Share on
×

Share

อุตสาหกรรมไทยต้วมเตี้ยมสู่ยุค 4.0 หวั่นตกขบวนเศรษฐกิจดิจิทัล

ผลสำรวจล่าสุด เผยภาพรวมภาคอุตสาหกรรมไทยยังคงเดินหน้าสู่ยุคดิจิทัล (Industry 4.0) อย่างเชื่องช้า โดยขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.0 จาก 1.0 ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลว่าจะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลและตามหลังคู่แข่งในภูมิภาค

ข้อมูลดังกล่าวถูกเปิดเผยในงานสัมมนา “โครงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรมปี 2567: Data Driven Industry พัฒนาพลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย” ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ร่วมกับพันธมิตรหลัก ได้แก่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)

อุตสาหกรรม 4.0 ของไทย

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ depa นำเสนอผลสำรวจที่ชี้ว่า แม้ไทยจะมีความพยายามมากว่า 8 ปี แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ Industry 4.0 ซึ่งหมายถึงการใช้ข้อมูล ระบบอัตโนมัติ คลาวด์ และ AI อย่างเต็มรูปแบบ ยังคงไปได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ปัจจัยสำคัญคือผลกระทบจากโควิด-19 สภาวะเศรษฐกิจผันผวน การแข่งขันที่รุนแรง และการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติ ทำให้การปรับตัวส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อความอยู่รอดมากกว่าการลงทุนเชิงรุกด้านเทคโนโลยี

ผลสำรวจยังสะท้อนความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และยาง ซึ่งมักได้รับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) มีการปรับตัวและนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ได้ดีกว่า ขณะที่กลุ่มยานยนต์และเครื่องจักรกำลังอยู่ในช่วงรอดูท่าทีและตัดสินใจลงทุนใหม่ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญและมีผู้ประกอบการ SME จำนวนมาก กลับมีการปรับตัวน้อยที่สุด โดยยังคงพึ่งพาเทคโนโลยีเดิมและขาดความมั่นใจในการลงทุนใหม่

สถานการณ์นี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจาก depa ประเมินว่าหากอุตสาหกรรมไทยไม่สามารถเร่งปรับตัว อาจสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี หรือราว 10% ของ GDP นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แซงหน้าในการดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยี

เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ภาครัฐได้ออกมาตรการสนับสนุนหลายด้าน ทั้งมาตรการจูงใจทางภาษีจาก BOI และ depa สำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยี การฝึกอบรมบุคลากร และการสนับสนุน SME ในการเข้าถึงบริการดิจิทัล

แนวทางการขับเคลื่อน Data-Driven Industry

สุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ รักษาการผู้ว่าการ การนิมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวถึงบทบาทหลักในการเป็นผู้พัฒนาที่ดินเพื่ออุตสาหกรรม ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่เข้ามาอยู่ในนิคมฯ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ มักมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและการลงทุนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม กนอ. ตระหนักถึงความจำเป็นในการนำดิจิทัลมาปรับใช้ในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้พัฒนานิคม ผู้ประกอบการ หรือสังคมโดยรอบ โดยมีการนำระบบดิจิทัลมาใช้ลดขั้นตอนการอนุมัติอนุญาต ใช้ข้อมูล (Data) ในการออกแบบนิคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์การลงทุนยุคใหม่ (Property Tech) และส่งเสริมการสร้างเครือข่าย Supply Chain ที่เชื่อมโยงด้วยนวัตกรรมและดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งความพร้อมด้านดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของนักลงทุน

ธีรทัศน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) นำเสนอมุมมองที่ครอบคลุมตั้งแต่การเปิดจนถึงการปิดโรงงาน โดยชี้ให้เห็นว่ากระบวนการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ กรอ. จึงมุ่งพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการขออนุญาตต่างๆ (e-Permitting) และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT และ AI มาใช้ในการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เนื่องจากทุกอุตสาหกรรมล้วนก่อให้เกิดของเสีย ระบบดิจิทัลจะช่วยในการติดตาม (Tracing) ตั้งแต่แหล่งกำเนิด การขนส่ง ไปจนถึงการกำจัด เพื่อป้องกันการลักลอบทิ้งหรือการนำเข้าที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ ยังรวมถึงการติดตามวัตถุอันตรายด้วย กรอ. เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างเครือข่ายข้อมูลทั้งในแนวตั้ง (เชื่อมโยงข้อมูลโรงงาน) และแนวนอน (เชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) และเสนอแนวคิดการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางในรูปแบบ Software-as-a-Service (SaaS) เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีระหว่างโรงงานขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และสร้างมาตรฐานข้อมูลเดียวกันทั้งประเทศ

อภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว.มีบทบาทหลัก 3 ด้าน คือ การเป็น Think Tank กำหนดนโยบายส่งเสริม SME โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับ Digital Transformation ควบคู่ไปกับ Green Transformation (Twin Transition) การเป็นผู้สร้างเครื่องมือสนับสนุน ผ่านโครงการ “BDS – SME ปัง ปัง ได้คืน” ที่ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่าย (สูงสุด 80-90% ในบางบริการ) แก่ SMEs ที่เลือกใช้บริการดิจิทัลจากผู้ให้บริการที่ผ่านการรับรอง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการนำไปใช้จริง และการเป็นผู้พัฒนา Ecosystem ที่เอื้อต่อการเติบโตของ SMEs ทั้งในด้านกฎระเบียบและความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) สสว. ยังได้ยกตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น จีนที่มุ่งเน้นส่งเสริม SME สายเทคโนโลยี และญี่ปุ่นที่รัฐบาลจ้างที่ปรึกษา AI ให้ SME เพื่อกระตุ้นให้เห็นถึงความเร่งด่วนที่ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัว พร้อมยืนยันผลสำรวจที่ว่า SME ไทยยังมีการนำดิจิทัลมาใช้ในระดับต่ำ และจำเป็นต้องเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจ (Digital Literacy) เป็นอันดับแรก

อมฤต ฟรานเซน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงนโยบายหลัก “4 Pros” (Digital, Green, Innovation, Global) ที่เริ่มต้นด้วย “Pro Digital” ส.อ.ท. ได้ดำเนินโครงการฝึกอบรมผู้ให้บริการซอฟต์แวร์กว่า 300 รายให้ได้มาตรฐานและขึ้นทะเบียนบริการดิจิทัลกับ depa นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการกระจายโอกาสไปยังภูมิภาค โดยจัดกิจกรรม Roadshow กว่า 20 จังหวัด เพื่อนำเสนอความรู้และบริการดิจิทัลให้กับ SMEs นอกกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และได้รวบรวมบริการที่น่าสนใจใน “Digital One Package” เพื่อให้ SMEs สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ง่ายขึ้น ส.อ.ท. มองว่าอุตสาหกรรมดิจิทัลเป็นอุตสาหกรรมสนับสนุนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อสมาชิกกว่า 16,000 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) โดย ผอ. ณัฐพล ได้เน้นย้ำในเวทีเสวนาถึงความสำคัญของการมีมาตรฐานสำหรับเทคโนโลยีและบริการดิจิทัลก่อนที่จะส่งเสริมให้เกิดการใช้งาน ผ่านเครื่องหมาย “Digital Sure” ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านความปลอดภัย (ร่วมกับ สมอ.) กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ (ISO 29110) การทดสอบฟังก์ชันการทำงาน (Functionality Test) และที่สำคัญคือการทดสอบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Testing) เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลและสร้างความเชื่อมั่น มาตรฐานเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับมาตรการส่งเสริมต่าง ๆ ที่ภาครัฐมีให้ depa ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น PromptTrade, Data Exchange และ Blockchain พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้าน AI และ Quantum ให้กับบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม และเรียกร้องให้เกิดความร่วมมือในการปรับปรุงกระบวนการทำงานภาครัฐเพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดและรักษาการลงทุนจากต่างประเทศ

ดร.อุมา วิรัตน์สกุลชัย ผู้แทนสำนักงานภูมิภาค องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ได้นำเสนอบทบาทในการเชื่อมโยงมุมมองระดับโลก (Global Perspective) เข้ากับบริบทของประเทศไทย การสนับสนุนการสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building) ให้กับทุกภาคส่วน และการนำแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ของไทยไปเผยแพร่ในระดับสากล โดยเน้นหลักการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและครอบคลุมทุกภาคส่วน (Inclusive and Sustainable Development) UNIDO กำลังดำเนินโครงการร่วมกับ กรอ. ในด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Industrial Symbiosis) โดยมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Data) เกี่ยวกับของเสียจากโรงงานต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนและนำกลับมาใช้ใหม่ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด

ในช่วงท้าย ทุกหน่วยงานได้แสดงเจตจำนงในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยเห็นพ้องกันว่าการบูรณาการเครื่องมือและมาตรการส่งเสริม การพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง (SaaS) เพื่อลดช่องว่างให้ SMEs การเร่งสร้างความเข้าใจด้านดิจิทัล และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้ออำนวย เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมไทยสามารถก้าวข้ามความท้าทายและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

เวทีเสวนายังได้สะท้อนมุมมองและบทบาทของหน่วยงานพันธมิตรในการขับเคลื่อนวาระนี้ กนอ. มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในนิคมฯ ให้พร้อมรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ กรอ. กำลังพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพและเสนอแนวคิดแพลตฟอร์มกลาง (SaaS) เพื่อช่วย SME สสว. ใช้เครื่องมืออย่างโครงการ BDS สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ SME พร้อมเร่งสร้างความเข้าใจถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับตัว ส.อ.ท. ในฐานะตัวแทนภาคเอกชน จัดกิจกรรมให้ความรู้และแพ็กเกจบริการที่เข้าถึงง่ายสำหรับ SME ขณะที่ UNIDO นำเสนอมุมมองระดับสากลและแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน

หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนครั้งนี้คือ “ความร่วมมือ” ซึ่งเป็นที่มาของการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ เพื่อลดช่องว่างทางดิจิทัล สร้างมาตรฐานและแพลตฟอร์มที่ใช้ร่วมกัน พัฒนาทักษะแรงงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อเอื้อต่อการลงทุน โดยอาศัยจุดแข็งของแต่ละหน่วยงานมาส่งเสริมซึ่งกันและกัน

นี่คือภารกิจเร่งด่วนที่อุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญ การผนึกกำลังของทุกภาคส่วนในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการจุดเครื่องยนต์ครั้งสำคัญ เพื่อเร่งสปีดให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามความท้าทาย และคว้าโอกาสในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะตกขบวนไปอย่างน่าเสียดาย

ผลสำรวจ “การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม”

การสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรมเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2562 เพื่อจัดทำเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับ
การวางแผนพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศ โดยดำเนินการสำรวจใน 9 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมสิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ อุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก ซึ่งดำเนินการสำรวจตามกรอบแนวทางดังกล่าวในปี 2563, 2564 และล่าสุดในปี 2567

สำหรับผลสำรวจการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคอุตสาหกรรม ประจำปี 2567 พบว่า 70% ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0: Solution (การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แบบฟอร์มออนไลน์ หรือระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวกในการทำงาน) จากระดับ 1.0: Manual (การทำงานแบบดั้งเดิมที่ใช้เครื่องมือ Analog และกระบวนการแบบ Manual เช่น โทรศัพท์ แฟกซ์ และการส่งเอกสารผ่านอีเมล) ในปี 2564 โดยส่วนใหญ่เริ่มนำเครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แพลตฟอร์มดิจิทัล และโซลูชันมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อีกทั้งมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมการผลิตแบ่งออกเป็น 5 ประเภท
ตามกระบวนการทำงาน ประกอบด้วย

  1. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 2.0 ซึ่ง 57% ของกลุ่มตัวอย่างมีการใช้คำสั่งซื้อออนไลน์ โดยการเปิดเว็บไซต์
เพื่อรับคำสั่งซื้อและการชำระเงิน ขณะที่บางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ รวมถึงยางและผลิตภัณฑ์ยาง เริ่มใช้ระบบ ERP ในการบริหารคลังสินค้า
  2. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (ออกแบบผลิตภัณฑ์) ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 90.67% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้โปรแกรมช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ เช่น Computer-Aided Design (CAD) หรือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยวาดภาพ 2D/3D และสร้างชิ้นส่วน ขณะที่บางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เริ่มนำระบบ
จัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์ เช่น Product Data Management (PDM) และ Product Lifecycle Management (PLM) มาใช้ออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ กระดาษและการพิมพ์ รวมถึงยางและผลิตภัณฑ์ยาง เริ่มนำ AI และ VR มาใช้จำลองหรือสร้างโลกเสมือนในรูปแบบสามมิติเพื่อช่วยออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์
  3. เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการจัดการกระบวนการผลิต ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 87.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้เครื่องจักรระบบอัตโนมัติที่เรียบง่าย เช่น การใช้ Computer Numerical Control (CNC) หรือเครื่องจักรกลแบบอัตโนมัติที่มีการทำงานด้วยระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมทั้งระบบอัตโนมัติทั้งหมดหรือบางส่วน เช่น การใช้หุ่นยนต์ หรือการใช้ Programmable Logic Controller (PLC) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตในเกือบ
ทุกอุตสาหกรรม ยกเว้นอุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ รวมถึงอุตสาหกรรมกระดาษและการพิมพ์ นอกจากนี้ยังมีการนำระบบประมวลผลการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ เช่น การใช้ Manufacturing Execution System (MES) หรือการใช้ Automated Guided Vehicle (AGV) มาใช้ในกระบวนการผลิต
ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และอุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์
  4. เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
อยู่ในระดับ 1.0 โดย 70% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้อีเมลเพื่อติดต่อลูกค้า และใช้ Customer Relationship Management (CRM) มาช่วยสนับสนุนความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งทุกอุตสาหกรรมนำระบบการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก หรือ Customer Data Analytics โดยการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า เช่น ข้อมูลการเข้าเว็บไซต์ ข้อมูลผลลัพธ์การโฆษณา ข้อมูลการใช้ Social Media ก่อนนำข้อมูลดังกล่าวมาสร้าง Big Data และนำมาวิเคราะห์เพื่อเข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้าเพื่อใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์/บริการที่ตรงกับความต้องการ ทั้งนี้มีบางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ กระดาษและการพิมพ์ เริ่มใช้ระบบ AI ในการให้บริการลูกค้า เช่น Chatbot และระบบการตอบกลับอัตโนมัติไปยังข้อความใน Social Media
  5. เทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ผลสำรวจชี้ว่ามีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับ 1.0 โดย 69.33% ของกลุ่มตัวอย่างยังคงใช้ระบบสารสนเทศแบบแยกส่วนในบางแผนก/ฝ่าย เช่น การใช้ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ในการบริหารจัดการธุรกิจ นอกจากนี้ ในบางอุตสาหกรรม เช่น ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ เริ่มใช้ระบบสารสนเทศขั้นสูง เช่น การใช้ Business Intelligence Tools หรือซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือที่เกี่ยวกับการเก็บรวมรวบข้อมูล ทั้งข้อมูลสารสนเทศ ข้อมูลเทคโนโลยี ข้อมูลการตลาด และข้อมูลทางธุรกิจอื่น ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ธุรกิจในแต่ละด้าน และวางแผนการดำเนินงานล่วงหน้า ทั้งนี้ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มมีการใช้ระบบ AI เช่น การทำ Big Data Analytics หรือการวิเคราะห์เซ็ตข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อค้นหารูปแบบความสัมพันธ์ของข้อมูลเหล่านั้น เช่น การหาเทรนด์ทางการตลาด ความต้องการของลูกค้า และข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ตลาดฟู้ดเดลิเวอรีไทยสู่ยุค Duopoly หลัง foodpanda ถอนตัว ‘LINE MAN- GrabFood’ ชิงเจ้าตลาด

แวดวงแพทย์ไทยประสานความร่วมมือ พัฒนานวัตกรรม AI เพิ่มความเท่าเทียมผู้ป่วย

×

Share

ผู้เขียน