Block Mountain CNX 2025 กลับมาอีกครั้งในเชียงใหม่ พร้อมพูดคุยถึงแนวโน้มของ Blockchain และ Web3 ที่กำลังประยุกต์ใช้ในปี 2025 อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะด้านการชำระเงินและอุตสาหกรรมต่าง ๆ งานนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้คริปโทกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในอนาคต อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน และผู้ที่สนใจเทคโนโลยีได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและค้นหาโอกาสใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม
ทิศทางบล็อกเชนและ Web3 ในปี 2025 เต็มไปด้วยโอกาสและความผันผวน แม้จะอยู่เพียงช่วงต้นปี แต่ตลาดกลับแสดงความผันผวนอย่างมาก หลายคนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าตลาดขาขึ้นอาจสิ้นสุดลงแล้ว ในขณะที่อีกหลายคนยังคงมีความเชื่อมั่นว่าโอกาสการเติบโตของตลาดยังไม่จบลง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนที่ไม่เชื่อมั่นในตลาดตั้งแต่ปี 2024 และอีกกลุ่มที่ยังคงเฝ้ารอการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ภาพรวมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่หลากหลายและความคาดหวังที่แตกต่างกันในตลาด ณ เวลานี้
ดร.นที เทพโภชน์ ผู้ก่อตั้ง Block Mountain กล่าวว่า สถานการณ์ในปี 2024 ตลาดคริปโทเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบิทคอยน์ (Bitcoin) ที่ยังคงเป็นสินทรัพย์สำคัญในตลาดคริปโท ทั้งในแง่ของมูลค่าและความสนใจจากนักลงทุน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก
- กลุ่มนักลงทุนใหม่ ที่เริ่มเข้ามาในตลาด เพราะเห็นโอกาสจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น
- กลุ่มนักลงทุนเก่า ที่เคยหายไปแต่กลับมาสนใจอีกครั้ง
หลายคนอาจเริ่มต้นสนใจคริปโท เพราะต้องการทำกำไรจากราคา แต่เมื่อศึกษาเพิ่มเติมต่างพบว่าบล็อกเชนและคริปโทไม่ได้มีดีเพียงแค่การลงทุนหรือเก็งกำไร แต่ยังเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การขนส่ง การดูแลสุขภาพ และอื่น ๆ
สำหรับพัฒนาการของเทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโทในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดร.นทีให้ข้อมูลว่า การใช้งานเทคโนโลยีนี้ ยังอยู่ในลักษณะของการทดลองหรือการนำเสนอเป็นเดโม (Demo) ปัจจุบันเริ่มเห็นการพัฒนา Use Case ที่ชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะในรูปแบบของการชำระเงิน (Payment) กำลังได้รับความสนใจและนำไปปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรมในระดับที่ใหญ่ขึ้น (Mass Adoption) เทคโนโลยีนี้กำลังจะขยายบทบาทไปไกลกว่าการลงทุนและการเก็งกำไร โดยจะกลายเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การขนส่ง การค้าปลีก และอื่น ๆ
– เตรียมตัวให้พร้อม กับงาน Block Mountain CNX 2025 23-26 ม.ค. นี้
เทรนด์การเปลี่ยนแปลงตลาด Web3, คริปโท และบล็อกเชน ในปี 2025
Digital Asset หรือทรัพย์สินดิจิทัล กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้น โดยเฉพาะ บิทคอยน์ ที่ผู้คนต่างพูดถึงและพิจารณาในระดับประเทศและระดับชาติอย่างแพร่หลาย ทั้งในแง่การใช้งานทางการเงินและการเป็นทรัพย์สินที่เก็บมูลค่าในอนาคต มีการคาดการณ์ว่า ผู้คนจะรู้จักคำว่า Digital Asset และ Blockchain มากขึ้น ความต้องการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
การคาดการณ์สำคัญสำหรับปี 2025
- การรับรู้ที่เพิ่มขึ้น คำว่า Digital Asset และ Blockchain จะกลายเป็นคำที่คนทั่วไปคุ้นเคยมากขึ้น ทั้งจากการใช้งานในชีวิตประจำวันและจากสื่อการเรียนรู้
- ความต้องการเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เพิ่มสูงขึ้น ธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ จะเริ่มนำบล็อกเชนมาใช้ในกระบวนการ เช่น การตรวจสอบข้อมูล การจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการทำธุรกรรมที่โปร่งใส
- ระบบการเงิน บิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ จะถูกรวมเข้าในแผนการเงินและการลงทุนของประเทศต่าง ๆ ในฐานะทางเลือกที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงและเก็บรักษามูลค่า
- Web3 ที่เป็นมากกว่าคำโฆษณา จะเริ่มเปลี่ยนจากแนวคิดสู่การใช้งานจริง โดยเน้นไปที่การสร้างระบบนิเวศที่โปร่งใส ปลอดภัย และให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลของตนเองได้
ดร.นที กล่าวว่า “ในอนาคตเราจะเห็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้อย่างแพร่หลายมากขึ้นในปี 2025 โดยเฉพาะในด้านการชำระเงินและการใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่ง เพราะนี่อาจเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้คริปโทกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในอนาคต”
จากแนวโน้มที่คริปโทเริ่มเข้ามามีบทบาทในระบบเศรษฐกิจระดับโลก ประเทศไทยเริ่มก้าวสู่การปรับตัว ด้วยโครงการทดลองที่เปิดโอกาสคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เข้ามามีส่วนร่วมในเศรษฐกิจ
การนำคริปโทสู่เศรษฐกิจไทยผ่านโครงการ Sandbox
ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ปัจจุบันเริ่มมีการพูดถึงการเปิดรับคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) มาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงินในพื้นที่ทดลอง หรือแซนด์บ็อกซ์ ซึ่งเป็นการนำร่องที่สำคัญ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก หากสามารถเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้ใช้คริปโทในการจับจ่ายใช้สอย เช่น บิตคอยน์ หรือ USD Coin แน่นอนว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายได้มากขึ้น และเม็ดเงินหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มุมมองของพัณณ์ชิตา อัศวธีรานันท์ ผู้จัดงาน Block Mountain ให้ความเห็นว่า การที่พูดถึงแซนด์บ็อกซ์ มันคือการทดลองในกรอบที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เห็นภาพก่อนว่าเทคโนโลยีนี้จะมีผลกระทบอย่างไร ทั้งในแง่บวกและลบ โดยตอนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างเปิดให้มีการส่งรายละเอียดของโปรเจกต์ที่จะทดลองใช้โทเค็นดิจิทัลเข้ามา ไม่ว่าจะในแง่ของธุรกิจหรือเทคนิคอล (Technical) ซึ่งผู้เข้าร่วมจะต้องอธิบายอย่างละเอียดว่าโครงการจะดำเนินการอย่างไรและมีแผนจัดการความเสี่ยงในแต่ละขั้นตอนแบบไหนบ้าง
สิ่งสำคัญคือ แซนด์บ็อกซ์ช่วยให้สามารถล้อมกรอบและควบคุมการทดลองได้ เพื่อให้มั่นใจว่าหากมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างจริง จะสามารถจัดการปัญหาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม เป็นการสร้างโอกาสที่ดีให้กับประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างมั่นคง
“ทั้งนี้ ต้องชื่นชมว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปในด้านนวัตกรรมการเงิน และพยายามให้โอกาสในการทดลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างระมัดระวัง แซนด์บ็อกซ์ก็เหมือนกระบะทรายที่ให้เด็ก ๆ ทดลองเล่น มันเป็นพื้นที่จำกัดที่หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ก็จะส่งผลเฉพาะในกรอบนั้น แต่ถ้าทดลองสำเร็จ ก็สามารถนำออกไปใช้งานจริงได้” พัณณ์ชิตา กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ การพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เช่น การพิมพ์ธนบัตร การตั้งธนาคาร และการพัฒนาตลาดทุน เป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้ Productivity ของประเทศก้าวหน้าอย่างมหาศาล ตัวอย่างที่ชัดเจนคือสหรัฐอเมริกาที่สามารถพัฒนาเรื่องการเงินได้รวดเร็วกว่าจีนในช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้ระบบเศรษฐกิจของพวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว สำหรับยุคปัจจุบัน นวัตกรรมทางการเงิน เช่น FinTech และ Blockchain จะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างมหาศาล คนไทยจึงควรเริ่มศึกษานวัตกรรมเหล่านี้ เพราะมันได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
AWC ทุ่ม 1.6 หมื่นล้านบาท ปั้น “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” แลนด์มาร์คระดับโลก
กลุ่ม SAMART เล็งลุยธุรกิจใหม่ “พลังงานสะอาด-สิ่งแวดล้อม” รับเทรนด์ความยั่งยืน
Merkle ชี้ ปี 2025 ‘AI Agent และ DeSci’ จะปฏิวัติวงการคริปโท