ภาคเอกชนทั้งสตาร์ตอัพและ SME ได้ผนึกกำลังส่งเสียงเตือนดังถึงรัฐบาลจากเวทีเสวนา ‘Strategic Roundtable on the Future of Thai Startups’ ชี้ว่าไทยกำลังพ่ายแพ้ในสงครามเศรษฐกิจยุคใหม่ จากการรุกคืบของแพลตฟอร์มข้ามชาติที่อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายสร้างความได้เปรียบอย่างเป็นระบบ พร้อมเปิดเผยตัวเลขน่าตกใจว่ามีเม็ดเงินไหลออกนอกประเทศผ่านสมรภูมิอีคอมเมิร์ซแล้วกว่า 7 แสนล้านบาทต่อปี และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้เกมอย่างจริงจัง ก่อนที่ผู้ประกอบการไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างถาวร
“เรากำลังจะแพ้ในสงครามเศรษฐกิจที่สมรภูมิคือบ้านของเราเอง” คือคำกล่าวที่สะท้อนภาพรวมของเวทีประวัติศาสตร์ ที่จัดโดยสมาคมการค้าสตาร์ตอัพไทย (Thai Startup Association) ซึ่งไม่ได้จบลงเพียงการสะท้อนปัญหา แต่ยังนำไปสู่ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า ประเทศไทยจะลุกขึ้นมาเป็น “ผู้สร้าง” และ “เจ้าของ” อนาคตทางเศรษฐกิจของตนเอง หรือจะยอมเป็นเพียง “ตลาด” และ “ผู้บริโภค” ต่อไป
‘Easy Pass’ ของต่างชาติ

จุดเริ่มต้นของวิกฤติที่เห็นได้ชัดที่สุด คือสมรภูมิอีคอมเมิร์ซมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท ที่เม็ดเงินกว่า 7 แสนล้านบาทต่อปีไหลออกนอกประเทศสู่แพลตฟอร์มต่างชาติ ภาวุธพงษ์ วิทยภานุ CEO Pay Solutions นักลงทุนและผู้คร่ำหวอดในวงการดิจิทัลไทย และ ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา CEO & Co-Founder ของ Priceza ได้ชี้ให้เห็นถึงความได้เปรียบเชิงโครงสร้างของคู่แข่งที่เสมือนได้รับ Easy Pass จากช่องโหว่ของกฎหมายไทย ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ไปจนถึงการที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยอมรับถึงปัญหานี้ โดยเสริมว่าบางกรณีรุนแรงถึงขั้นที่นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาโดยใช้สิทธิประโยชน์ BOI สามารถถือครองที่ดินได้ 100% สร้างความรู้สึกว่าผู้ประกอบการไทยที่ทำตามกฎหมายทุกขั้นตอนกำลังถูกลงโทษทางอ้อม “มันเหมือนการแข่งดำน้ำ ที่เราต้องกลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำ แต่คู่แข่งต่างชาติมีท่อออกซิเจน” คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของสถานการณ์นี้
แนวรบที่มากกว่าอีคอมเมิร์ซ สงครามข้อมูลและความมั่นคง
วิกฤตการณ์นี้ได้ลุกลามไปไกลกว่าการค้าออนไลน์ ชาคริต จันทร์รุ่งสกุล CEO FireOneOne กล่าวว่า สมรภูมิด้านการเกษตรว่าก็น่าเป็นห่วง ส่วนแบ่งตลาด “โดรนเพื่อการเกษตร” ที่ผลิตโดยคนไทยเหลือเพียง 2%
“การที่โดรนต่างชาติบินอยู่เหนือแผ่นดินของเรา หมายถึงข้อมูลการเกษตรอันเป็นหัวใจของประเทศ ได้ตกอยู่ในมือของผู้อื่นอย่างสมบูรณ์”
มุมมองนี้สอดคล้องกับ พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ รองโฆษกกองทัพเรือ ซึ่งย้ำว่าเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่ทันสมัยอย่าง “ไอออนโดม” (Iron Dome) (ระบบป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล) ไม่มีขาย แต่ต้องสร้างเอง และได้เปิดเผยถึงกลไกสำคัญที่กองทัพใช้อยู่ คือการร่วมวิจัยและพัฒนากับภาคเอกชน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ได้รับการยกเว้นจากการจัดซื้อจัดจ้างในรูปแบบปกติ ถือเป็นโมเดลที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อเร่งรัดการพัฒนาเทคโนโลยีในภาคส่วนอื่นได้
เสียงจากรากหญ้า ความจริงของ SME ที่ถูกมองข้าม
สุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) ได้ให้ภาพที่ลึกซึ้งถึงความเปราะบางของผู้ประกอบการรายย่อย โดยชี้ว่า SME จำนวนมากยังอยู่ใน “เศรษฐกิจนอกระบบ” ทำให้รัฐไม่มีข้อมูลที่แท้จริงในการช่วยเหลือ และที่สำคัญคือ SME จำนวนมากไม่รู้ว่าตนเองกำลังถูกเอาเปรียบอย่างผิดกฎหมายจากคู่ค้ารายใหญ่ เขายังคงย้ำข้อเรียกร้องที่ทรงพลังถึงการบังคับใช้กฎหมาย “เครดิตเทอม 45 วัน” โดยกล่าวว่า “เพียงแค่ท่านลงโทษผู้กระทำผิดรายใหญ่ 1 เคส เพื่อเป็นบรรทัดฐาน ท่านจะได้ใจจากคนตัวเล็กทั้งประเทศ”
จาก ‘รับ’ สู่ ‘รุก’ ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพลิกเกม

ท่ามกลางวิกฤติที่รุมเร้า ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมเพื่อพลิกเกมก็ได้ถูกวางบนโต๊ะ โดยประการแรกคือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดเชิงยุทธศาสตร์ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (depa) กระตุ้นให้รัฐต้องกล้าที่จะ “Pick the Winners” คือเลือกสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพสูงและมีโอกาสชนะในเวทีโลก เช่น การแพทย์ สุขภาพ หรือเกษตรอัจฉริยะ เพื่อทุ่มทรัพยากรไปอย่างมีเป้าหมาย แทนที่จะหว่านงบประมาณไปอย่างไร้ทิศทาง
ประการต่อมา คือการสร้างอาวุธและสนามแข่งขันของตนเอง ภาวุธ ได้เสนอแนวคิดการสร้าง “Thailand Open Commerce Network” ที่ถอดแบบจากโมเดล ONDC (Open Network for Digital Commerce) ของอินเดีย ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ริเริ่มโดยรัฐบาลอินเดีย มีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซแบบเปิดที่หลากหลายและเข้าถึงได้สำหรับธุรกิจทุกขนาด เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกลางที่เปิดกว้างและเป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการไทยทุกคน

และประการสุดท้าย คือบทบาทเชิงรุกของภาครัฐในฐานะ “ทัพหน้า” พงศ์พล ได้ประกาศการทำงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยเตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์ม “มอก. Watch” (ในวันที่ 7 กรกฎาคมที่จะถึงนี้) เพื่อใช้ AI กวาดล้างสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานบนโลกออนไลน์ ขณะที่ ด้าน วรภพ วิริยะโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ย้ำว่ารัฐต้องใช้กลไกการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (B2G) เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ทรงพลังในการสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมภายใน
เวทีเสวนาครั้งประวัติศาสตร์นี้ ไม่ได้มีคำตอบสำเร็จรูป แต่มีคำถามที่ใหญ่และท้าทาย ว่าระหว่างเส้นทางของการเป็นเพียง ‘ตลาดบริโภค’ ที่สร้างความมั่งคั่งให้ทุนต่างชาติ กับเส้นทางของการเป็น ‘ผู้สร้างสรรค์’ ที่กำหนดอนาคตเศรษฐกิจของตนเอง ประเทศไทยจะตัดสินใจเลือกเดินไปในทิศทางไหน เพราะเดิมพันในสนามรบครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่คืออธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติในยุคดิจิทัล
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เจาะอนาคตตลาดทุนไทย เวที MAI Forum 2025 ขับเคลื่อนสู่ ‘ดิจิทัล-ESG’
วิกฤติโลก-ไทยป่วยหนัก! ‘สมคิด จิรานันตรัตน์’ ชู AI พลิกเกมก่อนจม