เริ่มต้นปีได้ 2 เดือน คงเป็นปีที่ทุกคนต่างถามถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร ในสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปในทุกวัน ประเด็นใหญ่ของโลกอย่างนโยบายทรัมป์ 2.0 ยังคงเป็นประเด็นเดือดตลอดมาตั้งแต่เปิดปี 2025 ซึ่งจะส่งผลกระทบกับเทรนด์อนาคตที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ภายในงาน Future Trends Ahead Summit 2025 ได้เปิดบทวิเคราะห์จากตัวแทนภาคเอกชนและรัฐบาลถึงเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยที่จะกระทบต่อภาคธุรกิจเอาไว้ผ่านการถกเถียงของ จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ เกี่ยวกับภาพรวมการดำเนินการของประเทศมหาอำนาจที่จะกระทบกับนานาประเทศ ประเทศไทยก็เช่นกัน เป็นเหตุเร่งที่ต้องหาแนวทางการรับมือรวมถึงวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในอนาคตประเทศไทยควรดึงจุดแข็งใดเข้าสู้กับการแข่งขันที่ดุเดือนกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างเต็มกำลัง
ประเทศไทยรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม
เพื่อเตรียมแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจประเทศไทย การติดตามความเคลื่อนไหวด้านการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งผลกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ การวางแผนนโนบาย งบประมาณ ของภาครัฐและเอกชนในระยะยาว
ดร.ศุภวุฒิ มองว่า GDP ของประเทศไทยที่จะเติบโตได้ประมาณ 2.3 -3.3% โดยประมาณในปี 2025 นี้ เป็นอัตราที่พัฒนาได้ไม่ดีเท่าในปีก่อน ๆ เนื่องจากประเทศพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศอื่นเยอะนับเป็นสัดส่วน 60-70% ของ GDP ของประเทศตอนนี้ทำได้เพียงเกาะแนวโน้มของโลกว่าไปในทิศทางไหนเราก็จะไปตามนั้น ในส่วนของเศรษฐกิจโลกภาพรวมคือประเทศที่พัฒนาแล้วจะเติบโตอย่างน้อย 1-% ต่อมาคืออเมริกาเติบโตแน่นอนประมาณ 2% เศรษฐกิจโลกโตประมาณ 3.3% และสุดท้ายตลาดใหม่จะเติบโตอยู่ที่ 4% ตัวเลขเหล่านี้อาจจะคาดเคลื่อนได้ด้วยนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างแน่นอน ความยากคือต้องคาดการณ์และติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีเรื่องที่กระทบกับประเทศอย่างแน่นอน ไทยต้องประเมินและหาจุดสมดุลให้ได้ เพื่อเป็นแนวทางการรับมือให้เร็วทันถ่วงที ประเด็นที่น่าจับตามมอง คือการแข่งขันระหว่างอเมริกากับจีนเกิดการพลิกขั้วอำนาจหรือไม่ในระยะยาว
ประเทศไทยยังคงเน้นที่การรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม เป็นหลักจึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานต่างๆ ทั้งเอกชนและรัฐบาลเข้ามาช่วยกันเดินหน้าก้าวข้ามมันไป โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือ การลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ผ่านพลังงานสะอาด ระบบขนส่งสีเขียว และการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม สองคือมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมั่นคง ผ่านการสนับสนุนจากภาครัฐ, นวัตกรรม, ตลาดทุนที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจร ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้ และสามคือสร้างสังคมที่เท่าเทียมเป็นอีกหนึ่งเสาหลักสำคัญ โดยมุ่งเน้นไปที่ สุขภาพที่ดี, แรงงานที่มีทักษะสูง, คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น, ความเท่าเทียมทางเพศ และการศึกษาที่มีคุณภาพ
WHA แนะเร่งพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันกับประเทศเพื่อนบ้าน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก แต่ในขณะเดียวกันก็มี โอกาสสำคัญ ที่สามารถขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศไปข้างหน้าได้
จรีพร มองว่าเศรษฐกิจไทยทำ GDP ได้ 2.5% และในปี 2025 นี้ทางสภาพัฒน์เองก็คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตได้ประมาณ 2.3 -3.3% โดยประมาณ ด้านการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นมาก โดย BOI (Board of Investment) รายงานว่า ปี 2024 มีการลงทุนเกิน 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปีแสดงให้เห็นถึงบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค แม้จะอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจมาจากปัจจัยที่หนุนเศรษฐกิจไทย อย่างมาตรการรัฐและการท่องเที่ยวที่ขยายตัว
ความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทยต้องปรับตัว คือการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันกับประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านนโยบายเศรษฐกิจที่สามารถกระตุ้นการลงทุน ดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ และยกระดับภาคอุตสาหกรรมและบริการแม้จะมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยเสี่ยงคือเศรษฐกิจโลก (Trump 2.0) และความไม่แน่นอนทางการเมืองในไทย หาดูที่การแข่งขันแล้วประเทศที่มีการเติบโตสูงกว่าไทยในเขตอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม (7.1%) ฟิลิปปินส์ (5.6%) และมาเลเซีย (5.1%) ซึ่งเน้นการลงทุนและส่งออกเป็นหลัก แม้ว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยวและภาคบริการ แต่การเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัล อาจเป็นกุญแจสำคัญของการเติบโตในอนาคต
สอดคล้องกับการเติบโตของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากกำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการขาย แม้นโยบายทรัมป์ 2.0 จะทำให้เกิดอุปสรรค์อย่างการตั้งกำแพงภาษีสูงแข่งขันกับประเทศจีน ส่งผลให้ผู้ประกอบการยกฐานการผลิตออกจากประเทศจีนค่อนข้างมาก เป็นสัญญาณให้ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และใช้เป็นฐานการผลิตที่จะส่งออกไปทั่วประเทศเป็นโอกาสด้าน Data Center และ Semiconductor ให้กับประเทศไทย ที่จะสร้างโลเคชันหลายหลายแห่ง ให้กลายเป็นฐานตั้งโรงงานการผลิตให้กับธุรกิจระดับชั้นนำ แต่ความท้าทายก็ยังมีมาก เนื่องจากต้องลงทุนสร้างแหล่งพลังงงานสะอาด ระบบ Infrastructure ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนโอกาสดังกล่าว หลายหน่วยงานจึงต้องเข้าร่วมมือกับเพื่อหาแนวทางที่จะช่วยกับสร้างอำนวยสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น เพื่อทำให้โอกาสนี้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในอนาคตแม้จะไม่ใกล้แต่ก็เป็นทางที่ควรลงมือคว้าเอาไว้เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เท่าทันและอยู่รอด
ในมุมของการพัฒนาอุตสาหกรรมยุค 4.0 ไม่ได้จำกัดแค่การสร้างโรงงานหรือโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึง ความยั่งยืนและเทคโนโลยี เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสมดุล Industry-specific clusters หรือ เขตอุตสาหกรรมเฉพาะทาง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ศูนย์ข้อมูล และการผลิตขั้นสูง ซึ่งช่วยสร้าง Ecosystem ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมสีเขียวเน้นการลดมลพิษและใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียน ระบบรีไซเคิลของเสีย และอาคารประหยัดพลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ผสานที่อยู่อาศัย พื้นที่พาณิชย์ ระบบขนส่ง และพื้นที่สาธารณะเข้าด้วยกันเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของแรงงาน
และสุดท้ายการใช้งานเทคโนโลยีอัจฉริยะตั้งแต่ระบบบริหารจัดการคลาวด์ กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ AI Chatbots ไปจนถึงโดรนตรวจสอบพื้นที่จะยิ่งเสริมประสิทธิให้การพัฒนาเป็นไปได้อย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ ด้านการพัฒนาของสาธารณูปโภค ที่ต้องหันมาการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนลดภาวะการขาดแคลนน้ำและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เน้นการลดปริมาณการใช้น้ำ ฟื้นฟูและนำทรัพยากรน้ำกลับมาใช้ใหม่ ตลอดจนใช้พลังงานหมุนเวียน
โลจิสติก พลังงาน และ AI น่าจับตา
อีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามองคือ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยมีการนำ AI, IoT, Blockchain, และระบบอัตโนมัติ เข้ามาใช้ในการบริหารห่วงโซ่อุปทานโดยมาพร้อมกับ Green Logistics หรือเป็นที่ควบรวมกับระหว่างงานด้านโลจิสติกส์และความยั่งยืนซึ่งกำลังเติบโต ธุรกิจต่างๆ เริ่มใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ และรถบรรทุกไฟฟ้า (EV Trucks) หรือLast Mile Delivery Innovation ซึ่งใช้โดรนและรถยนต์ไร้คนขับ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและลดต้นทุนการจัดส่ง เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ อาจจะมาพร้อมเทรนด์ของพลังงาน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกจากการเข้ามาของเทคโนโลยีและความต้องการพลังงานที่สะอาดที่มากขึ้น พลังงานนิวเคลียร์กำลังกลายเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกที่มีเสถียรภาพเพราะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลได้
และที่สำคัญคือ อนาคตของเทคโนโลยีการปฏิวัติด้วย AI, ควอนตัม และพลังงานอัจฉริยะ นอกจากการพัฒนา AI ที่สามารถคิดและตัดสินใจได้เอง ช่วยให้การทำงานอัตโนมัติมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดภาระของมนุษย์ และนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมแล้ว เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะเข้ามาเป็นส่วนช่วยในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลมากขึ้น พร้อมๆ กับการสร้างพลังงานในเครื่องมือเหล่านี้ยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่อยและมีประสิทธิภาพ
‘3 สร้าง’ เร่งสร้างประเทศไทย
จรีพร เสริมว่า “3 สร้าง” ที่ต้องเร่งสร้างในประเทศอย่างเร็วคือ “สร้างคน” พัฒนาบุคลากรเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจเน้นการศึกษาที่มีคุณภาพ, แรงงานที่มีทักษะสูงเป้นที่ต้องการของตลาด และการฝึกอบรมใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถซึ่งจะช่วยให้แรงงานไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ สร้างต่อมาคือ “สร้างสู้” พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ, ระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ, และความมั่นคงด้านพลังงาน เร่งพัฒนา AI และ Cyber Literacy เพื่อให้บุคลากรสามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสุดท้ายคือ “สร้างโอกาส” ความได้เปรียบเชิงธุรกิจเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทาน เครือข่ายที่มี และพันธมิตรทางธุรกิจเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยก้าวสู่ตลาดสากลให้ได้ด้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
OTT ในมือใคร? ส่องบทบาทกสทช. ไทย และต่างประเทศ