ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดแนวรบใหม่ ประกาศกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อผลักดัน Startup และ SME ไทยเข้าสู่ตลาดทุนอย่างเต็มรูปแบบ “ประพันธ์ เจริญประวัติ” ผู้จัดการ mai และ LiVE Exchange เผยวิสัยทัศน์ในงานเสวนา ‘Strategic Roundtable on the Future of Thai Startups’ ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (Thai Startup Association) ชี้ทางด้วย “LiVE Exchange” ตลาดสำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องมีกำไร พร้อมเปิดแผนอนาคต 3 ข้อเสนอใหญ่ รวมถึงการจัดตั้งกองทุนมูลค่า 1,000 ล้านบาท เพื่อสร้าง New S-Curve ให้กับเศรษฐกิจประเทศ
ภายในงานเสวนา ‘Strategic Roundtable on the Future of Thai Startups’ ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (Thai Startup Association) และมีผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงธุรกิจและสตาร์ตอัพเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVE Exchange) ได้ขึ้นบรรยายในหัวข้อ “Startup to IPO” เพื่อฉายภาพความท้าทายและทิศทางใหม่ของตลาดทุนไทย
ประพันธ์ระบุว่า ปัจจุบันตลาดทุนไทยซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนรวมกว่า 900 แห่งนั้น ประมาณ 80% ยังคงเป็นธุรกิจในกลุ่มเศรษฐกิจดั้งเดิม (Old Economy) ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ในการสร้างการเติบโตของประเทศ ท่ามกลางอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ธุรกิจยุคใหม่เข้าถึงตลาดทุนได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์กำไรขั้นต่ำของ SET ที่ 75 ล้านบาท และ mai ที่ 25 ล้านบาท การต้องใช้งบการเงินย้อนหลัง 3 ปี และค่าใช้จ่ายในการเข้าจดทะเบียนที่สูงถึง 15-20 ล้านบาท
LiVE Exchange: คำตอบของโจทย์ IPO ที่ไม่ต้องรอ “กำไร”
เพื่อทลายกำแพงดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำเสนอ “LiVE Exchange” เป็นทางออกสำคัญ ประพันธ์สร้างกล่าวว่า คุณสมบัติเด่นของตลาดแห่งนี้ ไม่ต้องมีกำไรก็ได้ และสิ่งที่ตามมากับโอกาสคือความเสี่ยง ด้วยเหตุนี้ LiVE Exchange จึงถูกออกแบบมาโดยมีกลไกบริหารความเสี่ยง คือจำกัดผู้ลงทุนให้อยู่ในกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ (Accredited Investors) ที่มีความเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงได้
สำหรับเงื่อนไขการเข้าจดทะเบียน ได้ถูกปรับให้ยืดหยุ่นขึ้นอย่างชัดเจน:
- งบการเงิน: ใช้ฉบับที่ตรวจสอบแล้วเพียง 1 ปี
- สำหรับ Startup: ต้องเป็นบริษัทที่ผ่านการระดมทุนจากกองทุน Venture Capital (VC) หรือ Private Equity (PE) มาแล้ว
- สำหรับ SME: ต้องมีรายได้ขั้นต่ำ 50 ล้านบาท (ภาคบริการ) หรือ 100 ล้านบาท (ภาคการผลิต)
ปัจจุบัน LiVE Exchange พิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง โดยมีบริษัทจดทะเบียนแล้ว 7 แห่ง และอีก 1 แห่งกำลังยื่นเอกสาร (Filing) สามารถระดมทุนได้ตั้งแต่ 10-80 ล้านบาทต่อบริษัท เฉลี่ยราว 40 ล้านบาท และที่สำคัญ ได้สร้างเส้นทางความสำเร็จให้เกิดขึ้นแล้วกับกรณีของบริษัท MMM23 ซึ่งระดมทุน 25 ล้านบาทใน LiVE Exchange เมื่อปี 2566 และกำลังอยู่ในกระบวนการเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ภายในปี 2568
LiVE Platform: เบื้องหลังความสำเร็จ สร้างระบบนิเวศครบวงจร
ประพันธ์ กล่าวว่าLiVE Platform คือระบบนิเวศสนับสนุนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ สร้างขึ้น ประกอบด้วย Education Platform (live-platforms.com) ที่มีคอนเทนต์ฟรีกว่า 1,000 รายการ และ Scaling-up Platform ที่ให้การสนับสนุนเชิงลึก อาทิ เอกสารสัญญามาตรฐาน 14 ฉบับ บริการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ และหลักสูตรบ่มเพาะเข้มข้นอย่าง LiVE Acceleration Program ซึ่งบริษัท Real Smart เป็นหนึ่งในผู้ที่ผ่านโครงการและกำลังเตรียมตัวเข้า LiVE Exchange โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนหลักจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ราว 500 ล้านบาท
เปิด 3 ไอเดียแห่งอนาคต: กองทุนพันล้าน-Venture Builder-Shared Service
ไฮไลต์สำคัญของการบรรยายคือการเปิดเผย 3 แนวคิดใหญ่ที่กำลังผลักดันเพื่ออนาคตของเศรษฐกิจใหม่:
- กองทุน Growth Fund มูลค่า 1,000 ล้านบาท: แนวคิดจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุน “รับไม้ต่อ” จาก VC โดยมีจุดเด่นคือ “ทีมที่ปรึกษาทางการเงิน (In-house IB)” ของตัวเอง เพื่อช่วยเตรียมบริษัทเป้าหมายให้พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตรง
ประพันธ์เปิดเผยว่ากำลังของบประมาณเริ่มต้น 500 ล้านบาทจาก CMDF และได้เจรจากับนักลงทุนร่วมหลายรายแล้ว เช่น InnoSpace, SME D Bank, Exim Bank, Singha Ventures และกรุงศรีฟินโนเวท โดยมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจในกลุ่ม New S-Curve เช่น Healthcare, Digital, Food Tech และ Tourism - Venture Builder: แนวคิดที่ริเริ่มโดย depa เพื่อรวมกลุ่ม (Consolidate) Startup ขนาดเล็กที่มีธุรกิจใกล้เคียงกันให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเข้าสู่ตลาดทุน
- แพลตฟอร์ม Shared Services: แนวคิดในการสร้างแพลตฟอร์มกลางเพื่อให้บริการที่จำเป็นต่อธุรกิจในราคาที่เข้าถึงได้ เช่น บัญชี กฎหมาย และ HR โดยอาจใช้โมเดล “Expert Pool” จากผู้ทรงคุณวุฒิที่เกษียณแล้วแต่ยังมีศักยภาพ
นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่อง Crowdfunding ประพันธ์ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยทำแล้วแต่ได้ปิดไป เนื่องจากมองว่า Equity Crowdfunding ในบริบทของไทยยังไม่ประสบความสำเร็จเท่า Debt Crowdfunding และมีผู้เล่นในตลาดอยู่แล้ว
การประกาศวิสัยทัศน์และแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนครั้งนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนบทบาทสู่การเป็นผู้สร้างระบบนิเวศอย่างเต็มตัว เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ได้เติบโตและกลายเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พรูเด็นเชียลฯ รุกตลาด HNW ชู ‘PRULegacy’ โซลูชันส่งต่อความมั่งคั่ง
TSA ปลุกทัพนวัตกรรม จี้รัฐสู้ศึก ‘ล่าอาณานิคมดิจิทัล’
TED Fund ชูโมเดล ‘ผู้สร้างเกม’ หนุนสตาร์ตอัพจับมือภาครัฐ