Share on
×

Share

IBM เผยผลศึกษา APAC AI Outlook องค์กร APAC มุ่งผลลัพธ์

IBM เปิดรายงาน “APAC AI Outlook 2025” ระบุว่า องค์กรในเอเชียแปซิฟิคกำลังเดินหน้าก้าวข้ามระยะทดลองการใช้ AI สู่การสร้างผลลัพธ์สูงสุดจากการลงทุนด้าน AI โดยมากกว่าครึ่งหนึ่ง (54%) คาดหวังว่า AI จะนำมาซึ่งประโยชน์ระยะยาวแก่องค์กรธุรกิจ อาทิ นวัตกรรมหรือการสร้างรายได้ โดยการพัฒนาโซลูชัน AI ที่คุ้มค่า และมีความยืดหยุ่นจากการใช้โมเดลโอเพนซอร์สที่ปรับแต่งให้เข้ากับโฟกัสขององค์กรได้ รวมถึงความสามารถในการบูรณาการระบบที่มีผู้ให้บริการหลายรายได้แบบไร้รอยต่อ จะเป็นตัวพลิกเกมสำคัญ

การมองหาความสำเร็จระยะสั้นในช่วงเริ่มแรกของโครงการ Generative AI (Gen AI) ต่าง ๆ ทำให้องค์กรเข้าใจศักยภาพของ AI ลึกซึ้งมากขึ้น นำสู่การเปลี่ยนโฟกัสจากการใช้งานในรูปแบบงานที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักขององค์กร ไปสู่การใช้ Gen AI ในฟังก์ชันธุรกิจหลักเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันและ ROI จากการลงทุน โดยรายงานที่จัดทำโดย Ecosystm ในนามของ IBM พบว่าเกือบ 60% ขององค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคที่สำรวจ คาดว่าตนจะได้รับ ROI จากการลงทุนด้าน AI ภายในสองถึงห้าปี และมีเพียง 11% เท่านั้นที่คาดหวังจะได้รับผลตอบแทนภายในสองปี

ก้าวต่อไปของ AI ในประเทศไทย

AI-Outlook-2025

สำหรับประเทศไทย ในปี 2568 การลงทุน AI จะมุ่งเน้นที่การออโตเมทกระบวนการธุรกิจของส่วนงานแบ็คออฟฟิศ (29%) การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้านไอที (18%) รวมถึงการออโตเมทงานด้านการขายและการจัดการวงจรชีวิตของลูกค้า (16%) โดยมีความก้าวหน้าและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นของเทคโนโลยี AI (42%) ความกดดันในแง่สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (41%) รวมถึงความกดดันจากลูกค้า (39%) เป็นแรงผลักดันที่สำคัญ

อย่างไรก็ดี เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ องค์กรไทยจำเป็นต้องต่อกรกับความท้าทายหลัก อย่างปัญหาเวนเดอร์ล็อคอิน (41%) การขาดเครื่องมือหรือแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาโมเดล AI (38%) และต้นทุนการติดตั้งระบบหรือค่าใช้โซลูชัน AI ต่างๆ (34%)

“วันนี้ AI กำลังวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วจากการทดลองนำร่องสู่การนำไปใช้เชิงกลยุทธ์” อโณทัย เวทยากร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย กล่าว “ในปี 2568 องค์กรจะมองหาโมเดล AI ที่มีความเฉพาะด้านและมีขนาดเล็กลง และมาพร้อมสถาปัตยกรรมแบบโอเพ่นซอร์สที่ให้ความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยโฟกัสจะอยู่ที่การเน้นความได้เปรียบในการแข่งขันและการเพิ่ม ROI ซึ่งต้องอาศัยความสามารถในการบูรณาการแพลตฟอร์มได้แบบไร้รอยต่อ อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะปูทางไปสู่ Agentic AI แต่เหนือสิ่งอื่นใด ปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้คือแนวทางการใช้ AI ที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง”

APAC AI Outlook 2025 ยังเปิดเผยถึงเทรนด์สำคัญและอุปสรรคที่องค์กรต้องฝ่าฟันเพื่อปลดล็อคศักยภาพการทรานส์ฟอร์มธุรกิจด้วย AI พร้อมด้วยมุมมองจาก 17 ผู้นำอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค รวมถึงในประเทศไทย ที่ได้เริ่มบุกเบิก Best Practice ด้าน AI แล้ว เพื่อเป็นต้นแบบการนำ AI ไปใช้ให้กับองค์กรที่ต้องการเร่งเครื่องหรือริเริ่มโครงการด้าน AI ควบคู่ไปกับการจัดการความท้าทายและความเสี่ยงต่าง ๆ

ASEAN-AI-Outlook-2025

รายงานฯ ได้ระบุเทรนด์เชิงกลยุทธ์ห้าประการที่จะกำหนดอนาคต AI ขององค์กรในเอเชียแปซิฟิคและในประเทศไทยในปี 2568 ประกอบด้วย:

  • รายได้ที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะทวีความสำคัญ: องค์กรจะนำแนวทาง “Strategic AI มาใช้ในปี 2568 โดยให้ความสำคัญกับโครงการต่างๆ บนพื้นฐานของความเป็นไปได้และผลกระทบทางธุรกิจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการตกผลึกว่าการพยายามสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับภายในองค์กรเพื่อความสำเร็จของโครงการ AI ในระยะแรก ต้องสมดุลกับกลยุทธ์ AI ระยะยาว ความท้าทายในวันนี้คือการสเกล AI ผ่านกรณีการใช้งานต่างๆ เพื่อสร้างโอกาสทางรายได้และ ROI สูงสุด
  • โมเดลโอเพนซอร์สขนาดเล็กและเฉพาะทางจะเป็นทางเลือกที่ทรงพลังสำหรับการใช้งาน AI ในรูปแบบต่างๆ: โมเดลที่สร้างขึ้นเพื่อตอบวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจงขององค์กรจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ซึ่งรวมถึงโมเดลที่ออกแบบเฉพาะสำหรับภาษาท้องถิ่น ตอบโจทย์บริบทของแต่ละภูมิภาค และงานการคำนวณคอมพิวติ้งที่ซับซ้อนน้อยกว่า โดย “Rightsizing AI” นี้ จะใช้ข้อมูลในการเทรน AI น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างคาร์บอนฟุตพริ้นต์น้อยกว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่
  • องค์กรเปิดรับเครื่องมือใหม่เพื่อสร้างความโปร่งใส รวมถึงกำกับดูแลและช่วยบูรณาการระบบ AI แบบไร้รอยต่อ: องค์กรในเอเชียแปซิฟิค รวมถึงในประเทศไทย จะใช้ประโยชน์จากโมเดล AI โอเพ่นซอร์สมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและประสิทธิภาพ โดย “Unified AI” พร้อมเครื่องมือการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้การบริหารจัดการโซลูชันตางๆ เป็นไปอย่างยืดหยุ่น คุ้มค่า มีการรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น และเชื่อมโยงโซลูชันของผู้ให้บริการต่างๆ ได้แบบไม่มีสะดุด
  • ตัวช่วย AI จะกำหนดอนาคตการทำงานรูปแบบใหม่: องค์กรจะมองถึงเวิร์คโฟล์วการทำงานเชิงปฏิบัติการมากขึ้น โดยมีตัวช่วย AI (AI agent) ที่สามารถทำหน้าที่ต่างๆ ได้อัตโนมัติด้วยตัวเองคอยสนับสนุนโดยทำงานร่วมกับพนักงานในองค์กรเพื่อสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจ ในปี 2568 “Agentic AI” ซึ่งผสมผสาน AI กับระบบอัตโนมัติ จะสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงาน ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และเสริมการตัดสินใจได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม องค์กรจำเป็นต้องวางแนวทางกรอบควบคุมภายในและประเมินโมเดลที่รองรับอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจถึงการใช้งานอย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบ
  • นวัตกรรมที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลางจะขับเคลื่อนเฟสต่อไปของ AI: แม้การใช้งานในฐานะการเป็นเครื่องมือเพิ่มผลิตภาพจะเป็นโฟกัสหลักของการนำ AI มาใช้ในช่วงที่ผ่านมา แต่อนาคตจะขึ้นอยู่กับการใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อยกระดับประสบการณ์และความสามารถของมนุษย์ โดยแนวทาง Human-Centric AI จะกลายเป็นเครื่องมือทรงพลังสำหรับพนักงานในองค์กร ทั้งในแง่การสนับสนุนบทบาทหน้าที่ต่างๆ การช่วยออโตเมทกิจวัตรงานต่างๆ รวมถึงการปลดล็อคโอกาสใหม่ๆ ในด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม การให้ความสำคัญกับการออกแบบ AI ที่เข้าใจความรู้สึก จะช่วยให้องค์กรสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและความภักดีต่อแบรนด์ได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“ส่วนที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนา AI คือมนุษย์ และมนุษย์จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงการตรวจตราการใช้งานที่สำคัญๆ อย่างสม่ำเสมอ” อุลริช โลฟเลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Ecosystm กล่าว “วัตถุประสงค์ของ AI จะต้องเป็นไปเพื่อการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกเสมอ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการสร้างความน่าเชื่อถือ การร่วมมือ และการสร้างสรรค์ร่วมกัน ความก้าวหน้าควรตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า AI เป็นตัวสนับสนุนมากกว่าที่จะแทนที่มนุษย์ โดยทั้งคู่สามารถทำงานและเติบโตไปด้วยกันได้”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

OpenAI เปิดตัว ChatGPT Pro ปลดล็อกศักยภาพ AI ขั้นสูงสำหรับมืออาชีพ

Roddonjai ยกระดับแพลตฟอร์มด้วย Data และ AI เสริมแกร่งงานโฆษณา และงานขาย

×

Share

ผู้เขียน