Share on
×

Share

สถาปนิกแห่งความปลอดภัย ‘ดร.ศุภกร กังพิศดาร’ ผู้ผ่านทุกบทบาทในสมรภูมิไซเบอร์

เบื้องหลังสมการคณิตศาสตร์อันเงียบสงบคือพลังในการปกป้องโลกทั้งใบจากสงครามไซเบอร์ที่ไร้เสียง และเบื้องหลังชายที่ชื่อ ดร.ศุภกร กังพิศดาร ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต (Fortinet) คือเรื่องราวการเดินทางที่ผ่านทุกซอกทุกมุมของสมรภูมิดิจิทัล 

เขาคืออดีตนักวิชาการผู้หลงใหลในความงามของรหัสลับ คือที่ปรึกษาผู้กุมความลับด้านความมั่นคงของชาติ คือผู้บริหารที่สวมบทผู้ประสบภัยเพื่อเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง และคือแม่ทัพคนปัจจุบันของหนึ่งในกองกำลังด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

นี่คือเรื่องราวของชายผู้มีชัยชนะมากมายที่ไม่อาจป่าวประกาศ และมีความภาคภูมิใจที่ต้องเก็บไว้ในเงา เพื่อพิทักษ์โลกที่หมุนอยู่บนปลายนิ้วของเราทุกคน

สมการบันดาลใจ: เมื่อวิศวกรไฟฟ้าพบรักแรกในโลกเข้ารหัส

เรื่องราวของดร.ศุภกร เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2541 ท่ามกลางม่านหมอกของวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ที่ปกคลุมประเทศไทย บัณฑิตหนุ่มจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาไฟฟ้ากำลัง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันนั้น กำลังเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าตลาดแรงงานสำหรับวิศวกรสาขาของเขานั้นซบเซาอย่างหนัก มันเป็นช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนที่บีบให้คนรุ่นใหม่ต้องมองหาเส้นทางอื่นเพื่อความอยู่รอด และในวิกฤติครั้งนั้นเอง ประตูบานใหม่ที่คาดไม่ถึงก็ได้เปิดออก

“ช่วงนั้นหางานค่อนข้างยากครับ” ดร.ศุภกร ย้อนความหลัง “ผมเลยตัดสินใจไปลงเรียนหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และซีเคียวริตี้ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่ามันจะนำพาเรามาถึงจุดนี้ได้หรือเปล่า”

การตัดสินใจที่เกิดจากความจำเป็นทางเศรษฐกิจในวันนั้น ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ จากโลกของไฟฟ้ากำลังที่จับต้องได้ เขาได้ก้าวเข้าสู่โลกนามธรรมของข้อมูลและรหัสลับ และที่นั่นเองเขาได้พบกับ “รักแรก” ที่จะกลายเป็นแพชชั่นตลอดชีวิต นั่นคือ “วิทยาการเข้ารหัสลับ (Cryptography)” ศาสตร์แห่งการซ่อนเร้นข้อมูลด้วยสมการคณิตศาสตร์

“ผมรู้สึกทึ่งและหลงใหลมาก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงความประทับใจ “สมการคณิตศาสตร์ง่าย ๆ อันหนึ่ง มันสามารถสร้างความปลอดภัยได้ถึงขนาดที่ไม่มีใครแฮกได้ นักคณิตศาสตร์สมัยก่อนเขาคิดได้อย่างไร สมการเดียวสามารถปกป้องโลกเรามาได้ 60 ปี มันคือที่สุดของที่สุดแล้วจริง ๆ”

ความทึ่งในความงามอันทรงพลังของสมการได้จุดประกายให้เขาเดินบนเส้นทางนี้อย่างมุ่งมั่น เขาตัดสินใจศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกที่ประเทศออสเตรเลีย โดยเลือกเจาะจงในสาขา Applied Cryptography ซึ่งไม่ใช่แค่การศึกษาทฤษฎี แต่คือการนำศาสตร์แห่งการเข้ารหัสมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง วิทยานิพนธ์ของเขาคือการออกแบบโปรโตคอลสำหรับ Mobile Payment ตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งเป็นยุคที่โทรศัพท์มือถือยังทำได้เพียงส่งข้อความสั้น ๆ และมีข้อจำกัดมหาศาลทั้งด้านพลังการประมวลผลและแบตเตอรี่ การมองการณ์ไกลในวันนั้น สะท้อนวิสัยทัศน์ที่มาก่อนกาลของเขาได้อย่างชัดเจน

และแม้จะมีข้อเสนอที่น่าสนใจให้ทำงานต่อในต่างประเทศ แต่ด้วยความรู้สึกรักและผูกพันกับบ้านเกิด เขาเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสเหล่านั้น “ผมอยากกลับบ้าน อยากเอาความรู้ที่เรามีมาทำประโยชน์เพื่อประเทศ”

ดร.ศุภกรในวันนั้นเดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกับความรู้ที่น้อยคนนักจะมี และความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะใช้ “สมการบันดาลใจ” ของเขา มาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเกราะป้องกันให้กับโลกดิจิทัลของประเทศไทย โดยที่เขายังไม่รู้ว่าบททดสอบที่แท้จริงบนสมรภูมิแห่งโลกความจริงกำลังรอเขาอยู่เบื้องหน้า

บทเรียนจากหอคอยงาช้าง: “ผมคุยกับคนในวงการไม่รู้เรื่อง

การกลับสู่มาตุภูมิของดร.ศุภกร พร้อมดีกรีปริญญาเอกด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ควรจะเป็นการกลับมาอย่างผู้พิชิต แต่สิ่งที่รอเขาอยู่กลับเป็นบททดสอบแรกที่สำคัญที่สุด นั่นคือสภาวะ “Culture Shock” ทางวิชาชีพ ที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของเขาอย่างรุนแรง

“ผมกลับมาแล้วรู้สึกช็อกเลย” เขายอมรับ “ผมคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นหนึ่งในคนทีเชี่ยวชาญที่สุดในสาขานี้แล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าผมคุยกับคนที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมไม่รู้เรื่อง”

โลกธุรกิจในเวลานั้นไม่ได้พูดถึงทฤษฎีการเข้ารหัสที่ซับซ้อน แต่พูดคุยกันด้วยภาษาของมาตรฐานสากลอย่าง ISO 27001และคุณวุฒิวิชาชีพอย่าง CISSP และ CEH “พวกเขาถามว่าผมมีเซอร์ (Certification) อะไรบ้าง ซึ่งผมไม่มีเลย ผมมีแค่ปริญญาเอก” นี่คือช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างโลกวิชาการกับโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยมาตรฐานและการปฏิบัติจริง

เขาเลือกที่จะเริ่มต้นเส้นทางในแวดวงวิชาการด้วยการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ที่ซึ่งเขาได้อุทิศตนตลอด 9 ปี ในการสร้างรากฐานสำคัญให้กับวงการ เขาคือผู้บุกเบิกหลักสูตรปริญญาโทด้าน Network Engineering และ Cybersecurity แห่งแรกของประเทศไทย สร้างเครือข่ายลูกศิษย์ที่กลายเป็นกำลังสำคัญในองค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ยิ่งเขาพยายามสร้างสะพานเชื่อมระหว่างสองโลกมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตระหนักว่าตัวเองยังคงยืนอยู่บน “หอคอยงาช้าง”

จุดเปลี่ยนที่แท้จริงเกิดขึ้นในห้องเรียนปริญญาโทช่วงสุดสัปดาห์

“นักศึกษาของผมคือคนทำงานไอทีตัวจริง” ดร.ศุภกร เล่าถึงวินาทีแห่งการตระหนักรู้ “วันธรรมดาพวกเขาอยู่หน้างาน ต่อสู้กับปัญหาจริง ๆ พอวันเสาร์-อาทิตย์ เขามาเรียนกับเรา พร้อมกับคำถามที่เกิดจากประสบการณ์ตรง แต่ผมซึ่งเป็นนักวิชาการมาตลอด กลับรู้สึกว่าตัวเองตอบคำถามเหล่านั้นไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น เราเหมือนพูดกันคนละภาษา”

ความรู้สึกนั้นเป็นทั้งความเจ็บปวดและแรงผลักดัน เขาตระหนักว่าความรู้เชิงทฤษฎีที่ลึกซึ้งเพียงใด ก็ไร้ความหมายหากไม่สามารถนำไปแก้ปัญหาจริงได้ “ผมรู้ทันทีว่าต้องทลายกำแพงนี้ให้ได้ ต้องเอาตัวเองลงไปคลุกคลีกับโลกข้างนอก”

นับจากวันนั้น ดร.ศุภกร ได้เริ่มต้นภารกิจ “เรียนรู้ใหม่” อย่างจริงจัง เขาเริ่มขวนขวายหาความรู้ในสิ่งที่เขาขาด เข้าร่วมทุกงานสัมมนาที่ไปได้ ทยอยสอบใบรับรองต่าง ๆ ที่คนในวงการยอมรับ และที่สำคัญที่สุด เขาเริ่มรับงานที่ปรึกษาและงานปฏิบัติการจริง (Hands-on) เช่น การทดสอบเจาะระบบ (Penetration Testing) ผ่านหน่วยงานบริการวิชาการของมหาวิทยาลัย เพื่อให้ได้สัมผัสกับปัญหาจริงและได้เปื้อนมือกับการแก้ไข

เกือบหนึ่งทศวรรษในโลกวิชาการได้หล่อหลอมให้ ดร.ศุภกร กลายเป็นบุคลากรที่หาได้ยาก เขามีทั้งความลึกซึ้งในเชิงทฤษฎีและความเฉียบคมในการปฏิบัติ และเมื่อรู้สึกว่าอิ่มตัวกับบทบาทผู้สร้างคนในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว เขาก็พร้อมที่จะจบการศึกษาจากหอคอยงาช้าง เพื่อก้าวสู่สมรภูมิที่ใหญ่ขึ้น และนำความรู้ที่ตกผลึกจากทั้งสองโลกไปสร้างผลกระทบในวงกว้างอย่างแท้จริง

สวมบท “ผู้ประสบภัย”: มุมมองที่เปลี่ยนไปตลอดกาล

หลังจากทลายกำแพงของโลกวิชาการและสั่งสมประสบการณ์ในฐานะที่ปรึกษาแล้ว ดร.ศุภกร ตัดสินใจทำในสิ่งที่คนในวงการส่วนใหญ่ไม่คาดคิด เขาก้าวข้ามจากฝั่งผู้ให้บริการที่คอยแก้ปัญหาจากภายนอก ไปสู่ใจกลางของสมรภูมิในฐานะผู้ใช้งาน (End-user) โดยเลือกสังเวียนที่ท้าทายที่สุด นั่นคือตำแหน่งผู้บริหารความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีของธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

“ถ้าอยากเข้าใจซีเคียวริตี้ในมุมของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ต้องไปทำงานที่ธนาคาร และที่นั่นคือองค์กรระดับเทียร์หนึ่งของประเทศ” เขากล่าวถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญ นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนงาน แต่คือการจงใจนำตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เขาเรียกว่า “การสวมบทผู้ประสบภัย”

ในบทบาทใหม่นี้ เขาคือ แนวป้องกันที่สอง (Second Line of Defense) ไม่ใช่คนลงมือปฏิบัติ แต่เป็นผู้กุมนโยบายและประเมินความเสี่ยงทั้งหมดขององค์กร ทุกโครงการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีต้องผ่านสายตาและการประเมินของเขา ที่นี่เองที่ทฤษฎีความปลอดภัยอันงดงามต้องเผชิญหน้ากับความจริงทางธุรกิจอันโหดร้ายในทุก ๆ วัน

“ลองนึกภาพตามนะครับ” เขาเล่า “ทีมพัฒนากำลังจะเปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ในอีกหนึ่งสัปดาห์ แต่ผลทดสอบเจาะระบบ (Penetration Test) ออกมา ‘ติดสีแดง’ ซึ่งตามตำราคือห้ามไปต่อเด็ดขาด แต่ธุรกิจหยุดรอไม่ได้ ในฐานะคนดูความเสี่ยง คุณจะทำอย่างไร?”

สถานการณ์เช่นนี้คือสิ่งที่เขาต้องเผชิญเป็นประจำ หน้าที่ของเขาไม่ใช่การพูดว่า “ทำไม่ได้” แต่คือการหาคำตอบว่าจะ “ทำอย่างไรให้ไปต่อได้อย่างปลอดภัยที่สุด” เขาต้องทำงานร่วมกับทีมไอทีที่อาจมองเขาเป็น ‘ผู้ขัดขวาง’ ในตอนแรก เพื่อสร้างความไว้วางใจและหาทางออกร่วมกัน “ผมต้องเข้าไปเป็นพาร์ทเนอร์กับเขา ช่วยหามาตรการควบคุมชดเชย (Compensating Control) เพื่อลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ แล้วให้เวลาเขาไปแก้ไขจุดอ่อนนั้น นี่คือการสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยกับความเร็วของธุรกิจ”

อีกหนึ่งความท้าทายคือการจัดการกับเทคโนโลยีเก่า (Legacy System) ที่มีอยู่มหาศาล เช่น ตู้ ATM นับหมื่นเครื่องที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย การจะเปลี่ยนทั้งหมดในคราวเดียวต้องใช้งบประมาณหลักพันล้านบาทซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ “เราจะบอกให้เขาเปลี่ยนทั้งหมดทันทีไม่ได้ แต่เราสามารถแนะนำแนวทางตามความเสี่ยงได้ เช่น ย้ายเครื่องที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและมีความเสี่ยงทางกายภาพสูงมาอัปเกรดก่อน ส่วนเครื่องที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าซึ่งปลอดภัยกว่าก็ทยอยทำไป”

ประสบการณ์ครั้งนี้สอนบทเรียนที่ล้ำค่าที่สุดให้แก่ดร.ศุภกร เขาไม่ได้เรียนรู้แค่เทคโนโลยีของธนาคาร แต่เขาได้เรียนรู้เรื่องข้อจำกัดด้านงบประมาณ การเมืองในองค์กร แรงกดดันจากฝ่ายธุรกิจ และความเหนื่อยล้าของทีมปฏิบัติการ เขาได้เห็นภาพทั้งหมดจากเก้าอี้ของลูกค้า

การ “สวมบทผู้ประสบภัย” ได้เปลี่ยนมุมมองของเขาไปตลอดกาล มันคือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เติมเต็มความเข้าใจของเขาให้สมบูรณ์ และกลายเป็นอาวุธลับที่ทำให้เขาสามารถพูดภาษาเดียวกับลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในบทบาทผู้ประกอบการและผู้นำในเวลาต่อมา

สถาปนิกผู้สร้าง: จาก Cyber Elite สู่การนำทัพ Fortinet

หลังจากที่ได้สวมบทลูกค้าจนเข้าใจถึงแก่นแท้ของปัญหาแล้ว ดร.ศุภกร ก็พร้อมสำหรับบทต่อไป นั่นคือการเป็น “สถาปนิกผู้สร้าง” เขาต้องการสร้างผู้ให้บริการด้านซีเคียวริตี้ในอุดมคติ ที่ไม่ได้ขายแค่เทคโนโลยี แต่ขายความเข้าใจและความเป็นพันธมิตรอย่างแท้จริง โอกาสนั้นมาถึงเมื่อเขาได้รับการทาบทามจากกลุ่มเบญจจินดา ให้มาปลุกปั้นธุรกิจไซเบอร์ซีเคียวริตี้แห่งใหม่ในนาม Cyber Elite

เขาเริ่มต้นภารกิจจากศูนย์ ในการประชุม Town Hall วันแรก เขาประกาศวิสัยทัศน์อย่างชัดเจน “ที่นี่จะไม่มีไซโล เราจะทำงานแบบสตาร์ตอัพ โครงสร้างต้องลีน ลำดับขั้นต้องน้อยที่สุด และความเร็วคือหัวใจสำคัญ”

อาวุธลับที่ทำให้ Cyber Elite เติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 200% ในปีที่สอง คือประสบการณ์ล้ำค่าที่เขาได้จาก SCB เขาสอนให้ทีมงาน “พูดภาษาเดียวกับลูกค้า” แทนที่จะเข้าไปนำเสนอผลิตภัณฑ์ พวกเขาเข้าไปเพื่อรับฟังปัญหาและความเจ็บปวด (Pain Point) และพูดคุยในภาษาของธุรกิจ ทำให้สามารถสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุดและสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว

“พอเราเคยเป็น End-user มาก่อน เรารู้แล้วว่าจริง ๆ เขาต้องการอะไร” เขาย้ำ “เราจึงสามารถเข้าไปผสานบริการของเราเข้ากับกระบวนการทางธุรกิจของลูกค้าได้อย่างไร้รอยต่อ เหมือนเป็นทีมเดียวกัน”

ด้วยกลยุทธ์นี้ Cyber Elite จึงสามารถเจาะตลาดที่มีความซับซ้อนและต้องการความเชื่อถือสูงสุดได้สำเร็จ ทั้งกลุ่มสถาบันการเงินที่ให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องทางธุรกิจ และกลุ่มหน่วยงานความมั่นคงที่ต้องการรู้ลึกไปถึงตัวตนและเครื่องมือของผู้โจมตี

และเมื่อบทบาทสถาปนิกผู้สร้างสตาร์ตอัพประสบความสำเร็จอย่างงดงามแล้ว โอกาสในสมรภูมิที่ใหญ่ขึ้นก็เปิดออก การก้าวสู่ตำแหน่ง ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ Fortinet คือการยกระดับความท้าทายจากการบริหารธุรกิจ “หลักร้อยล้าน” สู่การบัญชาการทัพในสมรภูมิ “หลักพันล้าน”

ภารกิจของเขาที่ Fortinet ไม่ใช่แค่การรักษาสถานะผู้นำตลาดที่เติบโตระดับเลขสองหลักอยู่แล้ว แต่คือการ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงกลยุทธ์

“ทีม Fortinet แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว” ดร.ศุภกร กล่าว “แต่ผมจะเข้ามาเป็นส่วนเสริม เพื่อพาพวกเขาไปในสมรภูมิที่เรายังเติบโตได้อีกมหาศาล นั่นคือกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่และหน่วยงานภาครัฐ”

วิธีการของเขาคือการเปลี่ยนบทสนทนา จากเดิมที่คุยในระดับปฏิบัติการเรื่องคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ไปสู่การพูดคุยในระดับผู้บริหาร (C-Level) ถึงยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ ต้องเป็นผู้นำทางความคิด (Thought Leader) ที่สามารถชี้ภาพให้เห็นว่าแพลตฟอร์ม Security Fabric ของ Fortinet สามารถตอบโจทย์อนาคตขององค์กร ท่ามกลางเทรนด์ของโลกที่กำลังมุ่งสู่การเลือกใช้ผู้ให้บริการน้อยรายแต่ครบวงจร (Vendor Consolidation) การมาถึงของ AI และความท้าทายจาก Post-Quantum Cryptography

“ผมจะเป็นคนทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้ามีลูกค้ารายไหนที่ทีมยังเข้าไม่ถึง ผมจะจับมือพาทีมไปคุยด้วยกัน เพื่อโค้ชและแสดงให้เห็นถึงวิธีการสร้างบทสนทนาเชิงกลยุทธ์” 

วันนี้ ดร.ศุภกร กังพิศดาร ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหาร แต่คือสถาปนิกที่กำลังออกแบบอนาคตของวงการไซเบอร์ซีเคียวริตี้ไทย เขากำลังนำประสบการณ์ทั้งหมดที่สั่งสมจากทุกสมรภูมิมายกระดับ Fortinet จากผู้ขายเทคโนโลยีชั้นนำสู่การเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่ทุกองค์กรต้องมี เพื่อนำพาธุรกิจไทยให้ก้าวข้ามผ่านทุกความท้าทายในโลกดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ฮีโร่ในเงา: ชัยชนะและความภูมิใจที่ไม่อาจเอ่ย

อะไรคือแรงผลักดันที่แท้จริงของชายผู้เดินทางผ่านทุกสมรภูมิของโลกไซเบอร์คนนี้? เมื่อถามถึงสิ่งที่ทำให้เขายังคงหลงใหลในเส้นทางที่เต็มไปด้วยความกดดันและต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา คำตอบของดร.ศุภกร ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหรือความสำเร็จทางธุรกิจ แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและจับต้องได้ยากกว่านั้นมาก มันคือ ความภาคภูมิใจ

“ผมว่ามันมีความ proud ที่ได้ทำงานในวงการนี้ เวลาเราได้เข้าไปช่วยแก้ปัญหาในเหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ (Incidents) จนสำเร็จ เราจะเห็นแววตาของลูกค้าและทีมงานที่เปลี่ยนไป แววตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเรา มันทำให้เรารู้สึกว่า ‘เออ นี่แหละคืออาชีพของเรา’”

แต่ความภาคภูมิใจในโลกของเขาแตกต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ชัยชนะของเขาไม่ใช่สิ่งที่สามารถป่าวประกาศบนโซเชียลมีเดีย ไม่มีถ้วยรางวัลให้เฉลิมฉลองต่อหน้าสาธารณชน

“งานบางงาน เราทำสำเร็จแต่เราบอกใครไม่ได้เลยว่าเราทำ” เขาเผยให้เห็นอีกด้านของเหรียญ “เพราะทุกอย่างมันเป็นความลับสุดยอด สิ่งที่เราทำได้ก็แค่ฉลองกันเงียบ ๆ ในทีมงานเล็ก ๆ ตอนเย็นหลังจบภารกิจ โดยที่ไม่มีโอกาสจะโพสต์ลงเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรมให้ใครรู้ได้เลย บางช่วงคนข้างนอกยังนึกว่าผมเป็นแค่อาจารย์อยู่เลย ในขณะที่เรากำลังทำภารกิจบางอย่างที่ไม่สามารถบอกใครได้”

“มันเป็นความภาคภูมิใจที่ต้องเก็บไว้กับตัวเอง เหมือนเป็นฮีโร่ที่กอบกู้โลกแต่เปิดเผยตัวตนไม่ได้ ซึ่งมันก็มีความเท่ในแบบของมัน”

ความรู้สึกนี้เองที่เป็นดั่งพลังหล่อเลี้ยงจิตใจให้เขาก้าวไปข้างหน้า มันคือความอิ่มเอมใจที่ได้ใช้ความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดปกป้ององค์กร ปกป้องข้อมูลของผู้คน และในบางครั้งคือการปกป้องความมั่นคงของประเทศจากภัยคุกคามที่มองไม่เห็น มันคือการได้เห็น “สมการบันดาลใจ” ที่เขาหลงใหลในวัยเรียน ถูกนำมาใช้เป็นเกราะพิทักษ์โลกในชีวิตจริง

จากความทึ่งในสมการคณิตศาสตร์ สู่ความภูมิใจในภารกิจที่ต้องอยู่ในเงา เส้นทางของดร.ศุภกร กังพิศดาร คือบทพิสูจน์ว่าคุณค่าที่แท้จริงของงานอาจไม่ได้วัดกันที่เสียงปรบมือ แต่คือความเชื่อมั่นในแววตาของผู้ที่เราได้ช่วยเหลือ และความสุขสงบในใจที่รู้ว่าเราได้ทำหน้าที่ “ผู้พิทักษ์” ในสมรภูมินี้อย่างดีที่สุดแล้ว

×

Share

ผู้เขียน