Share on
×

Share

เอสซีจีเปลี่ยนกลยุทธ์ ปรับทัพใหม่ เดินหน้าแผนรุก เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว SCG หนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านวัสดุก่อสร้างและเคมีภัณฑ์ของประเทศไทย ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวและนวัตกรรมเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางการค้า และการบังคับใช้กฎระเบียบใหม่ ๆ ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นความท้าทายที่ธุรกิจต้องเผชิญในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ยังเป็นโอกาสให้ SCG สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดและขยายธุรกิจสู่ความยั่งยืน ด้วยแผนกลยุทธ์ที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวถึงแผนการปรับตัวของ SCG ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยเน้นถึงทิศทางและความท้าทายทางธุรกิจที่องค์กรจะต้องเผชิญ ซึ่งสามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

  1. ผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันจากสินค้าจีน

SCG เผชิญความท้าทายจากการแข่งขันของสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนที่กำลังเข้ามาในตลาดประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง (Building Materials) ซึ่งสินค้าจีนมีเทคโนโลยีล้ำหน้าและราคาถูก ส่งผลกระทบต่อการตลาดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม SCG มองว่านี่เป็นโอกาสในการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยจะลดการผลิตสินค้าที่จีนสามารถผลิตได้ดีกว่า และมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าภายใต้แนวคิด “Smart System” เช่น Roof System และ Wall System ซึ่งเป็นการพัฒนาสินค้าแต่ละชิ้นให้ทำงานร่วมกันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ การใช้เทคโนโลยีจากจีนร่วมกับหุ่นยนต์ (Robotics) ยังเป็นส่วนหนึ่งในการลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

  1. การปรับตัวตามกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมและการลดคาร์บอน

SCG ต้องเผชิญกับกฎระเบียบใหม่ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมจากประเทศตะวันตก เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) หรือภาษีคาร์บอนที่กำลังจะบังคับใช้ เพื่อให้เข้ากับกฎระเบียบเหล่านี้ SCG ได้ปรับตัวด้วยการพัฒนาสินค้าปูนคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cement) ซึ่งประสบความสำเร็จในการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาถึง 1 ล้านตัน และการผลิตสินค้าในรูปแบบนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ SCG สามารถเข้าสู่ตลาดใหม่ๆได้ แม้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าจะไม่มีการเรียกเก็บ Green Premium แต่สินค้าที่เป็น Low Carbon ยังคงได้รับการยอมรับและความสนใจจากตลาดผ่านแนวคิด Green Priority ที่เริ่มเป็นที่แพร่หลายในภูมิภาคนี้

  1. การขยายตลาดใหม่ในต่างประเทศ

SCG ยังคงขยายธุรกิจไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น การเปิดโรงงานผลิตผนังสำเร็จรูปที่ประเทศอินเดีย ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ นอกจากนี้ อินโดนีเซียและเวียดนามก็ยังเป็นตลาดที่ SCG ตั้งเป้าหมายในการขยายธุรกิจต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ (Packaging) และอุตสาหกรรมเคมี (Chemicals) แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ก็ตาม

  1. ความท้าทายในอุตสาหกรรมเคมีและการปรับตัว

อุตสาหกรรม Chemicals ของ SCG เผชิญกับภาวะการแข่งขันสูงจากการนำเข้าสินค้าจีนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้การเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ อย่างไรก็ตาม SCG ยังคงพยายามปรับตัวและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยใช้แนวทางการปรับกระบวนการผลิตและลดต้นทุนผ่านการนำเข้าก๊าซอีเทนราคาถูกจากสหรัฐอเมริกาเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการผลิต นอกจากนี้ SCG ยังตั้งเป้าหมายที่จะทำให้โรงงานในเวียดนามสามารถแข่งขันได้ดีในระยะยาวอีกด้วย

  1. การเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยพลังงานสะอาด

SCG มองเห็นโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจผ่านพลังงานสะอาด (Green Energy) ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยใช้พลังงานสะอาดเพียง 17-18% เท่านั้น SCG จึงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนนี้ให้สูงถึง 50% เพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และสร้างธุรกิจใหม่ในกลุ่มพลังงานสะอาด เช่น ระบบ Smart Micro Grid และโซลาร์เซลล์ (Solar Cell) เทคโนโลยี Perovskite ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ความร้อน (Heat Battery) ซึ่งสามารถกักเก็บพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าลิเธียมไอออน

เอสซีจี เดินหน้าลงทุน 2 แสนล้านใน 5 ปี เน้นนวัตกรรมกรีน – เคมีคัลและพลังงานหมุนเวียน – Asset Light Strategy

เจาะลึกความท้าทายในแต่ละธุรกิจและเป้าหมายที่ต้องเดินหน้าต่อของ SCG

กลุ่มธุรกิจ SCG Cement and Green Solution

สำหรับกลยุทธ์ในปัจจุบัน SCG กำลังมุ่งเน้นการพัฒนาในแนวทาง “3 Green” ซึ่งประกอบด้วย

  1. Green Process: พัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  2. Green Product: ผลิตสินค้าที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  3. Green Society: การส่งเสริมสังคมสีเขียวผ่านสินค้าคุณภาพสูงและกระบวนการผลิตที่สะอาด

ส่วนในอีก 3 ปีข้างหน้า SCG จะมุ่งเน้น 3P นั่นคือ

  • People: ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านคุณสมบัติที่ดีขึ้นของปูนซีเมนต์
  • Planet: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
  • Profit: เพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจด้วยการลดต้นทุน

SCG Cement and Green Solution จึงมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เพื่อตอบรับมาตรการภาษีคาร์บอนที่เริ่มบังคับใช้ในหลายประเทศทั่วโลก โดย SCG ได้ดำเนินการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดกระบวนการผลิตล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อทิศทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ยังมองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการเติบโต เนื่องจากหลายโครงการทั้งภาครัฐและเอกชนสนับสนุนการใช้ปูนคาร์บอนต่ำในโครงการก่อสร้างต่างๆ

SCG ประสบความสำเร็จในการส่งออกปูนคาร์บอนต่ำไปยังสหรัฐอเมริกามากกว่า 1 ล้านตัน และยังมุ่งขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ เช่น อาเซียน ออสเตรเลีย และแคนาดา เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น บริษัทจึงผลักดันการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันกำลังพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำเจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มสัดส่วนการทดแทนปูนเม็ดในการผลิต ทำให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 40-50% เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์แบบดั้งเดิม

นอกจากนี้ SCG ยังเร่งขยายกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และวางแผนใช้เวียดนามเป็นฐานการส่งออกในอนาคตเพื่อรองรับตลาดโลกที่มีความต้องการสินค้าก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น

กลุ่มธุรกิจ SCG Smart Living

สำหรับทิศทางธุรกิจ Smart Living ของ SCG ใน 3-5 ปีข้างหน้ากำลังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตในอนาคต ด้วยการมุ่งเน้นพัฒนาสินค้าและบริการใน 4 ด้านหลัก เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันและรองรับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนี้

  1. การพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์
    SCG มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและลูกค้า รวมถึงการบริหารต้นทุนที่แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง เช่น การเน้นพัฒนาสินค้าประเภท Wood-Based ที่แข็งแรง ทนต่อปลวกและไฟ และสินค้า Metal-Based อย่างหลังคาเมทัลชีทต่างๆ รวมถึงการนำซีเมนต์ Low Carbon มาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
  2. การนำเทคโนโลยีและ AI มาใช้
    SCG ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อช่วยลดปริมาณสินค้าที่เสียหายจากการผลิต เพิ่มความรวดเร็วในการออกสินค้าใหม่ๆ รวมถึงลดต้นทุนการผลิตให้แข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ๆ ได้
  3. การพัฒนาระบบ Smart System
    สินค้าในกลุ่ม Smart System เองก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบผนังเบาที่ติดตั้งง่าย กันเสียงและความร้อนได้ดี และระบบหลังคาที่สามารถปรับดีไซน์ตามความต้องการ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและทำให้บ้านเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
  4. การขยายตลาดใหม่
    SCG มีแผนขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เช่น อินเดียและตะวันออกกลาง ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งการขยายตลาดนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและการเติบโตในระดับสากล โดยใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในตลาดเหล่านี้มากขึ้น

SCG เตรียมเปิดตัวโซลูชันที่รวมความเชี่ยวชาญของ SCG กับเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อยกระดับการอยู่อาศัยทุกมิติ เช่น ระบบบำบัดอากาศเสีย และโซลูชันพลังงานสะอาด รวมถึงการดูแลคุณภาพอากาศในบ้านและอาคาร นอกจากนี้ SCG ยังวางแผนเพิ่มโซลูชันดูแลผู้สูงอายุ เพื่อตอบสนองต่อเทรนด์สังคมผู้สูงอายุ และเตรียมเชื่อมต่อโซลูชันทั้งหมดผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่จะทำให้การจัดการบ้านอัจฉริยะสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

กลุ่มธุรกิจ SCG Chemicals

ธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCG กำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของอุปทานจากจีนและความต้องการใช้พลาสติกที่ผันผวนตามสภาพเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจดี ความต้องการใช้พลาสติกจะเพิ่มขึ้น แต่หากเศรษฐกิจไม่ดี อาจเกิดปัญหาอุปทานล้นตลาด (Over Supply) ทำให้แนวโน้มธุรกิจลดลง อย่างไรก็ตาม SCG คาดการณ์ว่าธุรกิจเคมีภัณฑ์จะฟื้นตัวได้ในระยะต่อไปจากการปรับกลยุทธ์ในการผลิต

ย้อนกลับไปในช่วงปี 2016-2017 ธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCG ประสบความสำเร็จจากวัฏจักร (Cycle) ของปิโตรเคมีที่มีอุปสงค์สูง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันต่างออกไป จีนได้เพิ่มการผลิตปิโตรเคมีเพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลง พร้อมทั้งการเปิดเสรีการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปี 2019 ทำให้เกิดการลงทุนอย่างมหาศาลในจีน ส่งผลให้การแข่งขันเพิ่มขึ้นและทำให้ Margin ลดลง

เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ SCG วางแผนเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันผ่านโครงการ Long Son Petrochemicals (LSP) ซึ่งตั้งอยู่ในเวียดนาม โดยจะเพิ่มความยืดหยุ่นด้านต้นทุนการผลิตด้วยการนำก๊าซธรรมชาติอีเทน (Ethane) จากสหรัฐอเมริกาเข้ามาใช้แทนการใช้แนฟทา (Naphtha) และโพรเพน (Propane) ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่า ซึ่งการใช้ก๊าซอีเทนช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 40% และยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงลดการเกิดผลิตภัณฑ์พลอยได้ (By-product) อีกด้วย

สำหรับโครงการ LSP ได้รับการออกแบบมาให้รองรับการใช้วัตถุดิบประเภทก๊าซอยู่แล้ว และมีระบบสาธารณูปโภคส่วนกลางที่พร้อมสำหรับการติดตั้งถังเก็บวัตถุดิบและท่อนำส่งก๊าซอีเทน คาดว่าใช้เวลาประมาณ 3 ปีในการก่อสร้าง โดย LSP จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งจะผลิตโอเลฟินส์และพอลิโอเลฟินส์ เช่น พอลิเอทิลีนและพอลิโพรพิลีน เพื่อตอบสนองความต้องการพลาสติกในตลาดเวียดนามที่มีศักยภาพสูง

ปัจจุบัน ธุรกิจเคมีภัณฑ์ของ SCG มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 39% ของรายได้รวมของบริษัท แม้ว่าสถานการณ์ของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ทั่วโลกจะอ่อนตัวลง และราคาน้ำมันดิบผันผวน แต่ธุรกิจยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพการผลิตและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้วัตถุดิบจากแหล่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และเน้นความปลอดภัยรวมถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

กลุ่ม SCG Cleanergy

อีกกลุ่มธุรกิจที่นับเป็น New S-Curve ของ SCG คือ SCG Cleanergy ที่จะมุ่งเน้นการเติบโตในธุรกิจพลังงานสะอาด (Green Energy) และการขยายธุรกิจในแนวทาง Inclusive Green Growth ที่มุ่งสร้างระบบพลังงานที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกับการเตรียมตัวสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเพื่อผลักดันการลดคาร์บอนในระดับโลก โดยหนึ่งในโซลูชันที่สำคัญคือ Smart Micro Grid ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถใช้ส่งผ่านพลังงานสะอาดผ่านท่อสายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และ EA ปัจจุบันระบบนี้อยู่ในระยะทดลอง (sandbox) แต่ถ้าประสบความสำเร็จ จะช่วยเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในประเทศไทยได้หลายเท่า เนื่องจากระบบนี้ช่วยแก้ปัญหาที่ดินไม่ติดกันระหว่างแหล่งพลังงานและพื้นที่ที่ต้องการใช้พลังงาน การใช้ Smart Micro Grid จะช่วยให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นในระยะยาว

และอีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญคือ Heat Battery ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าลิเธียมไอออนถึงสองเท่า ระบบนี้กำลังพัฒนาอยู่ในโรงงานปูนซีเมนต์ของ SCG ที่จังหวัดสระบุรี

นอกจากนี้ SCG ยังมีการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์รุ่นใหม่แบบ Tandem Perovskite ซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้สูงกว่าระบบซิลิคอนเบสที่ใช้กันทั่วไป โดยคาดว่าประสิทธิภาพของเซลล์แสงอาทิตย์รุ่นใหม่นี้จะสูงถึง 30% โดยการพัฒนาเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดต้นทุนในการผลิตพลังงานสะอาดและช่วยให้เกิดการใช้พลังงานไฮโดรเจนในราคาถูกได้อีกด้วย

สำหรับเป้าหมายของธุรกิจนี้คือ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ถึง 3,500 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 ด้วยนวัตกรรมและโซลูชันพลังงานสะอาดครบวงจร เช่น ระบบการจัดการพลังงาน การผลิต และการจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและประชาชนในภูมิภาคให้ได้มากยิ่งขึ้น

แผนการรุกด้านความร่วมมือ การเงิน และการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

ธรรมศักดิ์ ยังกล่าวเสริมเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบัน SCG กำลังดำเนินแผนคุมเข้มด้านการเงินอย่างเคร่งครัด โดยจะลงทุนอย่างรอบคอบภายใต้งบประมาณการลงทุนปีละ 40,000 ล้านบาท พร้อมมุ่งลดเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจลง 10-15% ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ธุรกิจที่ไม่ทำกำไรจะถูกปิด และทรัพยากรและกำลังคนจะถูกโฟกัสในธุรกิจที่มีศักยภาพและโอกาสเติบโต เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงทางการเงินของบริษัท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 SCG มีเงินสดคงเหลืออยู่ที่ 78,907 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งด้านการเงินได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ SCG ยังมีการเร่งขีดความสามารถทางเทคโนโลยี โดยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจในทุกมิติ ตั้งแต่การใช้ AI ในการสนับสนุนลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้า การดูแลเครื่องจักรและซ่อมบำรุง รวมถึง AI ที่ใช้ในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน เช่น Noc Noc ซึ่งช่วยเรียนรู้ความต้องการของลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเทคโนโลยี AI จะถูกนำมาใช้มากขึ้นในอนาคตมากขึ้น เพื่อให้พนักงานและธุรกิจสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับการเติบโตระยะยาว

สำหรับในด้านความร่วมมือ SCG ยังร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมในการขับเคลื่อนโครงการ “สระบุรีแซนด์บ็อกซ์” ซึ่งเป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน 5 ด้าน ได้แก่

  1. เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Grid Modernization)
  2. มุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวและผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำ
  3. สร้างมูลค่าเพิ่มจากของเหลือใช้
  4. ทำนาแบบเปียกสลับแห้งเพื่อลดการใช้น้ำและลดคาร์บอน
  5. เพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

โครงการนี้ยังจะดึงทุนสีเขียวจากต่างประเทศมาพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ เช่น Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในจังหวัดสระบุรีให้ได้ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2573 ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการบรรลุคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 อีกด้วย

SCG ยังคงติดตามสถานการณ์ในระดับโลกอย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลกระทบซึ่งกันและกัน จากการวิเคราะห์สถานการณ์ล่วงหน้านี้ SCG ได้จัดทำแผนที่เหมาะสมและปรับตัวได้ทันท่วงที เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมั่นคงและสร้างความสามารถในการแข่งขันที่เข้มแข็งทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว นอกจากนี้ SCG ยังมุ่งขยายสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง เพื่อรับมือกับโอกาสและความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การเงินที่เข้มงวดและการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงาน SCG ยังคงมุ่งสร้างความแข็งแกร่งและรักษาความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว ทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาคอาเซียนต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ACMECS: ไทยหนุนความร่วมมือ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน

CMO ต้องรู้! 10 กลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ โดย สโรจ เลาหศิริ

เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคและเทรนด์ตลาด 2024 ปรับตัวอย่างไรก่อนเข้าสู่ปี 2025

×

Share

ผู้เขียน