มีเรื่องเล่าอยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เสมอ เรื่องเล่าที่เป็นบันทึกของจิตวิญญาณที่ผ่านการทดสอบ บนเวทีเสวนา Rebuilding Thailand’s Startup Spirit: The Unicorn ที่รวม 3 ผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัพระดับ “ยูนิคอร์น” ของเมืองไทย ยอดชิน สุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ Bitkub และ คมสันต์ ลี CEO และผู้ก่อตั้ง Flash Express บรรยากาศไม่ได้เต็มไปด้วยเรื่องราวสวยหรูของความสำเร็จ แต่เป็นการเปิดเปลือยบาดแผล ความเจ็บปวด และบทเรียนที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังที่สมจริงของเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยขวากหนามและความท้าทายที่วัดใจในทุกย่างก้าว
จุดเริ่มต้น: จาก “ความอยากรวย” และ “ความไม่รู้” สู่ธุรกิจหมื่นล้าน
การเดินทางทุกครั้งเริ่มต้นที่ก้าวแรก และสำหรับพวกเขาทั้งสาม ก้าวแรกนั้นไม่ได้ออกมาจากตำราเล่มเดียวกันเลย หากย้อนกลับไปวันแรก ไม่มีใครใน 3 คนนี้มั่นใจเต็มร้อยว่าธุรกิจจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้
ยอด ชินสุภัคกุล ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าวันแรกที่สร้าง Wongnai เมื่อ 15 ปีก่อน สิ่งที่ขับเคลื่อนเขาคือ “ลูกบ้าและความอยากรวยเป็นหลัก” หาใช่ภาพฝันอันยิ่งใหญ่ของ Super App หรือ Ecosystem ที่ซับซ้อน
ในฐานะวิศวกร เขามองตัวเองเป็นช่างประกอบเครื่องที่มีเป้าหมายเรียบง่ายเพียงหนึ่งเดียวคือ “ทำเว็บไซต์รีวิวร้านอาหารให้ดีที่สุด” โดยเชื่อว่าเมื่อผลิตภัณฑ์นั้นยอดเยี่ยม ผู้ใช้งานและผลตอบแทนจะตามมาเอง ภาพของ Food Delivery, Ride-hailing หรือ POS ยังไม่เคยปรากฏในความคิดของเขาแม้แต่น้อย
“ผมมันวิศวกรนะ ผมมองตัวเองเป็นช่างซ่อมเครื่อง เป็นช่างประกอบเครื่อง วันนั้นแค่คิดอย่างเดียวว่าทำเว็บไซต์รีวิวร้านอาหารให้ดีที่สุด ก็น่าจะมีคนใช้เยอะ แล้วน่าจะทำให้เรารวยได้ คิดแค่นั้น”
แนวคิดแบบ “ช่างประกอบ” นี้เองที่กลายเป็นรากฐานสำคัญ ทำให้เขาไม่ยึดติดกับแผนการแรกเริ่ม แต่พร้อมที่จะมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่เปรียบเสมือนชิ้นส่วนสำคัญ และนำมาประกอบร่างเข้ากับธุรกิจเดิมทีละชิ้นอย่างชำนาญ จนกลายเป็นอาณาจักร LINE MAN Wongnai ที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน

ในทางตรงกันข้าม ท๊อป จิรายุส เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจที่ตกผลึกทางความคิด เขาไม่ได้อ้างว่าตัวเองเป็น Visionary แต่เกิดจากการศึกษาอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่เขาสนใจ
“เราต้องใช้ประวัติศาสตร์… ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ วิชาที่ผมชอบที่สุดคือประวัติศาสตร์การเงิน”
ความรู้พื้นฐานนี้ทำให้เมื่อเขาได้อ่าน Bitcoin Whitepaper และบทความของนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Marc Andreessen เขาจึง “คลิก” และมองเห็นภาพอนาคตของการเงินดิจิทัล เขามองเห็น Pain Point ของระบบการเงินเดิม ๆ ที่ทั้งช้าและแพง “ทำไมโอนเงินข้ามประเทศต้องรอสองวัน ต้องจ่าย 5%?” และตัดสินใจสร้าง Bitkub ขึ้นมาตามภาพอนาคตที่เขาได้เรียนรู้และตกผลึกมาจากวิสัยทัศน์ของคนอื่น
ขณะที่ คมสันต์ ลี ให้คำตอบที่เรียบง่ายว่า สิ่งที่ทำให้เขากล้าเริ่มต้นธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนมหาศาลและมีความเสี่ยงสูง คือ “ความไม่รู้”
“ถ้าให้ผมย้อนกลับไปทำใหม่นะ กูว่ากูไม่ทำแน่ ๆ มันเหนื่อยมาก ข้อแรกคือความไม่รู้นะครับ เพราะเราไม่รู้เราก็เลยไม่กลัว พอเราไม่กลัวเราก็เลยกล้าที่จะทำ”
อย่างไรก็ตาม ความไม่รู้ของเขาไม่ใช่ความบ้าบิ่นไร้ทิศทาง เขายอมรับว่าเขาเห็นตัวอย่างความสำเร็จของโมเดลธุรกิจนี้ในต่างประเทศ “เรารู้ว่ามันไปถึงที่นั่นได้ ก็เลยลองก๊อปปี้และปรับในแบบของไทย” มันคือการผสมผสานระหว่างความกล้าที่เกิดจากความไม่รู้ในความยากลำบาก กับการมองเห็นโอกาสจากโมเดลที่พิสูจน์แล้ว
จากจุดเริ่มต้นที่ต่างกันสุดขั้ว ทั้ง “ความอยากรวย” ที่เป็นรูปธรรม “วิสัยทัศน์ที่ตกผลึก” จากการศึกษา และ “ความกล้าที่เกิดจากความไม่รู้” ได้กลายเป็นรากฐานที่นำพาธุรกิจของพวกเขาทั้งสามมาสู่จุดที่เรียกว่า “ยูนิคอร์น” ได้
บททดสอบในหุบเหวแห่งความจริง
แต่ไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะแตกต่างกันเพียงใด เส้นทางของพวกเขาก็ล้วนนำไปสู่บททดสอบเดียวกัน นั่นคือหุบเหวแห่งความจริง ที่ซึ่งความฝันต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้าย เส้นทางของสตาร์ตอัพเปรียบเสมือนการกระโดดลงจากหน้าผา แล้วประกอบเครื่องบินให้ทันก่อนจะตกถึงพื้น ทั้งสามคนผ่านวิกฤติที่เกือบจะทำให้ต้องยอมแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน
ยอดต้องเดินผ่านทะเลทรายที่ไร้ซึ่งแหล่งน้ำ เมื่อ Wongnai ไม่มีรายได้แม้แต่บาทเดียวตลอด 2 ปีเต็ม เขาต้องใช้เงินเก็บจนหมดสิ้น และก้าวไปสู่จุดที่ต้องยืมเงินพ่อแม่มาเพื่อจ่ายเงินเดือนพนักงาน
“ช่วง 2 ปีแรกไม่มีรายได้ ใช้เงินตัวเองจนหมดไปแล้วแล้วก็ต้องไปยืมพ่อแม่มาเพื่อจ่ายเงินเดือนพนักงาน ขณะที่ตอนนั้นแฟนทำร้านเค้กเปิด 7 สาขา หาเงินได้ตั้งเยอะ ผมก็อายนะครับ ก็คิดอยู่ว่าแบบจะเลิกดีมั้ย จะเลิกดีมั้ย คิดบ่อยมาก”
ท่ามกลางความรู้สึกอับอาย ความคิดที่จะหันหลังกลับมาเยือนเขาแทบทุกวัน แต่ในความมืดมิดนั้น เขากลับพบว่าเพื่อนร่วมเดินทาง (Co-founder) ที่มีศีลเสมอกัน ยังคงพายเรือลำเดียวกันไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครเอ่ยคำว่ายอมแพ้ออกมาแม้แต่คนเดียว
“โชคดีที่ผมกับ co-founder ไม่มีใครเคยคุยเรื่องเลิกเลย เพราะเกิดมีคนนึงพูดขึ้นมาสงสัยเลิกกันหมด” การที่ไม่มีใครเอ่ยคำว่า “ยอมแพ้” ออกมา ทำให้เรือที่กำลังจะล่มยังคงแล่นต่อไปได้
ส่วนวิกฤติของ คมสันต์ ลี กลับแตกต่างออกไป มันคือวิกฤติที่เกิดจาก “ความสำเร็จที่เร็วเกินไป”
“พอผู้ลงทุนสนใจ เงินมันก็เข้าไปเยอะ พอเข้าไปเยอะเสร็จปุ๊บ ใช้เงินไม่เป็น ตอนนั้นแหละครับมันเลวกว่าตอนที่ไม่มีเงิน”
เขาเผชิญกับความท้าทายในการบริหารเงินทุนก้อนมหาศาลเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่บทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดกลับเป็นเรื่องพื้นฐานอย่างการพักผ่อนไม่เพียงพอ “ผมผิดพลาดเยอะมากจากการนอนไม่พอ เวลาเรานอนไม่พอ ตื่นมาโลกมันไม่น่าอยู่แล้ว เจออุปสรรคหนักหนามันยิ่งไม่น่าอยู่เลย” ความเหนื่อยล้าสะสมเกือบทำให้เขาพังทลายลง
ขณะที่ ท๊อป จิรายุส แม้จะเผชิญกับความท้อแท้ไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาล้มเลิกไม่ได้คือคำว่า “ความรับผิดชอบ”
“ท้อนะ เราก็เป็นคนกันหมด… แต่มันจะเลิกก็เลิกไม่ได้นะฮะ เพราะเราเป็นคนที่พาทุกคนมา… ตอนนี้มันมี accountability”
ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น นักลงทุน และพนักงานทุกคนที่ลงเรือลำเดียวกันมา กลายเป็นโซ่ตรวนที่ผูกมัดเขาไว้กับภารกิจนี้ แม้ใจอยากจะหยุดพักแค่ไหน แต่สถานะของผู้นำทำให้เขาต้องเดินหน้าต่อไป
หนึ่งในวิกฤติที่อยู่ในสายตาของคนทั้งประเทศคือการยกเลิกดีลประวัติศาสตร์มูลค่า 17,850 ล้านบาทระหว่าง Bitkub และ SCB หลายคนมองว่านี่คือมรสุมลูกใหญ่ที่สุด แต่ท๊อปกลับเผยความรู้สึกในวันนั้นว่า “ไม่รู้สึกอะไรเลย” เขามองว่ามันคือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทได้อิสรภาพกลับคืนมา และเมื่อเทียบกับอุปสรรคสารพัดที่เคยฝ่าฟันมา เรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ “เบาสุดครับ” ซึ่งสะท้อนถึงสภาวะจิตใจที่แข็งแกร่งเกินคาดเดา และความสามารถในการมองทะลุวิกฤติเพื่อหาโอกาสใหม่ ๆ ที่ซ่อนอยู่
ราคาที่ต้องจ่าย: เมื่อสุขภาพกายและใจคือเดิมพันสูงสุดของ Founder
เบื้องหลังการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์น คือราคาที่ต้องจ่ายด้วยการเสียสละแทบทุกอย่างในชีวิต และต้นทุนที่อาจมีราคาสูงกว่าเงินทุนที่เผาไหม้ไป คือสุขภาพกายและจิตใจที่ค่อย ๆ สึกหรอลงทุกวัน เพราะขณะที่ต้องรับมือกับวิกฤตภายนอก สงครามที่หนักหน่วงไม่แพ้กันคือการต่อสู้ที่เกิดขึ้นภายในใจของตัวเอง
สำหรับ คมสันต์ ลี การตระหนักรู้ถึงบาดแผลภายในใจกลับมาในรูปแบบที่ไม่คาดฝันที่สุด นั่นคือการได้ชมซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องราวชีวิตของตัวเอง เขายอมรับว่าความรู้สึกแรกคือ “อึดอัด เพราะอันไหนเป็นจริงอันไหนเป็นปลอม” แต่ยิ่งเรื่องราวดำเนินไป แผ่นฟิล์มนั้นกลับกลายเป็นกระจกเงาที่สะท้อนตัวตนในมุมที่เขาไม่เคยเห็น จนต้องยอมรับกับตัวเองว่า
“เพิ่งเข้าใจตัวเองว่าจริงๆ เรามีปัญหาเรื่องโรคซึมเศร้าเหมือนกัน เมื่อเราอยู่หน้าเวทีเราคือผู้นำ แต่จริง ๆ แล้วคือข้างหลังของเราล้มมาก”
ซีรีส์เรื่องนั้นได้สะท้อนให้เขาเห็นมุมที่อ่อนแอและวิตกกังวลของตัวเองเป็นครั้งแรก และการยอมรับความจริงนั้นก็คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดของการเยียวยา

ในขณะที่คมสันต์ค้นพบสภาวะของตนเองผ่านเรื่องเล่า ท๊อป จิรายุส กลับเลือกที่จะเปลี่ยนวิกฤติสุขภาพให้กลายเป็นกลยุทธ์เชิงรุกในการบริหาร เขามองว่าการจะนำพาองค์กรระดับแสนล้านได้นั้น ไม่ได้แข่งกันแค่ความสามารถในการทำงาน แต่ต้อง “แข่งนอกสนามด้วย” โดยได้แรงบันดาลใจจากนักกีฬาระดับโลกอย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้ “เขายิ่งใหญ่แล้วเขามีทีมที่ยิ่งใหญ่กว่าอยู่ข้างหลังเขา”
เขาจึงหันมาศึกษาและดูแลตัวเองอย่างจริงจังตามแนวทาง Longevity ไม่ใช่แค่เพื่อร่างกายที่แข็งแรง แต่เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการตัดสินใจในฐานะผู้นำ “พอเรากลับมาดูแลสุขภาพ ปรากฏว่าเรากลายเป็นคนที่มี Energy ทุกวัน ตื่นมาสดใส ตัดสินใจถูกต้อง มันกลายเป็นบวกยิ่งกว่าบวก”
เช่นเดียวกับ ยอด ชินสุภัคกุล ที่ได้เรียนรู้ว่าเมื่อองค์กรเติบใหญ่ ภาพลักษณ์ของผู้นำก็คือภาพลักษณ์ขององค์กร จากที่เคยยอมรับว่าในอดีตเป็นคนทำงานที่เอาจริงเอาจังและอารมณ์ร้อน เขาตระหนักว่าพนักงานหลายพันคนไม่ได้สัมผัสตัวตนของเขาโดยตรง
“คนเริ่มมองเราเป็นภาพมากกว่าเป็นคนจริง ๆ เขาไม่รู้จักเรา เขาเห็นภาพว่าพี่ยอดเดินไปเดินมาหน้าตาสดใสหรือเปล่า”
การลุกขึ้นมาดูแลตัวเองให้ดูดีขึ้น นอนหลับได้ดีขึ้น จึงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้ทีม อีกทั้งยังส่งผลต่อมูลค่าของบริษัทได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนที่ Mark Zuckerberg เปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองแล้วทำให้มูลค่าหุ้นของ Meta ทะยานขึ้นมหาศาล
บทเรียนจากชีวิตของสามฟาวเดอร์ชี้ให้เห็นความจริงข้อเดียวกันว่า ในสมรภูมิสตาร์ตอัพที่ทุกอย่างวัดกันด้วยความเร็วและการเติบโต ร่างกายและจิตใจกลับเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด การละเลยมันอาจหมายถึงการพ่ายแพ้ในสงครามระยะยาว แต่การหันกลับมาดูแลจึงไม่ใช่ต้นทุนที่สูญเปล่า แต่คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด ทั้งต่อตัวเองและองค์กรที่พวกเขารัก
พลังสองด้านของ Founder: ศิลปะการสร้างศรัทธาและฐานที่มั่นที่ชื่อ “พาร์ทเนอร์”
บนเส้นทางของสตาร์ตอัพที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การจะสร้างธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ได้นั้นต้องอาศัยพลังสำคัญสองด้านเสมอ ด้านหนึ่งคือ “พลังแห่งศรัทธา” ที่ต้องชี้ภาพอนาคตให้ทีมงานเห็นและก้าวตาม และอีกด้านคือ “พลังแห่งความรัก” จากคนข้างกายที่คอยเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายในวันที่ทุกอย่างสั่นคลอน
พลังด้านแรกคือความสามารถในการทำให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ซึ่งเหล่า Founder ต่างมีวิธีที่แตกต่างกันไป
คมสันต์ ลี ยึดหลัก “จงเชื่อแล้วจะเห็น” และแสดงมันออกมาอย่างสุดโต่งตั้งแต่ยังไม่มีอะไรในมือ เขาเล่าอย่างติดตลกว่า “ผมระดมทุน ผมไปโม้กับผู้ลงทุนตอนนั้นทั้งองค์กรมีพนักงานอยู่ 3 คน กูโว้ย ยังกับอนันต์… แต่ไม่มีใครลงทุนผมนะตอนนั้น”
แม้จะไม่มีใครลงทุนในตอนแรก แต่การที่เขา “พูดจนตัวเองเชื่อ” ได้แผ่พลังนั้นออกไปสู่คนรอบข้าง “พอเราเชื่อแล้วเราจะเป็นตัวอย่าง เพื่อนร่วมงานเราสัมผัสได้ครับว่าเราเชื่อมันจริง ๆ แล้วเพื่อนร่วมงานเราก็จะจอยกับเรา”

ขณะที่ ยอด ชินสุภัคกุล เรียกกระบวนการนี้อย่างตรงไปตรงมาว่าสกิลในการล้างสมองคนอื่น ซึ่งเริ่มต้นจากการมีทีมผู้ร่วมก่อตั้งที่ศีลเสมอกัน มีค่านิยมเดียวกันและไม่ได้มองแค่ผลประโยชน์ระยะสั้น เมื่อมีแกนกลางที่แข็งแกร่งแล้ว กระบวนการจึงเริ่มขึ้น “เราล้างสมองตัวเองเรียบร้อยแล้ว เราล้างสมอง co-founder เรียบร้อยแล้ว แล้วก็ล้างสมองน้อง ๆ ทีละคนทีละคนที่เข้ามา ให้เขาเห็นภาพแบบที่เราเห็น เราต้องทำให้ทุกคนอยู่ในโลกของเราให้ได้”
ส่วน ท๊อป จิรายุส สร้างความเชื่อมั่นบนหลักการที่จับต้องได้ นั่นคือการสร้างความไว้วางใจ ผ่าน 3 เสาหลักคือ ความซื่อสัตย์ (Honesty) ความโปร่งใส (Transparency) และความมีคุณธรรม (Integrity) ควบคู่ไปกับการสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เผยด้านที่เฉียบขาดในการบริหารทีมว่า “โคฟาวเดอร์ไม่เหมือนยอดนะ ผมไล่ออกไปหลายคน” เพราะการรักษาคนที่ไม่เหมาะสมไว้ ถือเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียคนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม พลังในการขับเคลื่อนทีมอาจไม่ยั่งยืนหากปราศจากฐานที่มั่นในชีวิตส่วนตัว คมสันต์ ลี ถึงกับกล่าวว่า “การมีพาร์ทเนอร์ที่ดีแม่งมันสำคัญากกว่าเรื่องธุรกิจ”
สำหรับ ยอด ชินสุภัคกุล ในช่วงเวลาที่ธุรกิจกำลังเผชิญกับพายุ เขาต้องการ “ความสงบ” ที่บ้านเป็นที่สุด ภรรยาของเขาสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปราศจากแรงกดดันด้วยการไม่ถามไถ่เรื่องงาน “การที่เราจะทำงานใหญ่ ที่บ้านมันต้องนิ่งนิดนึง เขาไม่เคยมาถามว่าแบบ ธุรกิจเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้ดีหรือเปล่า” การสนับสนุนอย่างเงียบ ๆ นี้กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ทำให้เขามีแรงกลับไปต่อสู้ในสนามรบได้ในทุกวัน
เส้นทางของ ท็อป จิรายุส ต้องแลกมาด้วยการอุทิศเวลาแทบทั้งหมดให้กับบริษัท ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากความเสียสละของคนข้างกาย “เขาเป็นผู้หญิงที่ selfless มากนะครับ ผมคบมา 7 ปี คิดดูสิไม่เคยพาเขาไปเที่ยวอะไรเลย ไม่เคยพาไปทานอาหารอะไร คริสต์มาส ดินเนอร์”
ความเข้าใจและการยอมรับในเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเขา คือเชื้อเพลิงที่ทำให้เขาสามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มกำลัง “มันถึงทำให้เราได้ลุยเต็มที่ ถ้าไม่มีคนข้างหลังที่เข้าใจ โอ๊ย ไม่ต้องมีเวลามานั่งทำธุรกิจแล้ว”
ในกรณีของ คมสันต์ ลี พาร์ทเนอร์ของเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้สนับสนุนทางใจ แต่ยังเป็น “ที่ปรึกษา” คนสำคัญ ด้วยวัยและประสบการณ์ที่มากกว่า เขาเคยผ่านสมรภูมิมาหลายที่หลายอย่าง คำแนะนำของเธอจึงเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ช่วยนำทางในวันที่คลื่นลมรุนแรง “เขาก็เป็นหนึ่งจุดที่ทำให้ผมมีพลัง ทำให้ผมสามารถหาทางออกได้บางส่วนจากคำแนะนำของเขา”
บทเรียนจากทั้งสามท่านสะท้อนให้เห็นว่า เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ไม่ได้มีแค่พลังในการนำพาองค์กร แต่ยังต้องมีพลังใจจากคนใกล้ชิดที่คอยเป็นลมใต้ปีก เป็นรากฐานที่มั่นคง และเป็นเหตุผลให้สามารถยืนหยัดต่อสู้จนถึงเส้นชัยได้
เส้นทางข้างหน้า: โอกาสยังมีแต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดในสนามรบใหม่
เมื่อบทสนทนาเดินทางมาถึงภูมิทัศน์แห่งอนาคตของวงการสตาร์ตอัพไทย ทั้งสามยูนิคอร์นได้ให้ภาพฉันทามติที่ทั้งน่าครุ่นคิดและเปี่ยมด้วยความหวัง นั่นคือเส้นทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนในอดีต แต่ก็ยังไม่ใช่ทางตันเสียทีเดียว โอกาสใหม่ ๆ ยังคงรออยู่ เพียงแต่ผู้เล่นเจนเนอเรชันถัดไปต้องมี “แผนที่และวิธีคิด” ที่แตกต่างออกไป สำหรับสนามรบที่ไม่เหมือนเดิม
ทั้งสามมองตรงกันว่าการสร้างสตาร์ตอัพในวันนี้ “ไม่ง่าย” และ “ยากมาก” โดยเฉพาะในตลาด B2C ที่ผู้เล่นรายใหญ่ครองพื้นที่ไปเกือบหมดแล้ว แต่ก็ยังพอมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ … พวกเขามองมอบแผนที่ 3 ฉบับที่แตกต่างกัน สำหรับนักเดินทางรุ่นต่อไปที่กำลังจะเผชิญหน้ากับสมรภูมิแห่งอนาคต
ยอด มองว่าคลื่นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีระลอกใหม่ที่ชื่อว่า AI สำหรับสตาร์ตอัพสายเทคโนโลยี เขาแนะนำกลยุทธ์ที่ชัดเจนว่า “ควรจะ Target Global Player ตั้งแต่ต้น” เพราะเกมเทคโนโลยีไม่มีพรมแดน ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นและจำกัดตัวเองอยู่แค่ในประเทศไทย
“เราจะเป็น AI-Driven Company”: เมื่อ AI คือสมรภูมิใหม่ที่สตาร์ทอัพต้องชนะ
ยอดประกาศเป้าหมายชัดเจนว่า LINE MAN Wongnai จะต้องเป็น AI-Driven Company เขาเผยว่าปัจจุบันบริษัทได้นำ AI เข้ามาช่วยตอบคำถามลูกค้าแล้วถึง 25% ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการจ้างงานที่ลดลง และนี่คือกติกาใหม่ของเกมธุรกิจที่ทุกคนต้องปรับตัวตามให้ทัน เขามองว่าคลื่นการเปลี่ยนแปลงของ AI ทำให้เขารู้สึกอยากกลับไปมี Mindset แบบ “สตารต9อัพ” อีกครั้ง เพื่อให้องค์กรมีความคล่องตัวและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ
แผนที่ฉบับที่สอง โดย ท๊อป จิรายุส คือ บทเรียนของนักสัจนิยมและการเลือกสนามแข่งขัน ท๊อปเน้นย้ำว่า “จังหวะเวลา” คือทุกสิ่ง “ถ้า Bitkub เกิดเร็วกว่านี้ก็ไม่ใช่ Bitkub ถ้าเกิดช้ากว่านี้ก็ไม่ใช่ Bitkub เหมือนกัน มันเกิดในแบบ Perfect timing” โอกาสใหม่ ๆ นั้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่ยังไม่มีเจ้าตลาดชัดเจน เช่น AI, Longevity หรือ 3D Printing แต่บทเรียนที่สำคัญที่สุดที่เขาได้เรียนรู้คือการเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มผู้มีอุดมการณ์ (Idealist) มาเป็นนักสัจนิยม (Realist) ที่เข้าใจโลก
“ผมทำธุรกิจใหม่ เราจะไม่เป็น Idealist เหมือนตอนเด็ก ๆ เราจะเป็น Realist มากขึ้นโดยการเปลี่ยน structure หาเกาะคุ้มกันเต็มที่”
คำแนะนำของเขาคือ แม้จะทำธุรกิจในไทย แต่โครงสร้างบริษัทควรไปตั้งในที่ที่ให้ประโยชน์สูงสุดทางภาษีและการเข้าถึงตลาดทุน เพื่อสร้างความได้เปรียบ เหมือนดั่งคำเปรียบเปรยที่ว่า “หินก้อนเดียวกันเป๊ะ ไปอยู่ที่ตลาดนัดก็ราคาหนึ่ง อยู่ในพิพิธภัณฑ์ก็ราคาอีกหนึ่ง”
แผนที่ฉบับที่สาม โดย คมสันต์ ลี คือโอกาสมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในสนามหลังบ้าน คมสันต์กลับเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีที่สุดสำหรับโอกาสในประเทศไทย เขามองว่า “เงินลอยอยู่บนอากาศ” และชี้ให้เห็นโอกาส 3 ประการคือ 1.ประเทศไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาซึ่งยังมีช่องว่างอีกมหาศาลให้เข้าไปเติมเต็ม 2.บริษัทใหญ่หลายแห่งนั้นอุ้ยอ้ายและไม่กล้าเปลี่ยนแปลงเพราะกลัวกระทบแหล่งกำไรเดิม ซึ่งนี่คือโอกาสทองของคนตัวเล็กที่คล่องตัวกว่า และ 3.เทคโนโลยีอย่าง AI ทำให้การเริ่มต้นธุรกิจในวันนี้ใช้คนและเงินทุนน้อยกว่าเดิมมาก
“โอกาสยังมีเสมอครับ อย่าไปยอมแพ้ครับ”
อนาคตของสตาร์ตอัพไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเดินตามรอยความสำเร็จเดิม ๆ แต่คือความสามารถในการมองเห็นคลื่นลูกใหม่แห่งเทคโนโลยี การวางโครงสร้างธุรกิจอย่างชาญฉลาดเพื่อสู้ในเกมระดับโลก และที่สำคัญคือความกล้าที่จะเข้าไปท้าทายยักษ์ใหญ่ที่อุ้ยอ้ายในสนามรบเก่าที่รอวันเปลี่ยนแปลง
มรดกสำหรับนักเดินทางรุ่นต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว อะไรคือแก่นแท้ของการเดินทางที่ยาวนานนี้? การเป็น “ยูนิคอร์น” ยังจำเป็นอยู่หรือไม่ คมสันต์ ลี ได้ให้คำตอบที่เปรียบเสมือนดาวเหนือนำทางไว้ว่า สิ่งที่จะทำให้คุณไม่ยอมแพ้ คือรางวัลที่ใหญ่พอ คุณต้องรู้ว่าคุณกำลังสู้ไปเพื่ออะไร และเป้าหมายนั้นต้องยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้คุณยอมแลกกับทุกสิ่ง
“ถ้ารางวัลใหญ่พอ ไม่ท้อหรอก การทำสตาร์ตอัพคือการเสียสละแทบทุกอย่างในชีวิต ดังนั้นเป้าหมายหรือรางวัลปลายทางต้องยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้คุณพร้อมจะจ่ายราคาของมัน”
จากแรงขับเคลื่อนอันแรงกล้านี้ พวกเขาทั้งสามได้ทิ้งมรดกทางความคิดไว้ให้เป็นเครื่องมือสำหรับนักเดินทางรุ่นต่อไป บทเรียนแรกเริ่มต้นด้วยการทดสอบความเป็นจริงอย่างเฉียบขาด ดังที่คมสันต์แนะนำให้ เช็คเครดิตของตัวเอง ตั้งแต่วันแรกด้วยการ “โทรไปยืมตังทุกคนที่รู้จัก” เพื่อให้รู้ว่าใครคือเพื่อนแท้ที่จะอยู่กับคุณในวันที่พายุมาถึง และต้องมีแผนสำรองเสมอ เพราะไม่เคยมีแผนไหนเป็นไปตามที่วางไว้ 100% “สตาร์ตอัพส่วนใหญ่เนี่ย ต้องมีแผนบีอยู่เสมอ ระหว่างทางมันเป็นแค่ How ครับ ไม่ใช่ Why”
เมื่อรู้ว่าใครคือเพื่อนร่วมทางที่แท้จริงแล้ว การต่อสู้ที่สำคัญที่สุดคือการต่อสู้กับตัวเอง ท๊อป จิรายุส สอนให้เราต้องทิ้งอีโก้ไว้ข้างหลัง จงมีความกล้าที่จะหน้าด้านและล้มให้ชิน อย่ากลัวที่จะดูไม่ดีในสายตาใคร และจงล้มบ่อย ๆ จนการลุกขึ้นใหม่กลายเป็นสัญชาตญาณ คุณต้องกัดไม่ปล่อยในทุกสถานการณ์
“อย่าหน้าใหญ่ จงหน้าด้าน ความกลัวล้มเหลว กลัวเสียฟอร์ม จะทำให้ไม่กล้าทดลองทำอะไรใหม่ ๆ ต้องให้แบบล้มจนชินจนเป็นเรื่องปกติไปเลย พอมันล้มปุ๊บมันต้องลุกขึ้นใหม่ตลอด ต้องกัดไม่ปล่อย” ท๊อป กล่าว
แต่ความทรหดเพียงลำพังไม่อาจสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งได้ คุณสมบัติสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือสิ่งที่ ยอด ย้ำอยู่เสมอ นั่นคือการใจกว้าง ผู้นำต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบเป็นคนสุดท้ายและดูแลทีมให้ดีที่สุด เพราะความใจกว้างคือสิ่งเดียวที่สามารถซื้อความภักดีและความไว้วางใจจากใจคนได้จริง
“ความใจกว้าง คือสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ ถึงแม้ว่าเราจะจน เราก็ยังต้องใจกว้าง เลี้ยงข้าวน้อง ๆ ซัพพอร์ตทีมเป็นคนสุดท้าย ผมว่าคนเค้าดูว่าเถ้าแก่คนเนี้ย เขาจะตามไปได้หรือเปล่า”
เรื่องราวของพวกเขาสะท้อนให้เห็นว่า การสร้างธุรกิจระดับยูนิคอร์นไม่ใช่แค่เรื่องของไอเดียที่เฉียบคมหรือเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่เป็นบทพิสูจน์ของจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ ความอดทนต่อความเจ็บปวด และความเชื่อมั่นอย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ไม่มีใครเชื่อเรา
และการเดินทางสู่ความสำเร็จไม่ใช่การเดินตามแผนที่ที่สมบูรณ์แบบ แต่คือการเขียนแผนที่ขึ้นมาด้วยตัวเอง ผ่านความกล้าที่จะก้าว ความทรหดอดทนในหุบเหว และปัญญาที่ได้เรียนรู้จากบาดแผล เพื่อทิ้งไว้เป็นตำนานและแรงบันดาลใจให้กับนักเดินทางรุ่นต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สถาปนิกแห่งความปลอดภัย ‘ดร.ศุภกร กังพิศดาร’ ผู้ผ่านทุกบทบาทในสมรภูมิไซเบอร์
AI พลิกโลก: จากพายุสู่โจ๊กในถ้วย