ในยุคที่สตาร์ตอัพถูกยกให้เป็น ‘นักรบทางเศรษฐกิจ’ ของประเทศ คำถามสำคัญคือพวกเขาควรมีบทบาทอย่างไรในการกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมตัวเอง? ไปยดา หาญชัยสุขสกุล ผู้จัดการกองทุน TED Fund ได้ให้คำตอบที่น่าขบคิด ด้วยการท้าทายให้สตาร์ตอัพไทยก้าวข้ามบทบาท ‘ผู้ร้องขอ’ แบบดั้งเดิม ไปสู่การเป็น ‘ผู้ร่วมสร้างเกม’ ที่สามารถชี้เป้าและออกแบบแนวทางการสนับสนุนร่วมกับภาครัฐได้เอง โดยมีโมเดลที่พิสูจน์แล้วอย่าง ‘Made in Thailand’ เป็นกรณีศึกษาสำคัญ
ท่าทีดังกล่าวสะท้อนถึงแนวคิดใหม่ที่ต้องการให้เกิดความร่วมมือเชิงรุก แทนที่ความสัมพันธ์แบบเดิมที่ภาครัฐเป็นผู้ให้ และภาคเอกชนเป็นผู้รับ ซึ่งอาจไม่ทันต่อพลวัตของโลกเศรษฐกิจยุคใหม่
นิยามใหม่ ‘นักรบเศรษฐกิจ’ และ ‘กระสุน’ จากภาครัฐ
ไปยดาเริ่มต้นด้วยการให้ภาพที่ชัดเจนว่า หน่วยงานภาครัฐอย่าง TED Fund สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ต่างพร้อมทำหน้าที่เป็น “กองหนุน” ที่จัดหา “กระสุน” หรือเงินทุน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้กับสตาร์ตอัพไทย
“เรามองว่าสตาร์ตอัพคือ ‘นักรบทางเศรษฐกิจ’ ที่เป็นหัวหอกในการบุกทะลวงไปข้างหน้า ภาครัฐมีเงินทุนสนับสนุนซึ่งเปรียบเสมือนกระสุนที่เข้าไปเติมเต็ม เพื่อลดต้นทุนให้สตาร์ตอัพได้ออกไปสู้รบและยึดหัวหาดทางเศรษฐกิจ” ไปยดากล่าว “แต่การจะยิงให้ตรงเป้าหมายนั้น ขึ้นอยู่กับศักยภาพของตัวนักรบเอง”
เธอย้ำว่ากองทัพที่แข็งแกร่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยทีมที่แข็งแกร่งทั้งด้านธุรกิจ การเงิน และเทคโนโลยี
ถอดรหัส ‘Made in Thailand’ พิมพ์เขียวความสำเร็จ
หัวใจสำคัญของข้อเสนอนี้ คือการถอดบทเรียนจากความสำเร็จของโครงการ “Made in Thailand” ที่ริเริ่มโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของภาคเอกชนในการเป็นผู้กำหนดเกม
ไปยดาเล่าถึงประสบการณ์ตรงว่า แทนที่จะเพียงร้องขอ สภาอุตสาหกรรมฯ ได้เดินหน้าเจรจากับกรมบัญชีกลางพร้อม “โซลูชัน” ที่เป็นรูปธรรม:
- รับอาสาทำการบ้าน: ศึกษาหลักเกณฑ์สากลเพื่อกำหนดนิยาม “สินค้าไทย” ที่ชัดเจน จนได้ข้อสรุปเป็นมาตรฐาน “Local Content 40%”
- เสนอตัวเป็นผู้รับรอง: เมื่อภาครัฐตั้งคำถามถึงผู้ตรวจสอบ สภาอุตสาหกรรมฯ ก็เสนอตัวเป็นผู้ให้การรับรองเอง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและลดภาระภาครัฐ
- สร้าง ‘แต้มต่อ’ ที่จับต้องได้: ความพยายามดังกล่าว นำมาสู่การสร้าง “แต้มต่อ” ที่เป็นรูปธรรม โดยสินค้าที่ได้รับการรับรอง สามารถเสนอราคาในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้สูงกว่าคู่แข่งต่างชาติถึง 5%
“นี่คือสิ่งที่ภาคเอกชนไปขอให้รัฐช่วยเปิดช่องให้ ไม่ใช่นโยบายที่มาจากภาครัฐโดยตรง มันแสดงให้เห็นถึงพลังของการผนึกกำลังและการริเริ่ม” ไปยดากล่าวเน้นย้ำ
เธอชี้ให้เห็นว่าโมเดลลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยยกตัวอย่างโครงการ SME GP ที่ให้แต้มต่อผู้ประกอบการรายย่อยถึง 10-15% ในการประมูลงานภาครัฐ
นี่คือคำท้าทายให้สตาร์ตอัพและสมาคมฯ มองหาช่องว่างและสร้างสรรค์ข้อเสนอใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากกลไกเดิม เช่น บัญชีนวัตกรรม หรือบัญชีดิจิทัล
ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม: เปลี่ยน ‘Pain Point’ รัฐ เป็น ‘โอกาส’ ธุรกิจ
ไปยดาทิ้งท้ายด้วยข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมและเป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นไปได้ นั่นคือการจัดเวทีให้หน่วยงานภาครัฐนำ “Pain Point” หรือโจทย์ปัญหาที่ต้องการแก้ไขมาวางบนโต๊ะ แล้วเปิดโอกาสให้เหล่าสตาร์ตอัพนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเข้าไปตอบโจทย์นั้น ๆ
“เชื่อว่าสสว. TED Fund, depa และ NIA เรามีเงินทุนสนับสนุนในการไปพัฒนาแพลตฟอร์มหรือความคิดนั้น”
ข้อเสนอนี้ถือเป็น “ก้าวแรก” ของการเดินทางครั้งใหม่ ซึ่งไปยดาเชื่อมั่นว่าสมาคมไทยสตาร์ตอัพที่ครบรอบ 10 ปี มีวุฒิภาวะและความพร้อมที่จะเติบโตไปในทิศทางนี้ โดยมีภาครัฐพร้อมเป็นพันธมิตรในการทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างชัยชนะทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทยในท้ายที่สุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
IBM ชี้ ‘ควอนตัม+AI’ กุญแจแก้ปัญหายากที่สุดของโลก
ทางรอดธุรกิจไทยยุค AI: พ้นกับดัก ‘ผู้บริโภค’ สู่การใช้เป็น ‘ทรัพยากร’