Share on
×

Share

TSA ปลุกทัพนวัตกรรม จี้รัฐสู้ศึก ‘ล่าอาณานิคมดิจิทัล’

นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (TSA) ส่งเสียงเตือนภัยภาวะวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ชี้ไทยกำลังตกอยู่ใน “สงครามล่าอาณานิคมแบบไม่ใช้กำลัง” ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างชาติ ทำเม็ดเงินไหลออกนอกประเทศปีละกว่า 8 แสนล้านบาท เรียกร้องทุกภาคส่วนผนึกกำลังตั้ง “กองทัพนวัตกรรม” พร้อมชูยุทธศาสตร์ “Thailand First” และขอเพียง “สนามแข่งขันที่เป็นธรรม” เพื่อหยุดเลือดไหลก่อนสายเกินแก้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (TSA) ได้กล่าวสุนทรพจน์ ในงานสัมมนาหัวข้อ “Pioneering Thai Startup to unlock the new Economy” ซึ่งจัดขึ้นท่ามกลางผู้บริหารระดับสูงจากแวดวงธุรกิจเทคโนโลยี อุตสาหกรรม การเงิน ภาครัฐ และพรรคการเมือง ตีแผ่วิกฤติเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยอย่างเผ็ดร้อน โดยระบุว่าการรุกรานทางเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ได้มาในรูปแบบของกองทัพทหาร แต่มาพร้อมกับเทคโนโลยีบนโทรศัพท์มือถือที่ครอบงำวิธีคิดและอนาคตของคนไทย

ธนวิชญ์ ชี้ให้เห็นความเสียหายเป็นตัวเลขที่ชัดเจน เริ่มจากการที่องค์กรไทยจ่ายเงินค่าโฆษณาดิจิทัลให้ 3 แพลตฟอร์มต่างชาติสูงถึง 18,000 ล้านบาทต่อปี แต่มีการเสียภาษีในประเทศไม่ถึง 20% ทำให้มีเม็ดเงินรั่วไหลออกไปกว่า 15,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ สมรภูมิอีคอมเมิร์ซที่มีมูลค่ากว่า 800,000 ล้านบาทต่อปี ก็ถูกครอบงำโดยสินค้าจากต่างประเทศถึง 80% ส่งผลให้เงินไหลออกจากไทยอีกกว่า 640,000 ล้านบาทต่อปี 

“วันนี้ผมพูดได้เต็มปากว่าอีคอมเมิร์ซไทยถูกผูกขาดโดยต่างชาติอย่างสมบูรณ์แล้ว เรากำลังจะแพ้ ทั้งที่เรายังไม่ได้เริ่มสู้ด้วยซ้ำ” ธนวิชญ์ กล่าว

ด้วยเหตุนี้ นายกสมาคม TSA จึงเรียกร้องให้มีการจัดตั้ง “กองทัพนวัตกรรม” เพื่อต่อสู้ในสนามรบใหม่นี้ พร้อมนำเสนอแผนยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมทั้งเชิงรุกและเชิงรับ สำหรับยุทธศาสตร์เชิงรุกนั้น มุ่งสร้างขีดความสามารถใหม่ให้ประเทศ โดยมีแกนหลักคือการสร้างกำลังคนด้านนวัตกรรม ควบคู่ไปกับการแก้วิกฤติการเข้าถึงแหล่งทุน เนื่องจากนวัตกรรมต้องใช้เวลาและมีความเสี่ยงสูง 

กองทัพนวัตกรรม

ดังตัวอย่างที่ว่า “เราอยากได้โดรนป้องกันประเทศแบบอิสราเอล เขาก็ไม่ขายให้เรา” จึงมีความจำเป็นต้องจัดตั้ง “Risk Capital Sandbox” เพื่อเปิดช่องทางการลงทุนในนวัตกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีนโยบาย “Thailand First” ผลักดันให้คนไทยและภาครัฐเลือกใช้สินค้าและบริการของไทยก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่นานาประเทศทำกันเป็นปกติ และท้ายที่สุดคือการสร้างแพลตฟอร์มแห่งชาติอย่างมียุทธศาสตร์ โดยรัฐไม่ต้องสร้างเอง แต่ต้องเลือกอุตสาหกรรมที่มีโอกาสชนะ ออกแบบนโยบายสนับสนุน และเป็นผู้ใช้งานรายแรกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น

ในขณะเดียวกัน ยุทธศาสตร์เชิงรับก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยมีเป้าหมายเพื่อหยุดการรั่วไหลทางเศรษฐกิจ ซึ่งธนวิชญ์ระบุว่า ไม่ได้ต้องการความได้เปรียบ แต่ขอเพียง “สนามแข่งขันที่เป็นธรรม” เพื่อปกป้องผู้ประกอบการไทยจากสถานการณ์ดังเช่นการถูกผู้ค้าต่างชาติลอกเลียนแบบสินค้า แล้วนำเข้ามาขายตัดราคาโดยไม่มีมาตรฐาน ซึ่งท้ายที่สุดสร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของแบรนด์ไทย

ไฮไลท์สำคัญของงานคือการรวมตัวของผู้มีอำนาจตัดสินใจจากทุกภาคส่วน ทั้งกลุ่มสตาร์ตอัพขนาดใหญ่ 13 สมาคมด้านเทคโนโลยีฯ สภาดิจิทัลฯ สภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ ภาครัฐ และตัวแทนจาก 7 พรรคการเมือง 

“วันนี้ ประเทศต้องการคนกล้า ประเทศต้องการคนบ้า ประเทศต้องการคนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง และผมเชื่อว่าคนในห้องนี้คือคนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง” ธนวิชญ์ กล่าว

ทั้งหมดสะท้อนความหวังว่า การรวมตัวครั้งประวัติศาสตร์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการลงมือทำอย่างจริงจังเพื่ออนาคตของประเทศชาติ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘คนไทยเข้าใจคนไทย’ ทำไมทีมบริการลูกค้า Trip.com ถึงเป็นหัวใจของนักเดินทางไทย

SIG ยกระดับเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ แก้ปัญหา Food Waste และ Packaging Waste

×

Share

ผู้เขียน