ETDA เผยยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แห่งชาติของไทยในงาน Bangkok AI Week 2025 โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AI (AI Literacy) ให้คนไทย 10 ล้านคน ดึงดูดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 5 แสนล้านบาท และมุ่งสู่การเป็น “ชาติที่ใช้ AI อย่างมีจริยธรรม” (Ethical AI Nation) ผ่านทิศทางการพัฒนาแบบ Open Source
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส ETDA ระบุว่า สำหรับทิศทางในเวทีโลก ประเทศไทยจะมุ่งสู่ Open Source AI และตั้งเป้าพัฒนา Large Language Model (LLM) ของตนเอง เช่นเดียวกับที่หลายประเทศอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งการตัดสินใจนี้สอดคล้องกับทิศทางของนานาชาติส่วนใหญ่ ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากเวที AI Summit ที่ฝรั่งเศสซึ่งมีเพียงสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวที่ไม่ลงนามในข้อตกลง Open Source AI
นอกจากนี้ เพื่อแสดงบทบาทผู้นำในภูมิภาค ไทยยังเตรียมการที่จะประกาศจัดตั้ง “ศูนย์ AI Governance Practice Center” ในเวทีระดับโลกของ UNESCO ที่กำลังจะจัดขึ้น
ดร.ศักดิ์ ได้ตอกย้ำว่ายุทธศาสตร์ AI ของไทยมีรากฐานที่วางไว้ล่วงหน้าและไม่ได้เป็นการดำเนินการตามกระแส โดยมีแผนปฏิบัติการมาตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเป็นผลจากการทำงานร่วมกันของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) มาก่อนหน้านั้นถึงสองปี ซึ่งยอมรับว่าการวางแผนในยุคก่อน ChatGPT นั้นมีความท้าทายในการคาดการณ์อนาคต กลไกสำคัญที่ตั้งขึ้นคือคณะกรรมการ AI แห่งชาติ ซึ่งมีโครงสร้างพิเศษคือมี “เลขาธิการร่วม” จากทั้งสองกระทรวง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่ปกติในระบบราชการและสะท้อนถึงความสำคัญอย่างยิ่งของเรื่องนี้
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นหนึ่งในชาติแรก ๆ ของโลกที่ริเริ่มร่างกฎหมาย AI ถึง 2 ฉบับ คือฉบับของ สวทช. จัดทำโดยจุฬาฯ ที่อิงตามร่างของ EU และฉบับของ ETDA ที่เน้นการส่งเสริม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความตื่นตัวของประเทศ
สำหรับแผนปฏิบัติการระยะที่ 2 จะขับเคลื่อนผ่าน 2 ยุทธศาสตร์หลัก โดยยุทธศาสตร์แรกคือ การสร้างความพร้อม (Readiness) ซึ่งเป็นการวางรากฐานของประเทศให้แข็งแกร่งในทุกมิติ เริ่มตั้งแต่ด้านกำลังคน โดยตั้งเป้าสร้าง AI Literacy ให้คนไทย 10 ล้านคน พัฒนาบุคลากรมืออาชีพ (AI Professionals) 90,000 คน และสร้างโปรแกรมเมอร์ AI อีก 50,000 คน ควบคู่ไปกับการพัฒนา
ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยการผลักดันการลงทุน Data Center มูลค่า 5 แสนล้านบาท โดยมีภาคเอกชนไทยลงทุนซื้อหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) เป็นจำนวนหลายหมื่นตัว และมีผู้เล่นระดับโลกอย่าง Amazon และ Google เข้ามาลงทุน โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเต็มที่ ดังตัวอย่างที่เคยเตรียมไฟฟ้าสะอาดให้กับ AWS มาแล้ว ขณะที่ ด้านกฎหมาย จะเดินหน้าด้วยแนวทางที่ยืดหยุ่น โดยเริ่มจากการทำประชาพิจารณ์หลักการก่อนลงรายละเอียด เพื่อสร้างสมดุลและเรียนรู้จากบทเรียนของสหภาพยุโรป และสุดท้ายคือ ด้านข้อมูล ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็งที่ได้เปรียบอย่างมากจากกฎหมายธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) ที่บังคับใช้แล้ว
ยุทธศาสตร์ที่สองคือ การผลักดันการนำไปใช้ (Adoption) ซึ่งเป็นการนำความพร้อมจากยุทธศาสตร์แรกไปสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นจริงในภาคส่วนเป้าหมายสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ บริการสุขภาพ ภาครัฐ ซึ่งมีสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.) หรือ DGA เป็นหน่วยงานเตรียมการ การศึกษา การเกษตร และการท่องเที่ยว ดร.ศักดิ์ชี้ว่าภาคการศึกษามีการนำ AI ไปใช้อย่างแพร่หลายแล้ว โดยยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งมีนิสิตนักศึกษาใช้งาน AI เป็นจำนวนมากในหลักหมื่นคน ขณะที่ภาคเอกชนขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารและ E-commerce มีความตื่นตัวและขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว
ดร.ศักดิ์กล่าวว่า สิ่งที่แตกต่างจากการขับเคลื่อนนโยบายในอดีตคือ ปัจจุบันมีกรอบการทำงานที่ชัดเจน และต้องมุ่งเน้นการวัดผลตอบแทนที่จับต้องได้ (ROI) ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ตัวชี้วัดความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่แท้จริงคือการจัดสรรงบประมาณ ดร.ศักดิ์ เรียกร้องให้ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณด้าน AI อย่างน้อยปีละ 2,000 ล้านบาท โดยอาจใช้เงินจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กองทุนดีอี) เพื่อเป็นงบประมาณตั้งต้นในการกระตุ้นให้เกิดโครงการ AI ที่พัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง โดยงาน Bangkok AI Week ครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ซึ่งเกิดขึ้นจากดำริของปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ที่ต้องการให้มีกิจกรรมคู่ขนาน (Side Events) กับงานประชุมใหญ่ของ UNESCO เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
อันดับแข่งขันไทยดิ่งเหว กูรูจี้ ‘ผ่าตัดใหญ่’ ประเทศ ชี้รอไม่ได้อีกต่อไป
SCB TechX เปิดตัว OCR บริการแปลงเอกสารเป็นดิจิทัลพร้อมใช้ ด้วยเทคโนโลยี AI และ LLM