Share on
×

Share

อนาคตสตาร์ตอัพไทย? รัฐเร่งเครื่อง ปรับกลยุทธ์-อัดฉีดทุน

เสียงเตือนถึงอนาคตสตาร์ตอัพไทยดังขึ้น หลังการรับรู้ในเวทีภูมิภาคซบเซา ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐระดมสมองในงาน THAI STARTUP DAY 2025 ชี้เป้าปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ พร้อมอัดฉีดกลไกสนับสนุนชุดใหม่ หวังพลิกเกมขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก

ประเด็นสำคัญนี้ถูกจุดประกายขึ้นจากข้อสังเกตที่ว่าสตาร์ตอัพไทยดูเหมือนจะ “หายไปจากเรดาร์” ในงานเสวนาระดับภูมิภาค โดยการอภิปรายได้มุ่งเน้นไปที่การที่สตาร์ตอัพไทยได้รับการกล่าวถึงน้อยลง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยี (Tech Hub) อินโดนีเซียที่ถูกมองว่าเป็นตลาดดาวรุ่ง (Next China) หรือฟิลิปปินส์ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นตลาดที่เติบโตตามมา (Next Indonesia)

ไปยดา หาญชัยสุขสกุล ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากจำนวนสตาร์ตอัพไทยในกลุ่มเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ที่ยังมีสัดส่วนน้อย ประกอบกับช่องว่างในการนำผลงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) สตาร์ตอัพไทยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน (Application) มากกว่าการมุ่งเน้นเทคโนโลยีแกนหลัก ซึ่งอาจส่งผลต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ไปยดากล่าวว่า สตาร์ตอัพไม่จำเป็นต้องเป็น Deep Tech เสมอไป หากมีคุณค่า (Value) และศักยภาพในการขยายสู่ตลาดโลก (Global Platform) ก็สามารถเป็นจุดแข็งได้

ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” (Middle-Income Trap) ซึ่งการจะก้าวข้ามได้ต้องอาศัยแบรนด์ที่แข็งแกร่งหรือนวัตกรรมระดับสูง ดร.ชินาวุธกล่าวว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ “ความเสี่ยง” (Risk) ทั้งในมิติของ “ทุนที่พร้อมรับความเสี่ยง” (Risk Capital) ที่ยังไม่เพียงพอ และกรอบความคิดของสังคมและภาครัฐที่ยังคง “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” (Risk Averse) ขาดความเข้าใจในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีพอ ดังเช่นทัศนคติ “เงินรัฐตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้” หรือความกังวลต่อการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรม

ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวว่า การรับรู้ต่อสตาร์ตอัพไทยในระดับภูมิภาคที่ต่ำนั้นเป็นปัญหาที่มีมานาน ประเทศไทยมักถูกมองว่า “ดีแต่ยังไม่ถึงที่สุด” คือมีตลาดที่ใหญ่พอสำหรับการเริ่มต้น แต่เล็กเกินไปสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปริวรรตได้ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ใช้ตลาดทุนนำ มีการใช้ Matching Fund ในสัดส่วน 7 ต่อ 3 เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Venture Capital อย่างจริงจัง ขณะที่อินโดนีเซียมีตลาดภายในขนาดใหญ่ แม้จะมีความสนใจจากต่างชาติ แต่อุปสรรค (Barrier) บางประการยังคงอยู่ ทำให้เกิดสภาวะ “ไก่กับไข่” ที่การขาดการยอมรับในระดับสากล (International Presence) ส่งผลต่อความสนใจของนักลงทุน ปริวรรตกล่าวว่า สตาร์ตอัพไทยมุ่งเน้นตลาดสากล (International Market) ตั้งแต่เริ่มต้น และระบบนิเวศ (Ecosystem) โดยรวมต้องเปิดกว้างมากขึ้น

มาตรการสนับสนุนทางการเงิน หล่อเลี้ยงการเติบโตของสตาร์ตอัพ

ในการตอบสนองต่อความท้าทายด้านเงินทุน ไปยดา กล่าวว่า TED Fund มีภารกิจสนับสนุนสตาร์ตอัพในระยะเริ่มต้น (Early Stage) ผ่าน “กองทุนตั้งตัวได้” โดยมีทั้ง ทุน Pre-seed (Youth Startup) สำหรับนักศึกษาเพื่อพัฒนาแผนธุรกิจ ทุน Proof of Concept (POC) สูงสุด 1.5 ล้านบาท (ให้เปล่า) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบพร้อมการ Coaching และ Incubator ทุน Market Scaling Up 2 ล้านบาท (ให้เปล่า) เพื่อขยายตลาด (รอบปี 2568 ปิดรับแล้ว) และ ทุน Startup for Startup 2 ล้านบาท (ให้เปล่า) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสตาร์ตอัพ (เปิดรับต้นเดือนมิถุนายน 2568) นอกจากนี้ TED Fund กำลังศึกษาแนวทาง Matching Fund โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงเริ่มต้นและส่งต่อสตาร์ตอัพให้เติบโตต่อไป

ดร.ชินาวุธ กล่าวว่า depa มุ่งลงทุนใน Digital Startup ทั้ง Software, Hardware และโทรคมนาคม โดยสามารถลงทุนแบบถือหุ้น (Equity Investment) ได้ มีการลงทุนใน Seed Round ประมาณ 1 ล้านบาท (ส่วนหนึ่งเป็น Grant อีกส่วนเป็น Convertible Grant คืนเป็นหุ้นหรือ Soft Loan) Pre-Series A ประมาณ 5 ล้านบาท และมีแผนลงทุนขนาดใหญ่ขึ้นคือ 25 ล้าน หรือ 50 ล้านบาท ตามการเติบโตของสตาร์ตอัพ ดร.ชินาวุธ กล่าวว่า depa ไม่เพียงให้เงินทุน (Supply Policy) แต่ยังให้ความสำคัญกับ Demand Driven Policy เพื่อสร้างตลาดให้สตาร์ตอัพผ่าน “บัญชีบริการดิจิทัล” สิทธิประโยชน์ทางภาษี และ Matching Fund

ปริวรรต กล่าวว่า NIA ทำหน้าที่ “เชื่อมโยงและลดช่องว่าง” ในระบบนิเวศ โดยมีโครงการ Startup Thailand League ที่ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ทุนสำหรับนิติบุคคลต่อเนื่องจาก TED Fund ถึง 2 ล้านบาท ทุน Open Innovation 1.5 ล้านบาท (Grant) สำหรับ Product Market Fit ในทุกอุตสาหกรรม (รวม Innovative SME) ทุน Deep Tech สูงสุด 5 ล้านบาท (Grant) สำหรับกลุ่ม Non-Digital (เช่น Biotech, Material Science) และโครงการ Corporate Co-Funding ร่วมกับ TVCA ซึ่ง NIA จะ Matching สูงสุด 10 ล้านบาทในลักษณะ “Recovery Grant” (คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยต่ำหลัง 3 ปี) NIA กำลังผลักดันให้สามารถลงทุนถือหุ้นโดยตรงได้ในอนาคตผ่าน PE Trust และปริวรรตกล่าวว่า BOI Tech Fund ที่ BOI จะ Matching การลงทุนจาก VC/CVC สูงสุด 50 ล้านบาท รวมถึงความเป็นไปได้ของ PO Financing ผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าฯ

การเข้าถึงตลาด เปิดประตูสู่โอกาสและการเติบโต

นอกเหนือจากเงินทุน การเข้าถึงตลาดเป็นอีกปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จ โดยมีการตั้งคำถามนำว่าภาครัฐไทยจะสามารถเป็นลูกค้ารายแรกของสตาร์ตอัพนวัตกรรมสูงได้หรือไม่ เหมือนเช่นกรณี Oracle ที่มี CIA เป็นลูกค้ารายแรก ๆ ไปยดา กล่าวว่า ภาครัฐสามารถเป็นลูกค้ารายแรกของสตาร์ตอัพได้ โดยอ้างอิงนโยบาย Made in Thailand (ผ่านสภาอุตสาหกรรมฯ) SME GP (ของ สสว.) และ “บัญชีนวัตกรรม” (ของ สวทช./อว.) ไปยดากล่าวว่า พร้อมทั้งเรียกร้องให้สมาคมไทยสตาร์ตอัพมีบทบาทเชิงรุกในการผลักดันนโยบายและสร้างเกณฑ์ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งกระทรวง อว. พร้อมทบทวน “บัญชีนวัตกรรม” ให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

ดร.ชินาวุธ กล่าวว่า “บัญชีบริการดิจิทัล” ของ depa มีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของสตาร์ตอัพไทย โดยส่งเสริมมาตรฐาน ISO 29110 และมีระบบ “DeSure Rating” (ล่าสุด Software Cybersecurity ของไทยได้ 3 ดาว) สินค้าในบัญชีนี้ช่วยให้ภาครัฐจัดซื้อด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงหรือคัดเลือกได้โดยไม่ต้องผ่าน e-Bidding และราคาผ่านการตรวจสอบแล้ว นอกจากนี้ ยังมีมาตรการจูงใจ เช่น SME ลดหย่อนภาษี 2 เท่า (เสนอเพิ่มฐานจาก 1 แสนเป็น 3 แสนบาท), โครงการ BOI Smart Industry ลดหย่อนภาษี 100% ของกำไร CIT และ depa Matching Fund (“Mini Transformation Voucher”, “Transformation Fund”) บัญชีนี้ยังครอบคลุม Hardware เช่น CCTV และ Drone

ปริวรรต กล่าวว่า เกี่ยวกับ Regulatory Sandbox นั้น NIA เน้นทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่จัดทำ Sandbox (เช่น ธปท., กสทช.) เนื่องจาก Success Rate โดยรวมยังต่ำจากข้อจำกัดทางกฎหมาย ปริวรรตกล่าวว่า ภาครัฐไทยส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้งาน (User) มากกว่าผู้ทดสอบ (Tester) ดังนั้น “บัญชีบริการดิจิทัล” จึงเหมาะสม ปริวรรตกล่าวว่าประเทศไทยเป็น “ตลาดทดสอบ” (Test Market) ที่ดี ก่อนที่สตาร์ตอัพจะขยายสู่ตลาดต่างประเทศ โดย NIA มีโครงการ “Global Market” และ Market Investment เพื่อสนับสนุน

การเสวนาครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่สตาร์ตอัพไทยต้องเผชิญ แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงโอกาสและกลไกสนับสนุนจากภาครัฐที่พยายามตอบโจทย์อย่างรอบด้าน ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องว่า สตาร์ตอัพไทยจำเป็นต้องมี “กรอบความคิดที่มุ่งสู่ระดับสากล” (Global Mindset) ตั้งแต่เริ่มต้น ขณะที่สมาคมไทยสตาร์ตอัปและภาคเอกชนควรมีบทบาทเชิงรุกในการทำงานร่วมกับภาครัฐ การ “ลดช่องว่าง” ในระบบนิเวศ โดยเฉพาะด้านเงินทุนในช่วง Pre-Series A ถึง Series A และการทำให้กลไกสนับสนุนที่มีอยู่ “ทำงานได้อย่างคล่องตัว” (Active) และมีประสิทธิภาพสูงสุด จะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันสตาร์ตอัพไทยให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนบนเวทีโลก และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

KTC FitTalk ถอดรหัสสู่สุขภาวะองค์รวมในโลกยุคใหม่

Ringkas ระดมทุน 5.1 ล้านดอลลาร์ฯ ลุยสร้างโครงสร้างพื้นฐานสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้วย AI ทั่วเอเชีย

×

Share

ผู้เขียน