สถานการณ์การค้าโลกตอนนี้เหมือนตีลังกาเอาหัวลง หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ยุค 2.0 ประกาศสงครามการค้าเต็มรูปแบบกับทุกประเทศที่ได้ดุลการค้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟันโดยใช้มาตรการขึ้นภาษีศุลการกร หนักเบาลดหลั่นกันไปตามตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯกับประเทศนั้น ๆ
ใครจะเชื่อว่าสหรัฐฯ ที่ส่งออกความคิดทั้งประชาธิปไตย และการค้าเสรีมามานานนับทศวรรษ กลับมาเปลี่ยนนโยบายแบบ 360 องศา หันมาตั้งกำแพงภาษี ซึ่งถือเป็นมาตรการต้องห้ามของลัทธิการค้าเสรี ที่ผ่าน ๆ มา อดีตผู้นำสหรัฐฯ ใช้วิธีดูแลปัญหาขาดดุลการค้ากับประเทศต่าง ๆ ด้วยการเจรจาควบคู่กับการกดดันให้ประเทศที่ได้ดุลการค้าเปิดตลาด สินค้าบริการให้สหรัฐฯ ใช้วิธีกีดกันด้วยมาตารการที่ไม่ใช่ภาษี อาทิ อ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน การใช้แรงงานเด็ก คอยสอดส่องไม่ให้ประเทศคู่ค้าใช้ค่าเงินมาสร้างความได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นลีลาที่ดูดีมีฟอร์มสมฐานะประเทศพี่ใหญ่ของโลก
การที่ผู้นำสหรัฐฯ คนก่อน ๆ ไม่เลือกใช้วิธีแบบทรัมป์ที่ดูโฉ่งฉ่างเป็นพิเศษ เพราะอีกด้านหนึ่งนั้นในขณะที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับหลายๆประเทศ แต่ประเทศที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาก ๆ อย่างจีน หรือญี่ปุ่น ก็มีฐานะเป็นผู้ให้กู้รายใหญ่ของสหรัฐฯผ่านการถือครองพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ล่าสุด ญี่ปุ่น ประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯอันดับ 7 ขึ้นแท่นผู้ถือพันธบัตรฯสหรัฐฯอันดับหนึ่ง ราว 8.153 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ณ เดือน ก.พ. 68) มาระยะหนึ่ง
ส่วน จีนอันดับหนึ่งเจ้าเดิมขยับลงไปอยู่ดันดับสอง จีนคือประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯเป็นอันหนึ่งมูลค่าอยู่ที่ 2.704 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ความเกี่ยวโยงดังกล่าว คล้าย ๆ กับว่าทั้ง 2 ประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯลำดันต้น ๆ ให้สหรัฐฯกู้มาใช้ เหมือนการต่างตอบแทนกันอยู่ในที
น่าจับตาว่า หลังจากนี้ไปสงครามการค้าที่ทรัมป์จุดชนวนขึ้นมา จะส่งผลต่อสมดุลการพึ่งพารูปแบบดังกล่าวระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้าหรือไม่ อย่างไร
สำหรับประเทศไทย ที่ถูกคาดหมายว่าถูกหวยทรัมป์แน่ ๆ เพราะไทยขยับขึ้นมาติดท็อป 10 ประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ โดยตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 4.15 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
แบงก์ชาติสรุปสถานการณ์เอาไว้ดังนี้
“ไทยเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเสี่ยง (โซนสีเหลือง) ที่มีส่วนต่างของภาษีกับสหรัฐฯ และเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯในระดับสูง ตามหลังเพียงประเทศอย่างอินเดีย เกาหลีใต้ และจีน (กลุ่มโซนสีแดง) ลีฟอร์หากสหรัฐฯบังคับใช้ reciprocal tariff รวมถึงเก็บภาษีรายสินค้าในเดือนเมษายนนี้ ภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 10% สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่ภาษีนำเข้าจะเพิ่มขึ้น 1-5% และส่งผลให้แต้มต่อด้านราคาของสินค้าไทยที่ส่งไปยังสหรัฐฯลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปยานยนต์และชิ้นส่วน“
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินผลกระทบจาก สงครามการค้า รอบนี้ ทั้งผล ทางตรง และ โดยอ้อม เอาไว้ว่า
ผลกระทบทางตรง จากการที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียม 25% เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา และคาดว่าวันที่ 2 เมษายนที่จะถึงนี้ รถยนต์ รวมทั้งอุปการณ์ส่วนประกอบ จะเจอขึ้นภาษีนำเข้าอีก 25% เช่นเดียวกัน รวม 2 รายการ คาดว่ามูลค่าสินค้าออกกลุ่มดังกล่าว จะลดเหลือ 4,077 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมคาดเอาไว้ที่ 4,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือหายไป 560 ล้านดอลลาร์สหรัฐณ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 21,927 ล้านบาท
ส่วนผลกระทบทางอ้อม กรณีที่ไทยส่งออกสินค้าไปตลาดที่เจอสงครามการค้าจากสหรัฐฯ เช่น จีน แคนาดา เม็กซิโก จะทำให้มูลค่าการส่งออกที่ไทยส่งไปยังตลาดดังกล่าว หายไป 34,140 ล้านบาท โดยรถยนต์และอุปกรณ์จะเจอผลกระทบมากสุด
ตัวเลขส่งออกที่คาดว่าจะหายไปนั้น ทางสำนักหอการค้าฯประเมินเอาไว้ว่าจะกร่อนตัวเลขเศรษฐกิจไทยปีนี้หายไป 0.30% ทั้งนี้ บางสำนักคาดว่าอาจจะถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์
ผลกระทบต่อการค้า ส่งออก และเศรษฐกิจไทยจะเป็นไปตามภาพคาดการณ์ข้างต้น หรืออาจจะน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับรัฐบาลและภาคเอกชนจะต่อรองกับข้อเสนอที่คล้าย ๆ กับข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ของทรัมป์ได้ระดับไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ควรไปหวังว่า ทรัมป์อาจจะเปลี่ยนใจทางบวก โดยคะเนเอาจากลีลาของผู้นำสหรัฐฯที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มีการขยับหรือเปลี่ยนแปลงให้เห็นบ่อย ๆ เพราะนาทีนี้ นาทีที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังฮึกเหิมสุด ๆ กับการเล่นบทเจ้าโลก ถ้าจะเปลี่ยน คือเปลี่ยนจากต่อรองได้บ้าง มาเป็นต่อรองไม่ได้เลยเท่านั้น
ผู้เขียน: “ชญานิน ศาลายา” เป็นนามปากกาของ “คนข่าว” ที่เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของวัฎจักรเศรษฐกิจตลอดช่วง 4 ทศวรรษเศษ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มี ‘ไทยเทา’ เอี่ยวด้วยหรือไม่?
ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 วาระตลอดชาติ…
คุณสู้เราช่วย จะส่งเสริมให้ คนเบี้ยวหนี้?