ประเทศไทยจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างไร? Future Readiness คือคำตอบ! ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์, ผยง ศรีวณิช และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย จะมาให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับศักยภาพของไทย พร้อมแนวคิด “นักโต้คลื่น” ที่จะช่วยให้เราเข้าใจและพร้อมรับมือกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง เพื่อก้าวทันและนำหน้าในระดับโลก ติดตามกันต่อในบทความนี้!
ทำอย่างไรให้ประเทศไทยมีความพร้อม?
ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าว่า หากพูดถึง Future Readiness อันดับแรกต้องเข้าใจปัจจัยรอบตัวก่อน ทั้งปัจจัยที่ใกล้ตัวและไกลตัว ดูว่าปัจจัยตัวไหนที่เราสามารถปรับเปลี่ยนหรือบริหารจัดการได้ หากปรับเปลี่ยนคําที่ให้เห็นภาพกว้างขึ้นคือเรื่องของ Demographic รวมถึงปัจจัยจากเรื่อง Aging Society ,Climate change หรือเทคโนโลยี disruption ซึ่งปัญหาหรือผลกระทบจะนําไปสู่ขั้นตอนการปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ถือเป็นความท้าทายของไทย โดยที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ low growth ในหลายเรื่อง ที่มีการวางแผนหรือนโยบายแต่ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ ในเรื่องของความเหลื่อมล้ำที่กลายเป็นวาทกรรมและสิ่งที่มักจะถูกหลีกเลี่ยงในการที่จะพูดถึงคือเศรษฐกิจนอกระบบ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับที่สูงและปัจจัยใกล้ตัว
เศรษฐกิจนอกระบบหมายความว่า เราไม่มีโครงสร้างในเชิงระบบที่จะส่งผ่านพลังและผลลัพธ์ของความมั่งคั่ง ไปสู่ทุกภาคส่วนที่พึงได้รับผลได้อย่างเหมาะสม และมีความสมดุลกับในบริบทของประเทศไทยโดยรวม นําไปสู่ประเด็นความขัดขัดแย้งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง ช่วงอายุที่คุยกันไม่เข้าใจ ดังนั้น Future Readiness ต้องมีโครงสร้าง ทั้งด้านนวัตกรรม ความครอบคลุมและการเข้าถึง ความยั่งยืน รวมถึงความยืดหยุ่นปรับตัว หากนำมาวางเป็นกรอบหลักคิด เราต้องมาดูว่านวัตกรรมประเทศไทยมีความพร้อมในการนํานวัตกรรมมาสร้างความเท่าเทียม ความกินดี อยู่ดี และความมั่งคั่งได้หรือยัง ซึ่งเราต้องเลือกว่าเราจะเป็นประเทศที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมได้ด้วยตัวเอง หรือจะเป็นผู้บริโภคนวัตกรรมมาจากที่อื่น
ในด้านความความครอบคลุม หากโครงสร้างเศรษฐกิจนอกระบบยังสูงและกระตุ้นให้เกิดการต่อยอดของความนอกระบบต่อไป ก็ไม่สามารถสร้างความเท่าและลดความเหลื่อมล้ำได้ และด้าน sustainability ที่เราจะต้องสูญเสียทรัพยากรทุกปีจากการฟื้นน้ำท่วม แผ่นดินไหว ซึ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงและดึงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจ หากเรามีความยืดหยุ่นและความสารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจะสามารถช่วยปรับเปลี่ยนได้ทุกสถานการณ์ เป็น future readiness ที่อยากกลับมาชวนคิดว่าสิ่งที่เราพูดสิ่งที่เราอยากทําสิ่งที่เราลงมือทํา และสิ่งที่ใส่ทรัพยากรของระบบลงไปนั่นตอบโจทย์ในการเตรียมความพร้อมของเราได้อย่างเป็นระบบจริงหรือไม่ คุณผยงศรีวณิช
ดร.ภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ Thailand Future (สถาบันอนาคตไทยศึกษา) กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ได้เติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดมานาน ในขณะที่ถ้าเรามองข้างนอกประเทศไทยเทคโนโลยีกลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาวันต่อวัน เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการทำให้ประเทศเติบโตขึ้น เราต้องใช้ทรัพยากรเท่าเดิมหรือแม้กระทั่งน้อยกว่าเดิมให้สร้างผลลัพธ์ได้มากขึ้น ถ้าเกิดปัญญาประดิษฐ์ฉลาดกว่ามนุษย์โดยเฉลี่ย หากเราเข้าถึงทุนปัญญาเป็นจะกลายเป็น capital ประเภทใหม่ในในตําราเศรษฐศาสตร์ ซึ่งถ้าเราเข้าถึงได้คู่แข่งก็สามารถเข้าถึงได้ หากเราจะเข้าไปแข่งขันในตลาดโลกถือว่าต้องทำการบ้านหนักขึ้น ว่าเราจะผลิตอะไร จะทําท่องเที่ยวแบบไหน ต้องหาวิธีแข่งเพื่อให้ได้โลกได้รู้จักเรามากขึ้น ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งมิจฉาชีพ น้ำท่วม ฝุ่น และการจราจร เกิดขึ้นเพราะเราไม่ได้นำเทคโนโลยีปรับใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหา และไม่มี ownership อย่างชัดเจน ในการเป็นเจ้าภาพหลักที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้ลดความเหลื่อมล้ำได้ ดร. ณภัทรจาตุศรีพิทักษ์
ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษา ด้านเศรษฐกิจแห่งอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า Future Readiness คือการที่เราพร้อมที่จะคว้าโอกาสในอนาคตและรับความเสี่ยงในอนาคตพร้อมกัน นึกภาพว่าเรากําลังว่ายน้ำกันอยู่ในทะเล ถ้าเราจะไปข้างหน้าด้านหนึ่งเราก็ว่ายน้ำแบบปกติ แต่อีกด้านหนึ่งคือโต้คลื่นใหญ่ไปข้างหน้าและนําหน้าคนอื่น Future Readiness จะสะท้อนให้เห็นว่าเรามีความสามารถในการที่จะอ่านคลื่นออกและสามารถวางแผนนำหน้าคนอื่นได้ผ่าน 3 ปัจจัย
1.รู้นอก ลองอ่านคลื่นออก เข้าใจว่าคลื่นมีอะไรบ้าง เพราะคลื่นที่เข้าสามารถเข้าเปลี่ยนโลกได้อย่างถาวร หากเราโต้คลื่นต้องมองให้ออกจับจังหวะให้เป็นจึงจะสามารถรับมือได้
2.รู้ใน ต้องรู้ตัวเราเอง หากเราจะออกไปโต้คลื่น ต้องรู้ว่ามีบอร์ดหน้าตาแบบไหน กล้ามเนื้อตรงไหนเป็นกล้ามเนื้อที่เราแข็งแรง ตรงไหนเป็นจุดอ่อนก็เลือกใช้อุปกรณ์ให้ถูกและรู้จักตัวเอง หาจุดที่สามารถเริ่มพัฒนาได้
3.mindset หลายคนอาจจะคิดว่า Future Readiness คือการเตรียมพร้อม ถ้าความเสี่ยงในอนาคตจบอยู่แค่การเตรียมพร้อม จะกลายเป็นว่าหากมีคลื่นมาแล้วเราจะตั้งกําแพงรับ ถ้าเราตั้งรับอย่างเดียวเราจะกลายเป็นผู้ตามตลอด เพราะกำแพงอาจจะไม่ได้แข็งแรงเสมอไป ดังนั้นคลื่นที่จะมาใหม่เราต้องใช้ให้เป็นโอกาสแทนการรับมือทั้ง challenge และ change ดร.สันติธารเสถียรไทย
ความท้าทายด้านโครงสร้างของประเทศไทย
Future Readiness หลักโครงสร้างที่สะท้อนแนวนโยบายที่วางรากฐาน นำเทคโนโลยีมาช่วยขับเคลื่อน และใช้ทรัพยากรที่มีให้เป็นโอกาสในการก้าวไปข้างหน้า การใช้เทคโนโลยีของภาครัฐและ regulator เป็นการใช้เพื่อ future prove ที่ต้องมองไปข้างหน้าอีกเป็นปีๆ ในมุมภาครัฐถือว่าเป็นเรื่องยากในการทํา policy ที่ภาครัฐจะใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานสําหรับประชาชนเช่น เรื่องมิจฉาชีพ ฝุ่น น้ำท่วม ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาพื้นฐานแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นทั้งที่จริงมีคําตอบและมีเทคโนโลยีเก็บ data ดูว่ามันชนตรงไหน ซึ่งถ้าหน่วยงานให้ความใส่ใจที่จะใช้เทคโนโลยีในการปราบปรามปัญหาต่าง ๆ จะสามารถสร้าง future prove ได้ในหลายหลายมิติ
โครงสร้างเป็นเรื่องที่ท้าทายที่จะเปลี่ยนทุกอย่างให้ดีหมด ต้องเริ่มจากเรื่องที่อาจจะทําได้ก่อน เป็นตัวชูโรงที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆได้ ถ้าเราดูคลื่นหลากหลายอันที่เกิดขึ้นในนั้นมักจะมีโอกาสเสมอ สําหรับประเทศไทยสิ่งที่น่าสำรวจคือเรื่องของ care economic เศรษฐกิจที่เป็นผู้บริการ เริ่มจาก medical healthcare ไปถึง wellness ทั้งร่างกายและจิตใจ ไปถึงอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสมุนไพร อุตสาหรรมที่อยู่ในเศรษฐกิจเหล่านี้
ความท้าทายในการที่เราโต้คลื่น ยังมีตัวช่วนเสมอคือตัวโค้ชการ์ดเป็นอีกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในบริบทนี้ โค้ชการ์ดคงไม่สามารถห้ามทุกคนลงไปเล่นน้ำได้แต่คงส่งสัญญาณให้เห็นได้ชัดว่าคลื่นใหญ่กําลังจะมา คอยช่วยเหลือแนะนำคนที่กำลังอยู่ในทะเล ซึ่งโค้ชการ์ดในบริบทนี้คือรัฐบาล
ความสามารถในการโต้คลื่นของประเทศไทย ที่จะทำให้โต้คลื่นได้ดีต้องสร้างการแข่งขันในแต่ละกลุ่ม ปัจจุบันมีที่กำลังลอยตัวสบาย ๆ ลอยคอเอาตัวรอด และพร้อมโต้คลื่น ภาครัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือให้ถูกวิธี ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพหลายอย่าง แต่ยังเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็ก และมีโครงสร้างประชากรที่เป็นข้อจํากัด โอกาสรอดที่สําคัญสําหรับประเทศไทยคือต้อง connect กับโลก ให้เราได้ประโยชน์ให้เต็มที่ connect กับโลกแบบที่เราแบบ รู้เท่าทัน เพื่อให้ global talent หรือ global company มาอยู่ในประเทศไทยให้ได้ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญของไทย ภาคเอกชนและภาคประชาชน สามารถมีบทบาทในการสนับสนุนเป็น global citizen ทํางานร่วมกับรัฐเพื่อที่สร้างผลลัพธ์ให้เกิดขึ้นได้จริง