ในโลกที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งจากด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม กลุ่มประเทศ ACMECS (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และไทย) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภูมิภาคอาเซียนให้ก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น แต่จะขับเคลื่อนไปในทิศทางไหน และจะมีมุมมองอะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และการจัดการพลังงานสีเขียวในกลุ่มประเทศ ACMECS บ้าง
มาดูแนวทางสำคัญในการสร้างนวัตกรรม การส่งเสริมความยั่งยืน และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้ภูมิภาคนี้สามารถตอบสนองต่อความท้าทายในปัจจุบัน และสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไปจากหัวข้อ “Driving a Smart and Sustainable ACMECs” ภายใต้งาน Towards the Prosperous ACMECs ไปพร้อม ๆ กัน
ความสำคัญของนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
บรรณ เกษมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพัฒนาภูมิภาค CLMVT ที่หมายถึงกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) ที่มีเส้นทางคมนาคมเชื่อมต่อกัน ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม และไทย เนื่องจากโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างพื้นฐานและนำไปสู่การพูดถึงการจัดระเบียบใหม่ของภูมิภาค เพื่อให้เข้มแข็งและสามารถสร้างประโยชน์อย่างต่อเนื่อง
โดยคุณบรรณมองว่าอนาคตของโลจิสติกส์ในภูมิภาค CLMVT ขึ้นอยู่กับสองปัจจัยหลัก คือ นวัตกรรมและ ความยั่งยืน โดยการนำเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อดิจิทัลเข้ามาช่วยจะทำให้การสร้างโครงสร้างพื้นฐานมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความสำคัญของ Green Logistics หรือการลดการปล่อยคาร์บอนในการขนส่ง เช่น การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริม Geo-economics หรือการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภูมิภาค เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและการแข่งขันในเวทีโลกอีกด้วย
การนำพลังงานสีเขียวมาใช้ในภูมิภาค
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ เรื่องของพลังงานและการใช้พลังงานสีเขียวในภูมิภาค ACMECS ซึ่งคุณวิริษฐ์ รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) กล่าวถึงการพัฒนาพลังงานที่ยั่งยืนและเน้นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนนั้นต้องคำนึงถึงปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย
โดยการสร้างความยั่งยืนต้องเริ่มต้นจาก Driving force ด้วยการทำความเข้าใจถึงเทรนด์โลก เช่น พลังงานสีเขียวและแนวทางในการลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้นวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ ซึ่งทุกประเทศควรหาแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการจัดการพลังงาน โดยเฉพาะการจัดการพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานไฮโดรเจน และพลังงานหมุนเวียน เช่น พม่าและลาวที่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานหมุนเวียนจะสามารถเพิ่มโอกาสในการใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ตาม ความไม่สม่ำเสมอของพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังน้ำนั้นขึ้นอยู่กับฤดูกาล ทำให้มีความจำเป็นต้องมีระบบจัดเก็บพลังงาน (Energy storage) เพื่อให้สามารถบริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพทางธรรมชาติสูง แต่ก็ยังมองว่านี่คือโอกาสมากกว่าความท้าทาย ซึ่งอาจจะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ลงทุนเป็นในการสร้างกลไกและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสีเขียวเป็นไปได้อย่างราบรื่น
นอกจากนี้ ในด้านความมั่นคงของพลังงาน คุณวิริษฐ์เชื่อว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ความต้องการพลังงานสำหรับการใช้ยานพาหนะไฟฟ้า (EV) หรือพลังงานไฮโดรเจนจะเพียงพอ และสามารถเลือกใช้ไฮโดรเจนจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งไฮโดรเจนจากปิโตรเลียม และไฮโดรเจนจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและแนวทางที่เหมาะสมในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน
การสนับสนุนจากภาคการเงินเพื่อการพัฒนาภูมิภาค ACMECS
ในด้านของการสนับสนุนทางการเงิน ดร. เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้กล่าวถึงบทบาทของธนาคารในการสนับสนุนการค้าขายและการลงทุนในภูมิภาค ACMECS (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ผ่านการมีสาขาของ EXIM BANK ในประเทศ เพื่อให้การสนับสนุนแก่ธุรกิจและการค้าในภูมิภาค นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีบทบาทสำคัญในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างถนนและสนามบินในประเทศเพื่อนบ้าน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสนับสนุนธุรกิจ เช่น การทำ E-commerce และการจับคู่ธุรกิจ (Business matching) ผ่านออนไลน์ ซึ่งทำให้การพัฒนาการค้าในภูมิภาคเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ซึ่งดร.เบญจรงค์มองเห็นถึงความจำเป็นในการสร้าง Common agenda หรือเป้าหมายร่วมกันในภูมิภาคเพิ่มเติมหลังจากนี้ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งแวดล้อม และการขนส่ง ซึ่งในปัจจุบันยังขาดความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องมีการหารือและร่วมมือกันระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการขนส่งในภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น
การพัฒนาเกษตรกรรมให้ยั่งยืนมากขึ้น
วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงผลกระทบของโรคระบาดทั้งในมนุษย์และสัตว์ที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอาหาร ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การผลิตและการจัดจำหน่ายอาหาร โรคระบาดทำให้เกิดความท้าทายในการจัดหาอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของประชากรและต้องควบคู่ไปกับการรักษาความยั่งยืนทางอาหาร ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการพัฒนาสายพันธุ์โปรตีนใหม่ ๆ เช่น โปรตีนจากพืชและโปรตีนสังเคราะห์ที่เป็นหนึ่งในแนวทางในการแก้ไขปัญหาอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าอาหารไปยังตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น
แต่ความท้าทายในภาคเกษตรกรรมของไทยนั้นคือ การขาดแหล่งน้ำถาวรเพื่อสนับสนุนการเกษตร โดยเฉพาะเขื่อนที่ปัจจุบันใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าเท่านั้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างแหล่งน้ำต้นทุนที่เพียงพอต่อการพัฒนาเกษตรกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงควรมีการรวมตัวของเกษตรกรเป็นกลุ่มสหกรณ์ที่ยึดมั่นในจรรยาบรรณและความยุติธรรม และการมีระบบตลาดกลางที่มั่นคงและมีประสิทธิภาพในการกระจายสินค้า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ภาคเกษตรกรรมและอาหารเติบโตได้ในอนาคต
นอกจากนี้ วสิษฐ ยังได้กล่าวถึงแนวทางในการเพิ่มคุณภาพชีวิตด้วย “อาหารที่ดีกว่า” ซึ่งต้องประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- ความปลอดภัยของอาหาร: ให้ความสำคัญกับการผลิตอาหารที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
- คุณภาพและความอร่อย: มุ่งเน้นคุณภาพของอาหารและความพึงพอใจด้านรสชาติ
- ราคาที่เป็นธรรม: ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพในราคายุติธรรม
- ความยั่งยืน: การผลิตอาหารที่คำนึงถึงความยั่งยืนทั้งในด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งทางเบทาโกรมองว่า การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และความปลอดภัยของอาหาร นอกจากนี้ ความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและการส่งออกอาหารไปยังตลาดโลกที่มีกำลังซื้อสูงก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยเพิ่มมูลค่าและเสริมความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรกรในภูมิภาคได้มากขึ้น
จะเห็นว่าภูมิภาค ACMECS กำลังก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนด้วยการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และพลังงานสีเขียวมาผสานกับความร่วมมือระหว่างประเทศ ดังนั้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเกษตรจึงเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตอย่างมั่นคง เพราะทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่สำหรับคนรุ่นต่อไปในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน