Share on
×

Share

ACMECS: ไทยหนุนความร่วมมือ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน

ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในผู้ริเริ่มยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งลุ่มแม่น้ำอิรวดี เจ้าพระยา และแม่โขง หรือ ACMECS (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy) กำลังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือของ 5 ประเทศในภูมิภาค ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ เช่น การค้า การลงทุน การเกษตร อุตสาหกรรม พลังงาน รวมถึงการท่องเที่ยวและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในอนาคต ทั้งนี้ก็เพื่อก่อให้เกิดการเติบโตและความเท่าเทียมกันในระดับอนุภูมิภาค และพร้อมสำหรับเวทีตลาดโลกมากยิ่งขึ้น

นี่จึงเป็นบทสรุปมุมมองของผู้นำจากภาคธุรกิจและภาครัฐได้เข้าร่วมเสวนาเพื่อแบ่งปันมุมมองต่อการสร้างความร่วมมือที่มั่นคงในภูมิภาค ACMECS ผ่านการเชื่อมโยงเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนระยะยาว จากงาน “Towards The Prosperous ACMECS” ภายใต้หัวข้อ “ACMECS Opportunities in the Seamless Connection” มาดูว่าภาคเอกชนของไทยมีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้กันบ้าง

ความร่วมมือเชิงเศรษฐกิจในภูมิภาค ACMECS คือ โอกาสและศักยภาพที่ไม่มีขีดจำกัด

นฤชา ฤชุพันธุ์ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวถึงความสำคัญของการร่วมมือในภูมิภาค ACMECS โดยเน้นว่า ความร่วมมือนี้จะช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจให้เกิดความเท่าเทียม และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล นอกจากนี้ การหารือประเด็นร่วมกันในกลุ่มประเทศสมาชิก ACMECS โดยเฉพาะในเรื่องภัยพิบัติและการท่องเที่ยวก็เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากแต่ละประเทศมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน ซึ่งการประสานจุดแข็งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกันได้ ยกตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย อาจเดินทางต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม ACMECS ก่อนที่จะกลับมายังไทยอีกครั้งก่อนจบทริป ซึ่งเป็นแนวทางในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในภูมิภาค รวมถึงยังเป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศสมาชิก ACMECS เช่น แรงงาน เทคโนโลยี ตลาด และ ทรัพยากรทางธรรมชาติ ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศมักเน้นการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ เช่น นักลงทุนในประเทศไทยที่มีธุรกิจมายาวนาน อาจขยายสาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาและพม่า เพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่เหล่านั้นได้

ในส่วนของบทบาทของ BOI นฤชาได้เน้นว่า BOI ควรมีนโยบายชักจูงนักลงทุนผ่านการลดภาษีหรือให้สิทธิประโยชน์ในบางกิจกรรมทางธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ นอกจากนี้ BOI ยังควรสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่พร้อมจะขยายการลงทุนไปต่างประเทศ ผ่านการให้คำปรึกษา จัดสัมมนา หรือจัดทริปเพื่อศึกษาลู่ทางการทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน ตัวอย่างเช่น หลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 700 ราย โดยในจำนวนนี้ 45% ตัดสินใจลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น

EXIM-Bank-ACMECS-web

เวทิต โชควัฒนา รองประธาน และประธานสายนอกอาเซียนและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมเพิ่มเติมว่า ACMECS นั้นเปรียบเสมือนเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่หากไม่เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับหมู่บ้านอื่น ๆ จะไม่สามารถประสบความสำเร็จในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ธุรกิจและเกษตรกรรม เนื่องจากขาดองค์ความรู้และภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวย แต่เมื่อเริ่มมีการติดต่อและเชื่อมโยงกับหมู่บ้านรอบข้าง ก็จะเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ส่งผลให้เกิดเอกภาพและความแข็งแกร่งในหมู่บ้าน ดังนั้น การสร้าง ACMECS จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น สนามบิน ทางรถไฟ และระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor) ซึ่งประกอบด้วย แนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) และ แนวพื้นที่เศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor) สิ่งเหล่านี้ช่วยพัฒนาความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของทั้ง 5 ประเทศสมาชิก โดยในปัจจุบัน แต่ละประเทศกำลังพิจารณาการเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างกันให้มีความเสมอภาค แข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพมากที่สุด

Wellness อีกตัวเร่งเศรษฐกิจที่ไม่ควรมองข้าม

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ต บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึง ได้กล่าวถึงผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ช่วงที่ผ่านมา ที่ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ซึ่งทำให้ภาคการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การดูแลสุขภาพ (Wellness) ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับบุคคลทั่วไป แต่ยังรวมถึงภาครัฐที่หลายประเทศกำลังผลักดันให้สุขภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการพัฒนาประเทศ ซึ่งจากข้อมูลของ Global Wellness Institute ขนาดเศรษฐกิจของอุตสาหกรรม Wellness ทั่วโลกมีมูลค่าถึง 6.3 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเป็น 8.5 ล้านล้านเหรียญในปี 2027 นพ.ตนุพลจึงได้เสนอให้ภูมิภาค ACMECS ร่วมกันพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด อัตราการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกเฉลี่ยสูงถึง 70,000 บาทต่อทริป โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีการเติบโตเป็นอันดับสองของโลก และคาดว่าจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

และเพื่อให้การพัฒนาในภูมิภาค ACMECS ประสบความสำเร็จ นพ.ตนุพลแนะนำให้แต่ละประเทศดำเนินการตามปัจจัยหลัก 5 ประการของ Global Wellness Institute (GWI) ได้แก่ 

  1. ธรรมชาติ – การอนุรักษ์สถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม
  2. อาหารสมุนไพร – การเน้นวัตถุดิบท้องถิ่นที่มีประโยชน์
  3. การต้อนรับ – ธุรกิจโรงแรมและการบริการนักท่องเที่ยว
  4. หัตถการแพทย์แผนไทย – การนวด สปา และการใช้สมุนไพร
  5. ทางการแพทย์ – การให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพ

และเนื่องด้วยการเชื่อมโยงระบบคมนาคม การสื่อสาร และวัฒนธรรมของ 5 ประเทศใน ACMECS จะช่วยทำให้ภูมิภาคนี้มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจและดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพิ่มขึ้นจากการที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้จะได้รับการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพและประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีขึ้นนั่นเอง

คำนึงถึงความร่วมมือกันในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเพิ่มให้มากขึ้น

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ACMECS เป็นการพัฒนาความร่วมมือในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้น ธรรมาภิบาล ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารจัดการ และลดความไม่พอใจระหว่างประเทศ การร่วมมือกันไม่ควรมุ่งหวังเพียงการเพิ่มรายรับ แต่ต้องคำนึงถึงการลดค่าใช้จ่ายจากผลกระทบของภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง ภาวะโลกร้อน และการลดลงของผลผลิตทางการเกษตร และเน้นถึงความสำคัญของการฝึกทักษะที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจสีเขียว (Skills for Green Economy) เพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การดับไฟป่า การอ่านทิศทางลม และการสื่อสาร อีกทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาคได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการที่จะทำให้ ACMECS ประสบความสำเร็จได้นั้นมี 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. สร้างความสนใจ ในความสำคัญของ ACMECS ให้มากพอ
  2. ทำความเข้าใจ ถึงบทบาทและเป้าหมายของ ACMECS
  3. ความมุ่งมั่นตั้งใจ ในการทำงานร่วมกัน

เพราะทั้ง 3 ปัจจัยนี้จะช่วยให้ ACMECS ประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว

ร่วมกันผลักดันความร่วมมือให้เกิดเป็นรูปธรรม

เวทิต โชควัฒนา กล่าวถึงตัวอย่างการดำเนินงานของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ที่ได้ผลักดันความร่วมมือภายใต้ ACMECS มาโดยตลอด แต่การรวมกลุ่มของ ACMECS กลับไม่สำเร็จก่อนเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพราะประเทศสมาชิกไม่ได้ประสบสถานการณ์เลวร้ายร่วมกัน หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย ประเทศต่าง ๆ ก็หันมาให้ความสำคัญกับเขตการค้าเสรี ASEAN และ APEC ทำให้ไม่มีนโยบายความร่วมมือภายใต้ ACMECS ซึ่งส่งผลให้แต่ละประเทศแข่งขันกันเพื่อดึงดูด FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ) ซึ่งนักลงทุนต่างชาติจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการเลือกประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์สูงสุดในขณะที่มีต้นทุนต่ำที่สุด

ดังนั้น เวทิตจึงเสนอว่าประเทศสมาชิก ACMECS ควรประชุมและหาแนวทางร่วมกันเพื่อประโยชน์สูงสุด ยกตัวอย่างเช่น การเปิดหลักสูตรปริญญาโทด้านธุรกิจในเมียนมาร์ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และการพัฒนาฝีมือแรงงานทั้งไทยและต่างชาติให้ได้มาตรฐานสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

นอกจากนี้ เวทิตยังได้กล่าวถึงกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA – Digital Economy Framework Agreement) ซึ่งจะเริ่มในปี 2568 ที่จะมีการเปิดเสรีทางการค้า สินค้า บริการ แรงงาน และข้อมูลทางเศรษฐกิจ คุณเวทิตมองว่ากลุ่มประเทศ ACMECS ควรเริ่มดำเนินการในด้านนี้ก่อน เพื่อเพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถทางเศรษฐกิจก่อนเข้าสู่ความร่วมมือในประชาคมอาเซียน รวมถึงทำการพัฒนาปัจจัยที่ส่งผลต่อขีดความสามารถของ ACMECS เช่น ความมั่นคงทางอาหาร ด้านสาธารณสุข ปริมาณผลผลิต และการใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานน้ำ ลม และแสงอาทิตย์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในภูมิภาคได้มากยิ่งขึ้น

สรุปแล้วการพัฒนา ACMECS นั้นไม่ได้มุ่งเน้นแค่การสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเน้นถึงการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งในด้านสุขภาพ การรักษาสิ่งแวดล้อม และการเชื่อมโยงทางคมนาคมเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและการค้า ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการสร้างภูมิภาคที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต และประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ริเริ่ม ACMECS กำลังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันและสนับสนุนความร่วมมือนี้ให้เติบโตต่อไป การสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและการทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพนี้คือแนวคิดที่จะช่วยให้ภูมิภาค ACMECS สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดโลก และสร้างอนาคตให้กับประชาชนทุกคนได้อย่างยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

จาก ‘สามเหลี่ยม-เขยื้อนภูเขา’ สู่ ‘สามวง-นวัตสังคม’

กรุงศรีลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท พัฒนาไอทีและดิจิทัลโซลูชัน ชู ‘Krungsri AI’ ยกระดับประสบการณ์ทางการเงิน

×

Share

ผู้เขียน