Share on
×

Share

เอปสัน เปิดตัวซอฟต์แวร์ EcoFleet Management หนุน New S-Curve

เอปสัน แบรนด์พรินเตอร์สัญชาติญี่ปุ่น ที่มีดีเรื่องเทคโนโลยีหัวพิมพ์ไมโครปิเอโซ (Micro Piezo) ที่ทำให้เอปสันเติบโตและส่วนแบ่งการตลาดฝั่งคอนซูเมอร์มาตลอดหลายสิบปี  เอปสันรู้ดีว่าตลาดที่มีเม็ดเงินมหาศาลอยู่ที่ฝั่งคอมเมอร์เชียลซึ่งเป็นตลาดของพรินเตอร์เลเซอร์ ทำให้เอปสันมุ่งพัฒนาปรับปรุงความสามารถของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทให้ตอบโจทย์การใช้งานของตลาดคอมเมอร์เชียลมาโดยตลอด และได้เข้าสู่ตลาดนี้มาหลายปีจนกระทั่งมีส่วนแบ่งการตลาดในนี้ราว 27% 

ภาพรวมตลาดพรินเตอร์ในฝั่งคอมเมอร์เชียล จากตัวเลขของ IDC ระบุว่าตลาดพรินเตอร์องค์กร (Commercial Printer) ในประเทศไทยปี 2566 มีจำนวน 790,000 เครื่อง เป็นพรินเตอร์อิงค์เจ็ทถึง 63% ตลาดนี้ที่เรียกว่า Inkjet Commercial Segment ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายของเอปสันที่ต้องการครองส่วนแบ่งการตลาดที่ 50% ในอนาคต แต่สำหรับปี 2567 เอปสันตั้งเป้าว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 45% ปัจจุบันเอปสันเป็นเจ้าตลาด Inkjet Commercial Segment ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 42%

ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เอปสันต้องการขยับกินมาร์เก็ตแชร์ในตลาดองค์กรเพิ่ม และกลยุทธ์สำคัญคือ การเปิดตัวซอฟต์แวร์บริหารจัดการเครือข่ายเครื่องพิมพ์ EcoFleet Management ที่เอปสัน ประเทศไทย ใช้เวลา 2 ปีในการพัฒนา และเป็นที่แรกในโลกที่มีซอฟต์แวร์แบบนี้ 

ตลาด Inkjet Commercial Segment ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SME Business) ซอฟต์แวร์นี้มีผลต่อการขยายธุรกิจของเอปสันในตลาดนี้เพราะรูปแบบการทำตลาดนี้ทำผ่านคู่ค้าที่นำเสนอรูปแบบการเช่าใช้ให้ผู้ใช้ปลายทาง การมีซอฟต์แวร์ตัวนี้จะช่วยให้คู่ค้าของเอปสันมีความสามารถในการทำตลาดให้เอปสันมากขึ้น 

ที่ผ่านมาคู่ค้าของเอปสันซึ่งเป็นผู้ให้บริการเช่าเครื่องแก่ผู้ใช้ปลายทางต้องเผชิญ คือ 

  • การบริหารจัดการสัญญาเช่าที่ยังไม่ค่อยมีการทำและจัดเก็บแบบดิจิทัล ทำให้ค้นหาได้ยาก 
  • การออกให้บริการตรวจอาการผิดปกติของเครื่องพิมพ์และปริมาณหมึก ที่ต้องส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจที่สำนักงานของลูกค้า ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้กำลังคน กินเวลาและค่าใช้จ่าย 
  • การออกใบแจ้งหนี้ ที่ยังใช้วิธีส่งเจ้าหน้าที่ออกไปจดมิเตอร์จากตัวเครื่องของลูกค้า เพื่อนำข้อมูลกลับมาคำนวณก่อนออกใบแจ้งหนี้ 
  • การทำรายงานประวัติการพิมพ์ของลูกค้าแต่ละรายที่ยังเป็นการทำแบบแมนนวล กินใช้เวลาและมีโอกาสผิดพลาดในการกรอกข้อมูล

ซอฟต์แวร์ EcoFleet Management จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วย 4 ฟังก์ชันหลักคือ

  • จัดเก็บข้อมูลบัญชีรายชื่อลูกค้า รายการเครื่องพิมพ์ และสัญญาเช่าของลูกค้าแต่ละรายแบบรวมศูนย์ (Centralized) ช่วยในการค้นหาและนำข้อมูลมาใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
  • มอนิเตอร์การทำงานของเครื่องพิมพ์และปริมาณหมึกแบบเรียลไทม์ ที่ทำให้เจ้าหน้าที่รู้ล่วงหน้าถึงปัญหาและสามารถเข้าแก้ไขได้ทันที หรือนำชุดหมึกเข้าไปเติมให้กับลูกค้าตามพฤติกรรมการใช้งานจริงของลูกค้าแต่ละราย  
  • ออกใบแจ้งหนี้อัตโนมัติเมื่อถึงกำหนดของลูกค้าแต่ละราย 
  • ออกรายงานในรูปแบบกราฟิก เพื่อประเมินสุขภาพและความเสี่ยงของธุรกิจจากรายได้และการเก็บเงินตามสัญญาแต่ละฉบับ 

ยรรยง กล่าวว่า EcoFleet Management จะมาเสริมการทำงานซอฟต์แวร์ ESS (Epson Solution Suite) ซอฟต์แวร์การจัดการเครื่องพิมพ์ที่ทั้งจัดการงานพิมพ์ (Print Management) จัดการเอกสาร (Document Management) และจัดการเครื่องพิมพ์ (Fleet Management) ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นและแตกต่างจากซอฟต์แวร์ประเภทเดียวกันของคู่แข่งในตลาด

ในอนาคตเอปสันจะพัฒนาฟังก์ชันใหม่เพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานให้กับพาร์ตเนอร์เอปสันได้มากยิ่งขึ้น เช่น การแจ้งเตือนอาการของเครื่องพิมพ์ผ่าน LINE เป็นต้น ในส่วนของแพคเกจการใช้งาน EcoFleet Management จะคิดเป็นระบบสมาชิกรายปี (Subscription License) เริ่มต้นที่ 200 บาทต่อเครื่องต่อปี

“ประเทศไทยเป็นที่แรกที่มีการพัฒนาและใช้ EcoFleet Management เพราะเราเห็น pain point ในตลาด การมีซอฟต์แวร์นี้จะมาช่วยปลดล็อกและเพิ่มศักยภาพการทำตลาดของคู่ค้าในตลาดนี้ให้กับเรา” ยรรยง กล่าว

เพิ่มจำนวนสินค้า-บริการเช่าเครื่อง

นอกจากการเปิดตัวซอฟต์แวร์แล้ว เอปสันยังมีอีก 2 กลยุทธ์สำหรับการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในตลาด Inkjet Commercial Segment นั่นคือ การเพิ่มจำนวนสินค้าให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการขององค์กรธุรกิจขนาด SME และ Large Enterprise และแพคเกจการให้บริการเช่าเครื่อง (Subscription)

ปัจจุบัน เอปสันเป็นแบรนด์เจ้าตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่มีสินค้าให้ลูกค้าองค์กรเลือกใช้มากที่สุด มีทั้งหมด 20 รุ่น แบ่งเป็นกลุ่ม EcoTank, WorkForce Pro และ WorkForce Enterprise มีทั้งเครื่องซิงเกิลฟังก์ชันและมัลติฟังก์ชัน ทั้งพิมพ์สีและขาวดำ รองรับความเร็วในการพิมพ์ตั้งแต่ 24-100 หน้าต่อนาที

เอปสันมุ่งพัฒนาเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทให้มีความเร็วสูงทัดเทียมกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์และเครื่องถ่ายเอกสาร แต่ให้ความคุ้มค่ามากกว่า ทั้งความเร็วในการพิมพ์ ความสามารถในการพิมพ์ทั้งแบบพิมพ์ด้านเดียวหรือสองด้าน ความแม่นยำในการพิมพ์ คุณภาพการพิมพ์ ต้นทุนการพิมพ์ที่ลดลง และที่สำคัญการพิมพ์ที่ช่วยลดการปล่อย Co2 ด้วยหัวพิมพ์ที่ใช้ Heat-Free Technology และเริ่มพิมพ์งานได้ทันทีโดยไม่ต้องรอวอร์มเครื่อง 

และปรับปรุงรายละเอียดการทำงานของเครื่องพิมพ์ อีกทั้งทางเดินกระดาษภายในเครื่อง ที่ออกแบบให้เรียบง่ายและมีระยะสั้น จากเส้นการเดินทางรูปตัว S เป็นตัว C ช่วยลดปัญหากระดาษติด ตัวเครื่องมีขนาดกะทัดรัดช่วยประหยัดพื้นที่ใช้งาน 

ชุดหมึกเป็นแบบความจุสูง สามารถพิมพ์ขาวดำได้มากกว่า 31,000 แผ่น และพิมพ์สีได้ 28,000 แผ่น เพิ่มถาดใส่กระดาษได้มากสุด 4 ถาด บรรจุกระดาษได้ถึง 2,000 แผ่น ช่วยให้พิมพ์งานติดต่อกันได้นาน หรือเลือกใส่กระดาษที่มีขนาดต่างกัน เช่น A4 และ A5 สำหรับการใช้งานที่ต่างกันของแต่ละแผนกในองค์กร

โปรแกรมบริการแบบสมาชิก ที่มีทั้งโปรแกรม EasyCare 360 เหมา เหมา ที่ผู้ใช้สามารถเหมาจ่ายเป็นรายเดือนและรับเครื่องที่ใช้อยู่ไปฟรี ๆ หลังหมดสัญญา และโปรแกรม EasyCare 360 Click Charged ที่ให้ผู้ใช้จ่ายค่าใช้จ่ายตามการใช้งานจริงและสามารถเลือกทำสัญญาได้ทั้งแบบเช่าหรือเช่าซื้อ

มุ่งสู่ New S-Curve

การขยายฐานตลาดพรินเตอร์ในองค์กร (Commercial Printer) เป็นหมุดหมายสำคัญในการขยายพอร์ตธุรกิจสู่ New S-Curve สำหรับเอปสัน เพราะปัจจุบันธุรกิจพรินเตอร์ยังเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับเอปสัน แม้ว่าเอปสันจะขยายพอร์ตโฟลิโอไปยัง New S-Curve อื่นทั้ง Robotics และเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่สำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Printer) แล้วก็ตาม

สัดส่วนรายได้ของเอปสัน 60% มากจากธุรกิจเครื่องพิมพ์ (Printer) 17-18% มาจากธุรกิจ Projector 15% มาจากเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่สำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Printer) และ 3% มาจาก Robotics

เอปสันเพิ่งย้ายสำนักงานใหญ่จากอาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ (Empire Tower) มาที่อาคารปัญญ์ ทาวเวอร์ (Punn Tower) ด้วยเหตุผลที่ต้องการสร้างโซลูชัน เซ็นเตอร์ เพื่อโชว์ผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่สำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Printer) และ Robotics รวมถึง used case การใช้งานต่าง ๆ ให้กับคู่ค้าและลูกค้า 

“ที่นี่พื้นที่สำนักงานเล็กลง แต่เราเน้นพื้นที่โซลูชัน เซ็นเตอร์ที่ 600 ตารางเมตร เพราะต้องการให้คู่ค้าและลูกค้าได้เห็นผลิตภัณฑ์จริง อย่างเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่สำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Printer) ตัวเริ่มต้นที่ราคา 5 ล้านบาท ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 3 ในโลกที่มีเครื่องนี้มาแสดงในศูนย์ ต่อจากศูนย์ฯ ที่ญี่ปุ่นและที่อิตาลี” ยรรยง กล่าว

เอปสัน หนุนผู้ประกอบการใช้ความยั่งยืนปั้นธุรกิจ

จะเห็นได้ชัดเจนว่าเอปสันกำลังต่อจิ๊กวอว์มุ่งหน้าสู่ New S-Curve อย่างยั่งยืน 

นอกจากเรื่องผลิตภัณฑ์และรูปแบบการทำตลาดแล้ว เอปสันสันยังให้ความสำคุญกับเรื่องความยั่งยืนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงก็คือการทุ่มการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นส่วนรวมถึงแพคเกจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการใช้พลังงานรวมถึงมีความร่วมมือกับองค์กรภายนอกคือ WWF เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้ทั่วโลก และการร่วมมือกับเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก รณรงค์สร้างความตระหนัก ถึงภาวะการขยายตัวของพื้นที่สีเขียวบริเวณขั้วโลกเหนือ

การให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนส่งผลทางธุรกิจต่อเอปสันเมื่อ ยรรยง กล่าวว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เอปสันสามารถขยายฐานตลาดลูกค้าองค์กรได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากความสามารถในการทำงานตัวผลิตภัณฑ์และบริการแล้ว การที่ทุกผลิตภัณฑ์ของเอปสันเน้นเรื่อง Green Product ที่มีอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ที่ไม่เพียงแต่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเลเซอร์พรินเตอร์ถึง 85% ยังมีชิ้นส่วนในเครื่องที่ต้องเปลี่ยนทดแทนน้อยกว่าเลเซอร์พรินเตอร์ถึง 59% ทำให้ช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ลงได้มาก ทำให้กลายเป็นปัจจัยในการเลือกใช้เครื่องพิมพ์ของเอปสันมากขึ้นอย่างมากนั่นเอง 

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

จีดีพีไตรมาสแรก แตะจุดต่ำสุดแล้ว  

ความแตกต่างระหว่าง Traditional AI และ Generative AI 

×

Share

ผู้เขียน

Asina Pornwasin Avatar