ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว SCG หนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านวัสดุก่อสร้างและเคมีภัณฑ์ของประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวและนวัตกรรมเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางการค้า และการบังคับใช้กฎระเบียบใหม่ ๆ ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ยังเป็นโอกาสให้ SCG สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดและขยายธุรกิจสู่ความยั่งยืน ด้วยแผนกลยุทธ์ที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวถึงแผนการปรับตัวของ SCG ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยเน้นถึงทิศทางและความท้าทายทางธุรกิจที่องค์กรจะต้องเผชิญ ซึ่งสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
- ผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันจากสินค้าจีน
SCG เผชิญความท้าทายจากการแข่งขันของสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนที่กำลังเข้ามาในตลาดประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง (Building Materials) ซึ่งสินค้าจีนมีเทคโนโลยีล้ำหน้าและราคาถูก ส่งผลกระทบต่อการตลาดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม SCG มองว่านี่เป็นโอกาสในการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยจะลดการผลิตสินค้าที่จีนสามารถผลิตได้ดีกว่า และมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าภายใต้แนวคิด “Smart System” เช่น Roof System และ Wall System ซึ่งเป็นการพัฒนาสินค้าแต่ละชิ้นให้ทำงานร่วมกันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ การใช้เทคโนโลยีจากจีนร่วมกับหุ่นยนต์ (Robotics) ยังเป็นส่วนหนึ่งในการลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
- การปรับตัวตามกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมและการลดคาร์บอน
SCG ต้องเผชิญกับกฎระเบียบใหม่ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมจากประเทศตะวันตก เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) หรือภาษีคาร์บอนที่กำลังจะบังคับใช้ เพื่อให้เข้ากับกฎระเบียบเหล่านี้ SCG ได้ปรับตัวด้วยการพัฒนาสินค้าปูนคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cement) ซึ่งประสบความสำเร็จในการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาถึง 1 ล้านตัน และการผลิตสินค้าในรูปแบบนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ SCG สามารถเข้าสู่ตลาดใหม่ๆได้ แม้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าจะไม่มีการเรียกเก็บ Green Premium แต่สินค้าที่เป็น Low Carbon ยังคงได้รับการยอมรับและความสนใจจากตลาดผ่านแนวคิด Green Priority ที่เริ่มเป็นที่แพร่หลายในภูมิภาคนี้
- การขยายตลาดใหม่ในต่างประเทศ
SCG ยังคงขยายธุรกิจไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น การเปิดโรงงานผลิตผนังสำเร็จรูปที่ประเทศอินเดีย ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ นอกจากนี้ อินโดนีเซียและเวียดนามก็ยังเป็นตลาดที่ SCG ตั้งเป้าหมายในการขยายธุรกิจต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ (Packaging) และอุตสาหกรรมเคมี (Chemicals) แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ก็ตาม
- ความท้าทายในอุตสาหกรรมเคมีและการปรับตัว
อุตสาหกรรม Chemicals ของ SCG เผชิญกับภาวะการแข่งขันสูงจากการนำเข้าสินค้าจีนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้การเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ อย่างไรก็ตาม SCG ยังคงพยายามปรับตัวและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยใช้แนวทางการปรับกระบวนการผลิตและลดต้นทุนผ่านการนำเข้าก๊าซอีเทนราคาถูกจากสหรัฐอเมริกาเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการผลิต นอกจากนี้ SCG ยังตั้งเป้าหมายที่จะทำให้โรงงานในเวียดนามสามารถแข่งขันได้ดีในระยะยาวอีกด้วย
- การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยพลังงานสะอาด
SCG มองเห็นโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจผ่านพลังงานสะอาด (Green Energy) ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยใช้พลังงานสะอาดเพียง 17-18% เท่านั้น SCG จึงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนนี้ให้สูงถึง 50% เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และสร้างธุรกิจใหม่ในกลุ่มพลังงานสะอาด เช่น ระบบ Smart Micro Grid และโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) เทคโนโลยี Perovskite ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ความร้อน (Heat Battery) ซึ่งสามารถกักเก็บพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าลิเธียมไอออน
เจาะลึกความท้าทายในแต่ละธุรกิจและเป้าหมายที่ต้องเดินหน้าต่อของ SCG
กลุ่มธุรกิจ SCG Cement and Green Solution
สำหรับกลยุทธ์ในปัจจุบัน SCG กำลังมุ่งเน้นการพัฒนาในแนวทาง “3 Green” ซึ่งประกอบด้วย
- Green Process: พัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- Green Product: ผลิตสินค้าที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- Green Society: การส่งเสริมสังคมสีเขียวผ่านสินค้าคุณภาพสูงและกระบวนการผลิตที่สะอาด
ส่วนในอีก 3 ปีข้างหน้า SCG จะมุ่งเน้น 3P นั่นคือ
- People: ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านคุณสมบัติที่ดีขึ้นของปูนซีเมนต์
- Planet: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
- Profit: เพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจด้วยการลดต้นทุน
SCG Cement and Green Solution จึงมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เพื่อตอบรับมาตรการภาษีคาร์บอนที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศทั่วโลก โดย SCG ได้ดำเนินการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดกระบวนการผลิตล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อทิศทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังมองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการเติบโต เนื่องจากหลายโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนสนับสนุนการใช้ปูนคาร์บอนต่ำในโครงการก่อสร้างต่างๆ
SCG ประสบความสำเร็จในการส่งออกปูนคาร์บอนต่ำไปยังสหรัฐอเมริกามากกว่า 1 ล้านตัน และยังมุ่งขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ เช่น อาเซียน ออสเตรเลีย และแคนาดา เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น บริษัทจึงผลักดันการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันกำลังพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำเจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มสัดส่วนการทดแทนปูนเม็ดในการผลิต ทำให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 40-50% เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์แบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ SCG ยังเร่งขยายกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และวางแผนใช้เวียดนามเป็นฐานการส่งออกในอนาคตเพื่อรองรับตลาดโลกที่มีความต้องการสินค้าก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
กลุ่มธุรกิจ SCG Smart Living
สำหรับทิศทางธุรกิจ Smart Living ของ SCG ใน 3-5 ปีข้างหน้ากำลังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต ด้วยการมุ่งเน้นพัฒนาสินค้าและบริการใน 4 ด้านหลัก เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันและรองรับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนี้
- การพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์
SCG มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและลูกค้า รวมถึงการบริหารต้นทุนที่แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง เช่น การเน้นพัฒนาสินค้าประเภท Wood-Based ที่แข็งแรง ทนต่อปลวกและไฟ และสินค้า Metal-Based อย่างหลังคาเมทัลชีทต่างๆ รวมถึงการนำซีเมนต์ Low Carbon มาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น - การนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้
SCG ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อช่วยลดปริมาณสินค้าที่เสียหายจากการผลิต เพิ่มความรวดเร็วในการออกสินค้าใหม่ๆ รวมถึงลดต้นทุนการผลิตให้แข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ๆ ได้ - การพัฒนาระบบ Smart System
สินค้าในกลุ่ม Smart System เองก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบผนังเบาที่ติดตั้งง่าย กันเสียงและความร้อนได้ดี และระบบหลังคาที่สามารถปรับดีไซน์ตามความต้องการ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและทำให้บ้านเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น - การขยายตลาดใหม่
SCG มีแผนขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เช่น อินเดียและตะวันออกกลาง ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งการขยายตลาดนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและการเติบโตในระดับสากล โดยใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในตลาดเหล่านี้มากขึ้น
SCG เตรียมเปิดตัวโซลูชันที่รวมความเชี่ยวชาญของ SCG กับเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อยกระดับการอยู่อาศัยทุกมิติ เช่น ระบบบำบัดอากาศเสีย และโซลูชันพลังงานสะอาด รวมถึงการดูแลคุณภาพอากาศในบ้านและอาคาร นอกจากนี้ SCG ยังวางแผนเพิ่มโซลูชันดูแลผู้สูงอายุ เพื่อตอบสนองต่อเทรนด์สังคมผู้สูงอายุ และเตรียมเชื่อมต่อโซลูชันทั้งหมดผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะทำให้การจัดการบ้านอัจฉริยะสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กลุ่มธุรกิจ SCG Chemicals
ธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCG กำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของอุปทานจากจีนและความต้องการใช้พลาสติกที่ผันผวนตามสภาพเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจดี ความต้องการใช้พลาสติกจะเพิ่มขึ้น แต่หากเศรษฐกิจไม่ดี อาจเกิดปัญหาอุปทานล้นตลาด (Over Supply) ทำให้แนวโน้มธุรกิจลดลง อย่างไรก็ตาม SCG คาดการณ์ว่าธุรกิจเคมีภัณฑ์จะฟื้นตัวได้ในระยะต่อไปจากการปรับกลยุทธ์ในการผลิต
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2016-2017 ธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCG ประสบความสำเร็จจากวัฏจักร (Cycle) ของปิโตรเคมีที่มีอุปสงค์สูง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันต่างออกไป จีนได้เพิ่มการผลิตปิโตรเคมีเพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลง พร้อมทั้งการเปิดเสรีการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปี 2019 ทำให้เกิดการลงทุนอย่างมหาศาลในจีน ส่งผลให้การแข่งขันเพิ่มขึ้นและทำให้ Margin ลดลง
เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ SCG วางแผนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันผ่านโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) ซึ่งตั้งอยู่ในเวียดนาม โดยจะเพิ่มความยืดหยุ่นด้านต้นทุนการผลิตด้วยการนำก๊าซธรรมชาติอีเทน (Ethane) จากสหรัฐอเมริกาเข้ามาใช้แทนการใช้แนฟทา (Naphtha) และโพรเพน (Propane) ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่า ซึ่งการใช้ก๊าซอีเทนช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 40% และยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงลดการเกิดผลิตภัณฑ์พลอยได้ (By-product) อีกด้วย
สำหรับโครงการ LSP ได้รับการออกแบบมาให้รองรับการใช้วัตถุดิบประเภทก๊าซอยู่แล้ว และมีระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางที่พร้อมสำหรับการติดตั้งถังเก็บวัตถุดิบและท่อนำส่งก๊าซอีเทน คาดว่าใช้เวลาประมาณ 3 ปีในการก่อสร้าง โดย LSP จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งจะผลิตโอเลฟินส์และพอลิโอเลฟินส์ เช่น พอลิเอทิลีนและพอลิโพรพิลีน เพื่อตอบสนองความต้องการพลาสติกในตลาดเวียดนามที่มีศักยภาพสูง
ปัจจุบัน ธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCG มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 39% ของรายได้รวมของบริษัท แม้ว่าสถานการณ์ของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ทั่วโลกจะอ่อนตัวลง และราคาน้ำมันดิบผันผวน แต่ธุรกิจยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพการผลิตและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้วัตถุดิบจากแหล่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และเน้นความปลอดภัยรวมถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
กลุ่ม SCG Cleanergy
อีกกลุ่มธุรกิจที่นับเป็น New S-Curve ของ SCG คือ SCG Cleanergy ที่จะมุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจพลังงานสะอาด (Green Energy) และการขยายธุรกิจในแนวทาง Inclusive Green Growth ที่มุ่งสร้างระบบพลังงานที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกับการเตรียมตัวสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเพื่อผลักดันการลดคาร์บอนในระดับโลก โดยหนึ่งในโซลูชันที่สำคัญคือ Smart Micro Grid ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้ส่งผ่านพลังงานสะอาดผ่านท่อสายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และ EA ปัจจุบันระบบนี้อยู่ในระยะทดลอง (sandbox) แต่ถ้าประสบความสำเร็จ จะช่วยเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในประเทศไทยได้หลายเท่า เนื่องจากระบบนี้ช่วยแก้ปัญหาที่ดินไม่ติดกันระหว่างแหล่งพลังงานและพื้นที่ที่ต้องการใช้พลังงาน การใช้ Smart Micro Grid จะช่วยให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นในระยะยาว
และอีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ Heat Battery ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าลิเธียมไอออนถึงสองเท่า ระบบนี้กำลังพัฒนาอยู่ในโรงงานปูนซีเมนต์ของ SCG ที่จังหวัดสระบุรี
นอกจากนี้ SCG ยังมีการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์รุ่นใหม่แบบ Tandem Perovskite ซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้สูงกว่าระบบซิลิคอนเบสที่ใช้กันทั่วไป โดยคาดว่าประสิทธิภาพของเซลล์แสงอาทิตย์รุ่นใหม่นี้จะสูงถึง 30% โดยการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดต้นทุนในการผลิตพลังงานสะอาดและช่วยให้เกิดการใช้พลังงานไฮโดรเจนในราคาถูกได้อีกด้วย
สำหรับเป้าหมายของธุรกิจนี้คือ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ถึง 3,500 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 ด้วยนวัตกรรมและโซลูชันพลังงานสะอาดครบวงจร เช่น ระบบการจัดการพลังงาน การผลิต และการจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและประชาชนในภูมิภาคให้ได้มากยิ่งขึ้น
แผนการรุกด้านความร่วมมือ การเงิน และการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
ธรรมศักดิ์ ยังกล่าวเสริมเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบัน SCG กำลังดำเนินแผนคุมเข้มด้านการเงินอย่างเคร่งครัด โดยจะลงทุนอย่างรอบคอบภายใต้งบประมาณการลงทุนปีละ 40,000 ล้านบาท พร้อมมุ่งลดเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจลง 10-15% ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ธุรกิจที่ไม่ทำกำไรจะถูกปิด และทรัพยากรและกำลังคนจะถูกโฟกัสในธุรกิจที่มีศักยภาพและโอกาสเติบโต เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงทางการเงินของบริษัท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 SCG มีเงินสดคงเหลืออยู่ที่ 78,907 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งด้านการเงินได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ SCG ยังมีการเร่งขีดความสามารถทางเทคโนโลยี โดยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจในทุกมิติ ตั้งแต่การใช้ AI ในการสนับสนุนลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้า การดูแลเครื่องจักรและซ่อมบำรุง รวมถึง AI ที่ใช้ในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน เช่น Noc Noc ซึ่งช่วยเรียนรู้ความต้องการของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเทคโนโลยี AI จะถูกนำมาใช้มากขึ้นในอนาคตมากขึ้น เพื่อให้พนักงานและธุรกิจสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับการเติบโตระยะยาว
สำหรับในด้านความร่วมมือ SCG ยังร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมในการขับเคลื่อนโครงการ “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” ซึ่งเป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน 5 ด้าน ได้แก่
- เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Grid Modernization)
- มุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวและผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำ
- สร้างมูลค่าเพิ่มจากของเหลือใช้
- ทำนาแบบเปียกสลับแห้งเพื่อลดการใช้น้ำและลดคาร์บอน
- เพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
โครงการนี้ยังจะดึงทุนสีเขียวจากต่างประเทศมาพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เช่น Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในจังหวัดสระบุรีให้ได้ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2573 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการบรรลุคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 อีกด้วย
SCG ยังคงติดตามสถานการณ์ในระดับโลกอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลกระทบซึ่งกันและกัน จากการวิเคราะห์สถานการณ์ล่วงหน้านี้ SCG ได้จัดทำแผนที่เหมาะสมและปรับตัวได้ทันท่วงที เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมั่นคงและสร้างความสามารถในการแข่งขันที่เข้มแข็งทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว นอกจากนี้ SCG ยังมุ่งขยายสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง เพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การเงินที่เข้มงวดและการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงาน SCG ยังคงมุ่งสร้างความแข็งแกร่งและรักษาความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว ทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาคอาเซียนต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ACMECS: ไทยหนุนความร่วมมือ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน
CMO ต้องรู้! 10 กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ โดย สโรจ เลาหศิริ
เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคและเทรนด์ตลาด 2024 ปรับตัวอย่างไรก่อนเข้าสู่ปี 2025