ดนุชา พิทยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ ออกมาแถลงเมื่อวันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่าจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัว 1.5% รวมแล้ว 9 เดือนแรกของปี จีดีพีขยายตัว 1.9% และประเมินทั้งปีจีดีพีน่าจะขยายตัวได้ 2.5%
เลขาฯ สภาพัฒน์ฯ ระบุว่าแรงส่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มาจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว 8.1% การลงทุนรวมขยายตัว 1.5% แบ่งเป็นการขยายตัวของภาคเอกชน 3.1% แต่การลงทุนภาครัฐที่หดตัว 2.6% เนื่องจากการเบิกจ่ายงบลงทุนต่าง ๆ ที่ยังมีปัญหาในแง่การเบิกจ่าย
พร้อมระบุด้วยว่าสาเหตุหลักที่ทำให้จีดีพีไตรมาส 3 โตต่ำกว่าคาดการณ์ว่ามาจากการส่งออกหดตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 2565 ถึงปัจจุบันรวม 4 ไตรมาส การส่งออกหดตัวผูกโยงให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมติดลบไป 4% ขณะเดียวกันการอุปโภคภาครัฐติดลบ 4.9% เมื่อหักส่วนที่ต้องโอนจ่ายค่ารักษาพยาบาลโควิด-19 คาดว่าการอุปโภคบริโครัฐบาลจะเป็นแบบนี้ (ติดลบ) ไปจนถึงสิ้นปี 2566
แต่ในขณะเดียวกันไตรมาส 3 ที่ผ่านมา การอุปโภคและบริโภคภาคเอกชนเด่นเป็นพิเศษ โดย ดนุชา แจงว่าการบริโภคภาคเอกชนมีการขยายตัวตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2566 และการบริโภคส่วนใหญ่อยู่ในไตรมาส 3 ที่เพิ่งผ่านมา โดยหมวดบริการขยายตัวในเกณฑ์สูงที่ระดับ 14.9% ต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัวได้ 15.1% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ไตรมาส ในหมวดของการบริการ (ท่องเที่ยว) อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 66% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าแต่สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดี แม้แรงส่งทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ผ่านมายังไม่แรงพอแต่ปรากฎว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 51.7 % เทียบกับ 50.3 % ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นระดับความเชื่อมั่นสูงสุดในรอบ 15 ไตรมาสที่ผ่านมา และอัตรการว่างงานลดลงอยู่ที่ 0.99% ลดลงต่ำสุดในรอบ 15 ไตรมาส
เลขาฯ สภาพัฒน์ฯ สรุปภาพเศรษฐกิจปีนี้ว่า แม้ภาคส่งออกได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากปัญหาเงินเฟ้อ แต่เศรษฐกิจในประเทศยังขยายตัวได้ดี ทั้งเรื่องการบริโภคและการท่องเที่ยว ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังสามารถขยายตัวได้ แต่ถ้าหากว่าต้องการทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่านี้จำเป็นต้อง ปรับโครงสร้างโดยเฉพาะภาคอุตอุตสาหกรรมที่เป็นภาพใหญ่
หลังสภาพัฒน์ฯแถลง เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ โพสต์ในทวีตเตอร์ทันทีว่า “1.5 % Q3 ในขณะที่ประเทศคู่แข่งในอาเซียนโตอย่างต่ำ 2 เท่าของเรา .. วิกฤติครับ” ก่อนหน้านี้ นายกฯ เศรษฐา ออกมาย้ำต่อเนื่องว่า เศรษฐกิจไทยวิกฤติ ๆๆๆ ต้องแจก หนึ่งหมื่นๆๆๆ จนน่าแปลกใจว่าทำไมผู้นำประเทศ ถึงอยากเห็นวิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้นเสียจริง
ทั้ง ๆ ที่จริงอาการทางเศรษฐกิจของไทยคือโตต่ำกว่าศักยภาพ และยังไม่ถึงขั้นถดถอยที่จีดีพีต้องติดลบ 3 ไตรมาสซ้อน และห่างไกลจากวิกฤติที่ระบบเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักเหมือนช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ที่ระบบการเงินพังทะลาย หรือวิกฤติโควิดปี 2563 ที่โลกชัตดาวน์เพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 เลย
โดยจีดีพี 3 ไตรมาส ที่ผ่านมา จีดีพียังขยายตัว โดยไตรมาสแรกนั้นขยายตัว 2.7% เกินคาดการณ์ด้วยซ้ำ ส่วนไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ขยายตัวเช่นกันแต่ต่ำกว่าคาดการณ์ 1.8 % และ 1.5% ตามลำดับ และสภาพัฒน์คาดว่าทั้งปีจีดีพีจะขยายตัว 2.5% ซึ่งอยู่ในกรอบล่าง ไม่ดีแต่ไม่ถึงกับแย่
นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ให้ความเห็นว่าในมุมมองเศรษฐศาสตร์แบ่งวิกฤติออกเป็น 2 แบบคือ วิกฤติระยะสั้น และวิกฤติระยะยาว ภาพเศรษฐกิจระยะสั้นจะดูจากการเทียบตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยแต่ละช่วงช่วงนี้เศรษฐกิจไทยควรเติบโตอยู่ที่ 3.6% ต่อปี หมายความว่าถ้าปีไหนเศรษฐกิจต่ำกว่า 3.6% คือมีปัญหา
แบ่งปัญหาได้หลายแบบ ปัญหาแบบน้อย กับ ปัญหาแบบมาก …. ปัญหาทั้งสองแบบอยู่ในกรณีเติบโตต่ำกว่า 3.6% เศรษฐกิจปีล่าสุดสภาพัฒน์แถลงคาดการณ์ 2.5% ต่อปีต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3.6% ที่ 1.1% ถ้าคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปัจจุบันหายไป 1.1% คือเม็ดเงินหายไป 1.8 แสนล้านบาท
ถ้ารัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ละโครงการอย่างน้อยมีเม็ดเงินหมุนได้ 2 เท่า เท่ากับรัฐบาลหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2566 เพียง 9 หมื่นล้านบาทก็เพียงพอ เป็นยาแดงทาแผลถลอกแล้ว ภาพระยะสั้นยังมองว่าไม่เป็นวิกฤติ เพราะปัญหายังเป็นขั้นน้อย ๆ ล้างแผลเอายาแดงใส่ปิดแผลก็จบแล้ว (มติชน 23 พ.ย. 66)
มุมของข้างต้นต่างจากนายกฯ เศรษฐา ที่สวมหมวกรัฐมนตรีคลังอีกใบอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้อยากเห็นท่าทีของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะมันสมองของกระทรวงการคลังว่าคิดแบบเดียวกับท่านผู้นำหรือไม่ ?
ผู้เขียน: “ชญานิน ศาลายา” เป็นนามปากกาของ “คนข่าว” ที่เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของวัฎจักรเศรษฐกิจตลอดช่วง 4 ทศวรรษเศษ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจของผู้เขียน
เตรียมรับมือกับ “ความเสี่ยงใหม่”
หนี้ครัวเรือน … หนี้ชั่วนิรันดร์
“ทุน” ถอยตั้งหลัก คอย “ตั้งรัฐบาลใหม่” ชัดเจน
เงินเฟ้อชะลอ แต่ดอกเบี้ยยังไม่ลด