงถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีความต้องการสูงในตลาด ทั้งในไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะในธุรกิจที่ต้องการการสร้างแบรนด์และการตลาดดิจิทัลในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความสำคัญของการตลาดที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับบริษัท การเป็น CMO จำเป็นต้องมีทักษะที่ครอบคลุมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูล การคิดเชิงกลยุทธ์ การนำทีม และการนำความรู้ด้านเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งทำให้ตำแหน่งนี้มีความท้าทายและจำเป็นต้องอัปเดตทักษะอย่างต่อเนื่องโคยเฉพาะยุคที่มีการเข้ามาของเครื่องมือ MarTech มากมายรวมถึงการเติบโตของเทคโนโลยี 

สโรจ เลาหศิริ ผู้ที่มีประสบการณ์ในตำแหน่ง Marketing Transformation Consultant หรือกรรมการสมาคมเทคโนโลยีการตลาดแห่งประเทศไทย/เจ้าของ “เพจสโรจขบคิดการตลาด” ได้มาเปิดเทคนิคสำคัญสำหรับ CMO เพื่อเป็นแนวทางหรือทิศทางเพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วย “10 Priorities to focus in the age of AI : หมวดหมู่หลักของการจัดการในด้านการตลาดสำหรับ CMO ในยุค AI” ภายในงาน MARKETING INSIGHT & TECHNOLOGY CONFERENCE 2024 ซึ่งครอบคลุมทั้งความท้าทายที่เกิดขึ้น 10 หมวดหมู่หลักที่ CMO ต้องให้ความสำคัญ รวมถึงเทคนิคการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ทำความรู้จักอาชีพ CMO

อาชีพ CMO (Chief Marketing Officer) คือ ผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านการตลาดขององค์กร หน้าที่หลักของ CMO คือการวางแผนและกำกับดูแลกลยุทธ์การตลาดทั้งหมดของบริษัท รวมถึงการสร้างแบรนด์ การสร้างกลยุทธ์การโฆษณา การวิเคราะห์ตลาด การวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค ทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลา ด้วยการใช้ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics) และการวิเคราะห์ตลาดช่วยให้ CMO สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงหน้าที่การกำหนดแนวทางการตลาดดิจิทัล ให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวของบริษัท การสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งสามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และผู้บริโภคได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) การสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ หรือการขยายตลาดอีกด้วย

ผลจากการสำรวจบริษัท Fortune 500 หรือรายชื่อบริษัทชั้นนำของโลก 500 แห่ง ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นการจัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune พบว่า ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้บริหารระดับ C-suite โดยนับเป็นปีในการดำรงตำแหน่ง ผลแสดงว่าตำแหน่ง Chief Executive Officer (CEO) มีค่าเฉลี่ยการดำรงตำแหน่งอยู่ที่ 6.7 ปี ส่วนตำแหน่ง Chief Marketing Officer (CMO) มีค่าเฉลี่ยการดำรงตำแหน่งอยู่ที่ 4.2 ปี และสุดท้าย C-suite Average (ค่าเฉลี่ยของผู้บริหาร C-suite ทุกคน) อยู่ที่ 4.4 ปี หากสังเกตผลลัพธ์เหล่านี้จะเห็นว่า CMO มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งสั้นกว่าตำแหน่งอื่น ๆ เช่น CEO, CFO และตำแหน่งอื่นๆ ในกลุ่ม C-suite จากการสำรวจหาเหตุผลเพิ่มเติมก็ได้พบว่า ตำแหน่ง Chief Marketing Officer (CMO) จะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งค่อนข้างบ่อยหากทำงานเฉลี่ยที่ 2-3 ปี หมายความว่ายิ่งดำรงดำแหน่งได้ไม่นานยิ่งมีโอกาสปรับเปลี่ยนไปทำงานตำแหน่งหรือสายงานอื่น

โดยธรรมชาติงานตำแหน่ง CMO จะเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตำในปีที่ 3-4 ที่ดำรงตำแหน่ง เนื่องจากต้องวัดผลลัพท์การดำเนินงาน ว่าสามารถสร้างกำไรหรือทำตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ได้หรือไม่ หากไม่แข็งแกร่งพอจะก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ได้ตำแหน่ง CMO คงไม่เหมาะกับคุณ

4 ความท้าทายที่ CMO ทุกคนต้องเผชิญ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ CMO (Chief Marketing Officer) มักไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้นาน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งแจกแจงออกเป็น 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1. Adaptation to Market Dynamic: ความเปลี่ยนแปลงทั้งองคาพยพ ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้ตลาดมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น เจนเนอเรชันใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น แพลตฟอร์มต่างๆ ที่เปลี่ยนอัลกอลิทึม หรือจะเป็นปัจจัยเศรษฐกิจภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน ราคาสินค้าพื้นฐาน หรือสภาวะการแข่งขันในตลาด เป็นปัจจัยหนึ่งที่ CMO ต้องปรับตัว แต่เป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากมากๆ การเตรียมตัมตั้งรับจึงเป็นทักษะอย่างสำคัญที่ CMO ควรมีติดตัว

2. Business & Strategy: ต้องเข้าใจธุรกิจทั้งหมด ไม่ใช่แค่ด้านการตลาดเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจว่าเป้าหมายยอดขายหรือผลกำไร (ROI – Return on Investment) เป็นเรื่องสำคัญในมุมมองขององค์กร การรู้ว่ากำไรของบริษัทมาจากแหล่งไหน และแผนการตลาดสามารถช่วยสร้างยอดขายหรือผลกำไรได้อย่างไร ไม่เพียงต้องโฟกัสกับการตลาดเพื่อทำยอดในระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องคิดถึงการแข่งขันในระยะยาวและการพัฒนาแบรนด์ให้ยั่งยืน การตัดสินใจในการเลือกกลยุทธ์ที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

3. Technology & Data: กระแสการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลที่รวดเร็ว ซึ่งรวมถึงการปรับตัวนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้กับกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์อยู่เสมอ และการมีข้อมูลมากเกินไปโดยที่ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการตัดสินใจทางการตลาด หาก CMO ขาดทักษะหรือความเชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและเทคโนโลยีขั้นสูงจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของทีม และกระทบกับภาพรวมองค์กรอย่างแน่นอน

4. Internal Management: การทำงานร่วมกับ CEO หรือคณะผู้บริหารระดับสูงมักมีความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะในเรื่องเป้าหมายและวิธีการบริหารด้านการตลาดความล้มเหลวในการร่วมมือกับทีมภายในองค์กรหรือแผนกอื่น ๆ ส่งผลให้กลยุทธ์การตลาดไม่เป็นไปตามแผนกระทั่งการไม่ปรากฏผลลัพธ์ที่คาดหวังไว้ 

ความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกของการตลาดสมัยใหม่ ทำให้ตำแหน่ง CMO เป็นหนึ่งในตำแหน่งที่มีความท้าทายมากที่สุดอาชีพหนึ่ง ในองค์กร เพราะทุกการการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ความกดดันทางธุรกิจ ความท้าทายทางเทคโนโลยี และการบริหารจัดการภายใน ล้วนมีผลกับทิศทางของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญทั้งสิ้น

10 เรื่องที่ CMO ต้องรู้หากอยากอยู่ในดำแหน่งให้นาน

สโรจ กว่าวว่า นักการตลาดในปัจจุบันไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่สร้างแคมเปญเพื่อส่งเสริมการขายเท่านั้น แต่ยังต้องมีบทบาทเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ในการทำงานร่วมกับผู้บริหารระดับสูงขององค์กร การที่จะก้าวขึ้นไปอีกขั้นและสเตปอัปในสายอาชีพ นักการตลาดจำเป็นต้อง ปรับเปลี่ยนมายเซ็ต (mindset) ให้มองภาพรวมขององค์กร และมีความสามารถในการสร้างทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ การมีทักษะและการบริหารจัดการที่จำเป็นในด้านต่าง ๆ ของการตลาดนั้นสำคัญ จึงเผย Frame work ของ Gartner Priorities Navigator สำหรับ CMO ซึ่งครอบคลุมทั้งการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การพัฒนาประสบการณ์ลูกค้า การจัดการเนื้อหา การใช้เทคโนโลยี รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด และอีกมากมายที่รวบรวมมาให้ 10 ประเด็นหลัก ดังนี้

1. Marketing Leadership & Strategy: การมีภาวะผู้นำและกลยุทธ์ด้านการตลาด การจัดการบริหารทีม (Marketing Organization & Talent) เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้แผนการตลาดขององค์กรประสบความสำเร็จ น้นการสร้างทีมที่มีทักษะหลากหลายทั้งด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างเนื้อหา และการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างทันท่วงที การมีกระจายอำนาจในการตัดสินใจที่ชัดเจนสำหรับทีมงานและผู้จัดการในแต่ละระดับช่วยให้องค์กรสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ และสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์ รวมไปถึง การวาง Marketing Organization Alignment ในแต่ละปีสอดคล้องกับแผนธุรกิจขององค์กร 

2. Brand Management: การจัดการแบรนด์ โดยเฉพาะ Brand Strategy & Architecture ที่มีความสำคัญต่อการสร้างกลยุทธ์และโครงสร้างของแบรนด์เพื่อสนับสนุนคุณค่าและเป้าหมายขององค์กร แนวคิด Mass Brand หรือการสร้างแบรนด์เดียวที่ตอบสนองความต้องการของทุกคนอาจไม่เพียงพออีกต่อไป องค์กรที่ต้องการเติบโตมักต้องพิจารณาการสร้าง House of Brands ซึ่งเป็นการแยกแบรนด์ย่อยออกมาเพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ในขณะเดียวกันต้องชัดเจนใน Brand Architecture หรือโครงสร้างแบรนด์ที่เหมาะสมด้วยเพราะการออกแบบโครงสร้างแบรนด์ที่ดีจะช่วยให้แบรนด์ย่อยสามารถเติบโตได้แม้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงก็ตาม

3. Customer Experience (CX): การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เป็นหัวใจสำคัญเนื่องจากลูกค้ามีความคาดหวังสูงขึ้นและต้องการประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในทุก Touch Points กับแบรนด์ ศึกษาทุก Customer Journey ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า การบริการหลังการขาย หรือการติดต่อสอบถาม การสร้างประสบการณ์ที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกค้าพึงพอใจ แต่ยังเพิ่มโอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำและแนะนำให้ผู้อื่น ต้องเริ่มใช้กลยุทธ์ CRM Strategy และสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) โดยทำงานแบบ Outside-in เน้นการออกแบบด้วยการมองจากมุมมองของลูกค้าและ Inside-out คือการมองจากภายในองค์กร เน้นไปที่การทำงานร่วมกับแผนกต่าง ๆ ให้ทุกฝ่ายสามารถส่งมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีได้อย่างเป็นระบบ

4. Marketing Channels & Content:  การจัดการช่องทางการตลาดและเนื้อหาของแบรนด์ การจัดการทุกช่องทางการตลาดให้มีความเชื่อมต่อ(Connected Touchpoints) ตั้งแต่การรับรู้แบรนด์ การค้นหาข้อมูล การตัดสินใจซื้อ จนถึงบริการหลังการขาย การที่แบรนด์สามารถตอบสนองได้ตรงจุดในทุกช่องทางทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความต่อเนื่องและเป็นประสบการณ์ที่สอดคล้องกัน ไม่เพียงแต่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า แต่ยังช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สามารถ “ดีฟไดร์ฟ” (Deep Dive) ลงไปในพฤติกรรมและความคิดเห็นของลูกค้าได้อย่างละเอียด รวมไปถึงการโฆษณา การจัดการแคมเปญ และการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตลอดจนการต่อยอดกลยุทธ์การตลาดในขั้นตอนการได้มาของลูกค้าใหม่ (Acquisition) การบริโภคหรือการใช้สินค้า/บริการ (Consumption) และการรักษาลูกค้า (Retention)

5. Customer Acquisition & Growth: การดึงดูดลูกค้าและการเติบโต สิ่งสำคัญในการดำเนินการนี้ คือการวางแผนสัดส่วนการโฟกัส ให้เหมาะสมกับงบประมาณ การจัดสรรงบประมาณให้สมดุลระหว่างการสร้างดีมานด์ของลูกค้าใหม่ (Acquisition) การปิดการขายเพื่อให้ลูกค้าใช้สินค้า/บริการ (Consumption) และการรักษาลูกค้า (Retention) จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้เพราะการโฟกัสมากเกินไปในด้านใดด้านหนึ่งอาจทำให้ไม่สามารถสร้างความสำเร็จได้อย่างเต็มที่

6. Market Positioning & Differentiation: การวางตำแหน่งทางการตลาดและการสร้างความแตกต่าง ด้วยการการปรับปรุงการส่งสาร (Messaging) ที่ชัดเจนและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และสร้างความแตกต่าง (Differentiation) ที่โดดเด่นเพื่อทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำและมีความน่าสนใจในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยที่กล่าวมาต้องมีการวางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Segmentation) ด้วยการพิจารณาจากหลายปัจจัยเพื่อให้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนและสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตรงจุด ตัวอย่างเช่น Demographic Segmentation การแบ่งกลุ่มตามข้อมูลประชากรแบ่งตาม พศ, อายุ, อาชีพ, รายได้ครัวเรือน, สถานภาพการสมรส หรือ Psychographic Segmentation การแบ่งกลุ่มตามจิตวิทยาแบ่งตาม ค่านิยม, ความสนใจ, บุคลิกภาพ หรือ Behavioral Segmentation การแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรมแบ่งตาม ช่วงชีวิต, กิจกรรมบนเว็บไซต์, การมีปฏิสัมพันธ์ครั้งล่าสุดกับลูกค้า, การใช้งานในอีคอมเมิร์ซ ฯลฯ เป็นต้น

7. Digital Commerce Strategy: กลยุทธ์การค้าดิจิทัล ที่นี้หมายถึงการเข้าใจหน้าที่ของทุกแพลตฟอร์ม เรียนรู้ลักษณะการทำงานรวมกันเพื่อการวางแผนและการดำเนินงานนี้ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มดิจิทัลในการทำธุรกิจออนไลน์ Digital Commerce กลายเป็นช่องทางสำคัญในการขยายธุรกิจ การเพิ่มช่องทางการขายใหม่ ๆ จึงไม่ใช่เพียงการนำสินค้าขึ้นแพลตฟอร์มออนไลน์เท่านั้น แต่จำเป็นต้องเข้าใจ Ecosystem ของการขายในโลกดิจิทัลอย่างถี่ถ้วน ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจว่า ลูกค้าพบสินค้าเราได้จากจุดไหน ในโลกออนไลน์ เช่น ลูกค้าอาจพบสินค้าเราผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย, Market Place, เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ หรือแม้กระทั่งผ่านคอนเทนต์ที่พวกเขาบริโภค การรู้ว่าลูกค้าเจอเราได้ที่ไหนจะช่วยให้เราสามารถประเมินได้ว่าสินค้าของเราสามารถขายได้ดีในช่องทางนั้น ๆ หรือไม่ หากแพลตฟอร์มใดมีโอกาสที่ดี แต่เรายังไม่มีโมเดลการขายที่รองรับ ควรพิจารณาว่าจะสร้างโอกาสนั้นอย่างไร และการวางแผนต้องสามารถประเมินผลลัพธ์และปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง การใช้ข้อมูลจากพฤติกรรมของลูกค้า การติดตามยอดขาย และการทดลองแผนการตลาดใหม่ ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการขายในช่องทางดิจิทัลสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

8. Marketing Data & Analytics: การเก็บข้อมูลการตลาดเพื่อวิเคราะห์สาเหตุและแนวโน้มที่เกิดขึ้น โดยแบ่งระดับความซับซ้อนในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่
     – Hindsight ใช้คำถามว่า “เกิดอะไรขึ้น” โดยการวิเคราะห์ข้อมูลที่ผ่านมาซึ่งเป็นข้อมูลดิบเพื่อนำมาแสดงผลในรูปแบบของรายงานหรือการเล่าเรื่องด้วยข้อมูล (Data Storytelling) ตัวอย่างเช่น การทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานหรือการวิเคราะห์แนวโน้มต่าง ๆ ซึ่งใช้เพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
     – Insight ใช้คำถามว่า “ทำไมมันถึงเกิดขึ้น” เพื่อเข้าใจสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขั้นตอนนี้ช่วยให้เรารู้ถึงปัจจัยที่มีผลต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ และทำให้สามารถวางแผนหรือปรับปรุงการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
     – Foresight ใช้คำถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้น” และ “เมื่อไหร่และทำไม” โดยใช้เครื่องมือขั้นสูง เช่น Machine Learning และ การเก็บรวบรวมข้อมูลมหาศาล (Data Mining) เพื่อคาดการณ์แนวโน้มและพฤติกรรมในอนาคต การวิเคราะห์นี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และปรับตัวได้ล่วงหน้า

9. Marketing Operation: การจัดการงานทางการตลาด ต้องไม่หยุดอยู่ที่การวางแผนกลยุทธ์เท่านั้น แต่ความสำเร็จที่แท้จริงมาจากการลงมือทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สามารถทำได้โดยอาศัยแนวคิดเรื่อง “Execution Governance” หรือการจัดการเพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมาย คือการเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ เป้าหมายที่กำหนดควรครอบคลุมและสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร เช่น การเพิ่มยอดขาย การขยายฐานลูกค้า หรือการสร้างความตระหนักรู้ในแบรนด์ หลังจากที่กำหนดเป้าหมายแล้วการสื่อสารกับทีมงานเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากทีมต้องเข้าใจเป้าหมายอย่างชัดเจนและมีความเข้าใจตรงกันในสิ่งที่ต้องทำ รวมถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละคนให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน ขั้นตอนถัดมาคือการตรวจสอบความพร้อมของธุรกิจและทีมงาน พร้อมทั้งธุรกิจ ทีมงาน และอุปกรณ์หรือไม่ ก่อนเริ่มดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ และสุดท้ายการมี Action Plan ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมจะช่วยให้ทีมงานมีแนวทางในการปฏิบัติและสามารถติดตามผลได้ แผนปฏิบัติการนี้ควรรวมถึงกำหนดเวลาที่แน่นอน และเครื่องมือที่จะใช้ในการติดตามและประเมินผลการทำงาน

10. Marketing Technology: กลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีในการทำการตลาดการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่เพียงแค่การวางแผนกลยุทธ์ที่ดีเท่านั้น แต่ยังต้องเลือก เครื่องมือ (Tools) ที่ช่วยให้การดำเนินงานง่ายขึ้นและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ทีมงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาการทำงาน และเพิ่มผลลัพธ์ทางการตลาดได้มากยิ่งขึ้น เช่น แพลตฟอร์มการจัดการโซเชียลมีเดีย, ซอฟต์แวร์การตลาดอัตโนมัติ (Marketing Automation), หรือเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics Tools) โดยอีกกลยุทธที่สำคัญคือการสังเกตเห็นช่องว่าง (GAP) ที่ต้องเติมเต็มระหว่างแต่ละขั้นตอนของ Business Objectives, Marketing Objectives, MarTech Initiative และ Measurement 

โดยสรุปแล้วในบทบาทผู้นำเชิงกลยุทธ์ การเป็น CMO ที่ดีต้องสามารถ Lead direction หรือกำหนดทิศทางที่สอดคล้องไปกับเป้าหมายหลักขององค์กรได้อย่างเหมาะสม ไม่เพียงทำตามแต่ต้องร่วมคิดเสมือนเป็นเจ้าของบริษัท ที่จะพาทุกคนให้เติบโตไปพร้อมกันแม้จะต้องดูภาพรวมของกลยุทธ์มากมาย แต่การทำงานอย่างรอบคอบ รอบด้าน มีความเข้าใจในธุรกิจ ลูกค้า ปรับตัวใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้ามาการก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ไปได้จะทำให้ CMO เติบโตในหน้าที่การงาน เป็นทั้งทางรอด และเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานได้อย่างแน่นอนน

×

Share

ผู้เขียน