Share on
×

Share

อันดับแข่งขันไทยดิ่งเหว กูรูจี้ ‘ผ่าตัดใหญ่’ ประเทศ ชี้รอไม่ได้อีกต่อไป

ประเทศไทยเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดย IMD ประจำปี 2568 ดิ่งลงถึง 5 อันดับ มาอยู่ที่ 30 จาก 69 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบที่ฝังรากลึก วงเสวนาผู้เชี่ยวชาญชี้ชัดถึงเวลาต้องลงมือปฏิรูปอย่างจริงจัง ทั้งการยกเครื่องอุตสาหกรรมเก่า เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ และแก้ปัญหาคอร์รัปชันและความไร้เสถียรภาพของนโยบายภาครัฐ ก่อนที่ประเทศจะสูญเสียโอกาสสำคัญในการเติบโต

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เปิดเผยผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประจำปี 2568 โดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development (IMD) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งในปีนี้ประเทศไทยมีอันดับลดลงอย่างน่ากังวลถึง 5 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 30 จาก 69 เขตเศรษฐกิจ

ผลการวิเคราะห์เจาะลึกพบว่า ปัจจัยหลักทั้ง 4 ด้านที่ใช้ในการจัดอันดับล้วนมีอันดับลดลงทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government efficiency) ที่ลดลงมากที่สุดถึง 8 อันดับ ตามมาด้วย โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และ ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ที่ลดลงด้านละ 4 อันดับ และ สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ที่ลดลง 3 อันดับ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนภาพความอ่อนแอเชิงโครงสร้างและระบบของประเทศ ซึ่งส่งผลให้ไทยมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของสถานการณ์โลก และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนในช่วงที่ผ่านมา

ข้อเสนอทางรอด: ชู Agri-food และ Wellness Tourism คว้าโอกาสธุรกิจใหม่

นิธิ ภัทรโชค ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้เสนอแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศอย่างยั่งยืน โดยชี้ว่าประเทศไทยควรกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ (Strategic Sector) ที่ต่อยอดจากจุดแข็งเดิมและตอบสนองกระแสโลก คือ Agri-food และ Wellness & Medical Tourism พร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาสู่ Smart Farm และเสริมสร้างความรู้ให้เกษตรกร เพื่อสร้างประโยชน์ทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ ภาคธุรกิจต้องปรับตัวครั้งใหญ่ (Enterprise Transformation) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หาตลาดใหม่ และนำดิจิทัลแพลตฟอร์มมาใช้ เพื่อเปลี่ยน SMEs ให้ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม พร้อมพัฒนาทักษะบุคลากร (Upskill/Reskill) ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

เสียงสะท้อนจากนักเศรษฐศาสตร์: “กังวลใจกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา”

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โดยระบุว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผมได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกรุงเทพมา ไม่เคยมีช่วงไหนเลยที่ผมกังวลใจกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยเท่านี้เลย”

ดร.กอบศักดิ์ ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังคงพึ่งพาการลงทุนจากอดีตเมื่อ 30-40 ปีก่อน เช่น ปิโตรเคมี เกษตรกรรม และโรงงานยานยนต์ญี่ปุ่น หากต้องการกลับมายืนหยัดอีกครั้ง ประเทศไทยต้องคว้าคลื่นการลงทุนลูกใหม่ให้ได้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งมีโครงการที่สนใจลงทุนในไทยกว่า 423 โครงการ มูลค่ากว่า 6.8 ล้านล้านบาท และต้องดึงเทคโนโลยีเหล่านั้นมาพัฒนาต่อยอดในประเทศ เพื่อสร้างแรงเหวี่ยงขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ความท้าทายคือ ปัจจุบันไทยมีคู่แข่งในภูมิภาคเพิ่มขึ้นมาก จึงจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนอย่างเร่งด่วน

ดึง “Tech Mafia” และพลัง “AI” ปลุก SMEs

อรนุช เลิศสุวรรณกิจ
อรนุช เลิศสุวรรณกิจ Co-Founder และ CEO, Techsauce 

อรนุช เลิศสุวรรณกิจ Co-Founder และ CEO, Techsauce เห็นพ้องกับการดึงดูดการลงทุนและบุคลากรจากต่างชาติ โดยเสนอแนวคิดดึงดูดกลุ่มผู้มีความสามารถด้านเทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลกให้เข้ามาตั้งรากฐานในไทย หรือที่เรียกว่า “Tech Mafia” เพื่อสร้างฐานนวัตกรรมและความรู้ที่แข็งแกร่งให้ประเทศ เนื่องจากไทยอาจไม่มีศักยภาพพอที่จะสร้างเทคโนโลยีจากศูนย์ได้ด้วยตนเอง

นอกจากนี้ การส่งเสริมให้ SMEs ซึ่งมีรายได้เฉลี่ย 300-500 ล้านบาทต่อปี เข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาคและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน AI ยังเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ (Solo Entrepreneur) ที่สามารถสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ (Prototype) ได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที จากเดิมที่ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์

ด้าน ดร.อธิพงศ์ หิรัญเรืองโชค ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์ฯ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสริมว่า โจทย์สำคัญของภาครัฐคือการผลักดันนวัตกรรมที่มีอยู่มากมายในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ให้สามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) และมีสายป่านยาวพอที่จะแข่งขันในตลาดโลกได้

ทางออกจากกับดัก “นโยบาย” และ “คอร์รัปชัน”

ประเด็นด้านภาครัฐถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นอุปสรรคสำคัญ ดร.กอบศักดิ์ ให้ความเห็นว่า “ถ้านโยบายใช่ สิ่งต่าง ๆ จะตามมา”โดยรัฐต้องทำ 3 สิ่งเร่งด่วน คือ:

  1. Open Thailand: หาจุดเด่นของประเทศเพื่อดึงดูดกองทุนต่างชาติเข้ามาซื้อเวลาให้ประเทศได้ฟื้นตัว
  2. การลอกคราบประเทศไทย: ผลักดันนโยบายเพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรมที่ตกยุคให้กลับมาแข่งขันได้
  3. การพัฒนาคน: ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด โดย ดร.กอบศักดิ์ ชี้ให้เห็นปัญหา “การทำลายคน” จากข้อมูลที่ว่า IQ ของเด็กไทยเมื่ออายุ 6 ปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยสากล ทั้งที่ไม่ได้แตกต่างกันเมื่อแรกเกิด พร้อมยกตัวอย่างว่าการแก้ปัญหานี้ทำได้ไม่ยาก เช่น การจัดตั้งศูนย์เด็กเล็กที่ธนาคารกรุงเทพทำกว่า 400 แห่ง ด้วยงบประมาณเฉลี่ยเพียง 200,000 บาทต่อแห่ง

ปัญหาใหญ่ที่กัดกร่อนประเทศคือ ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งทำให้ไม่มีนโยบายใดถูกผลักดันจนสำเร็จ ดร.กอบศักดิ์ชี้ว่า ภาคเอกชนต้องร่วมมือกันกดดันให้รัฐบาลผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศอย่างแท้จริง

นิธิ เสริมว่า ภาครัฐยังขาดกลไกขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ หน่วยงานเศรษฐกิจกระจัดกระจาย (Fragmented) และทำงานแบบแยกส่วน (Silo) กฎหมายล้าสมัย และกระบวนการที่ซับซ้อนเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ทางแก้คือต้องมี หน่วยงานขับเคลื่อนกลาง (Performance Management Office) และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ (Ease of Doing Business)

เพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด ดร.อธิพงศ์ และ ดร.กอบศักดิ์ เสนอตรงกันว่า ต้องมีการปฏิรูประบบราชการสู่ รัฐบาลดิจิทัล (Digital Transformation Government) อย่างครบวงจรและใช้ระบบกลางร่วมกัน เพื่อสร้างความโปร่งใสและปิดช่องโหว่การทุจริต

นิธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ประเทศไทยมาถึงจุดที่รอไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลาต้องลงมืออย่างจริงจัง รัฐต้องมีวิสัยทัศน์ระยะยาว เร่งแก้ไขปัญหา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน เราจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวคิดแบบเดิม ๆ ปรับ business model ของประเทศใหม่ และต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘สีเขียวต้องสร้างรายได้’: WHA Group พลิกวิกฤติสิ่งแวดล้อม สู่โอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืน

IBM ชี้ ‘ควอนตัม+AI’ กุญแจแก้ปัญหายากที่สุดของโลก

×

Share

ผู้เขียน