ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของทุกองค์กร Red Hat ผู้นำด้านโอเพนซอร์ส ได้เผยทิศทางและนวัตกรรมล่าสุดจากงานประชุมใหญ่ประจำปี Red Hat Summit ณ เมืองบอสตัน โดยมี สุพรรณี อำนาจมงคล ผู้จัดการประจำประเทศไทยของบริษัทเร้ดแฮท (Red Hat) เป็นผู้สรุปภาพรวมและเจาะลึกเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ไอทีขององค์กรในอนาคตอันใกล้นี้
บริบทประเทศไทย: คลื่นดิจิทัลและ AI ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
สุพรรณี กล่าวว่า ภาพรวมของประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว โดยมี AI เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน รัฐบาลได้ตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งเป้าสร้างผู้ใช้งาน GenAI ให้ได้ถึง 10 ล้านคน พร้อมทั้งพัฒนาผู้เชี่ยวชาญและนักพัฒนาด้าน AI รวมกันกว่า 140,000 คน ภายใน 2 ปีข้างหน้า
แนวโน้มนี้สอดคล้องกับการเติบโตของ Digital Economy ที่คาดว่าจะสูงถึง 1.44 แสนล้านบาทในปี 2025 และการลงทุนใน Data Center ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 54% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณชัดเจนว่าโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรของไทยกำลังเตรียมพร้อมสำหรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต
ความท้าทายของผู้บริหารไอที: การสร้างสมดุลแห่งนวัตกรรมระหว่าง “ปัจจุบัน” และ “อนาคต“
สำหรับผู้บริหารระดับสูงด้านเทคโนโลยี (C-level) ในยุคนี้ ภารกิจสำคัญคือการสร้างสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างการจัดการเทคโนโลยีในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ไปกับการวางรากฐานเพื่อรองรับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงในอนาคต นับเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยทั้งวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและความเฉียบคมในการบริหารจัดการ
ในปัจจุบัน ภารกิจหลักมุ่งเน้นไปที่การสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีที่มั่นคงและยืดหยุ่น ในโลกที่ Hybrid Cloud ได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานมาตรฐาน การบริหารจัดการสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือโจทย์สำคัญ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงระบบ Virtualization เดิมให้ก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดต้นทุน ไปพร้อมกับการสร้างสรรค์แพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งและพร้อมต่อยอดสำหรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างไร้รอยต่อ
ขณะเดียวกัน ผู้บริหารต้องมองข้ามขอบฟ้าปัจจุบันเพื่อเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาปฏิวัติโลกธุรกิจอย่างสิ้นเชิง หนึ่งในนั้นคือการทำให้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้าถึงได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่เป็นเพียงโครงการนำร่อง แต่ต้องผสานเข้ากับทุกส่วนขององค์กรเพื่อสร้างความได้เปรียบอย่างแท้จริง
เมื่อเริ่มต้นได้แล้ว ความท้าทายถัดมาคือ การขยายผล AI ให้ครอบคลุมทั้งองค์กร ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างผลกระทบในวงกว้าง ยิ่งไปกว่านั้น การมาถึงของ ควอนตัมคอมพิวติ้ง (Quantum Computing) ซึ่งมีศักยภาพทำลายระบบความปลอดภัยและการเข้ารหัสแบบเดิมได้ในพริบตา ทำให้การเตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมรับมือกับยุคหลังควอนตัม (Post-Quantum) กลายเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ไม่อาจมองข้าม
ท้ายที่สุดแล้ว การสร้างสมดุลระหว่างการบริหารจัดการโลกปัจจุบันและการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต คือหัวใจสำคัญที่จะตัดสินว่าองค์กรใดจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายและก้าวขึ้นเป็นผู้นำในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน
ก้าวต่อไปของ Red Hat: จากแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันสู่แพลตฟอร์ม AI
Red Hat ได้วางกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการตอบโจทย์ทั้งความท้าทายในปัจจุบันและวิสัยทัศน์แห่งอนาคต โดยต่อยอดจากผลิตภัณฑ์หลักที่แข็งแกร่งอย่าง Red Hat Enterprise Linux (RHEL), Red Hat OpenShift และ Red Hat Ansible Automation Platform ไปสู่การเป็น “แพลตฟอร์มสำหรับ AI Workload”
ในงาน Red Hat Summit ที่บอสตัน ได้มีการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ Red Hat AI ซึ่งมีหัวใจสำคัญคือการทำให้องค์กรสามารถพัฒนาระบบ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดบนสถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์
นวัตกรรมเปลี่ยนเกม: Red Hat Inference Server และเทคโนโลยี VLLM
หนึ่งในไฮไลท์ที่น่าจับตามองที่สุดคือการเปิดตัว Red Hat Inference Server ซึ่งนำเสนอเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนสมการของการใช้งาน AI อย่าง VLLM (Virtual Large Language Model) ในฐานะผู้เล่นหลักของโครงการโอเพนซอร์สนี้ Red Hat ได้นำเสนอ VLLM ไม่ใช่ในฐานะภาษาโปรแกรมใหม่ แต่เป็น “Engine ตรงกลาง” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ท้าทายที่สุดของการรัน AI นั่นคือ “ต้นทุน” และ “การใช้ทรัพยากร” โดยที่นักพัฒนาไม่จำเป็นต้องแก้ไขโค้ดของโมเดลเดิมแม้แต่น้อย
เทคโนโลยี VLLM ทำงานโดยการ บีบอัดโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ให้มีขนาดเล็กลงแต่ยังคงประสิทธิภาพไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้สามารถนำไปรันบนฮาร์ดแวร์ที่มีทรัพยากรจำกัดได้ ขณะเดียวกันก็มีการสร้าง Optimize Layer เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ราคาสูงอย่าง GPU ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งนำไปสู่แนวคิด “GPU as a Service” ที่เปิดโอกาสให้องค์กรสามารถแบ่งปันการใช้งาน GPU ได้อย่างยืดหยุ่นและคุ้มค่า
ผลกระทบสำคัญที่เกิดขึ้นคือเทคโนโลยีนี้จะทำให้ “การนำ AI ไปปรับใช้ (AI Adoption) กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น” อย่างก้าวกระโดด เพราะเป็นการทลายกำแพงด้านต้นทุนฮาร์ดแวร์ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคสำคัญ พร้อมทั้งเพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกใช้โครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะส่งผลให้การใช้งาน AI เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งในระดับโลกและประเทศไทย
Use Case ของ Red Hat AI: แพลตฟอร์มสำหรับผู้สร้าง
Red Hat วางตำแหน่งตัวเองเป็น “แพลตฟอร์ม” สำหรับองค์กรที่ต้องการพัฒนาโมเดล AI ของตนเองเพื่อสร้างความแตกต่างทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเพื่อใช้ภายในองค์กร หรือสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อบริการลูกค้า โดยแพลตฟอร์มของ Red Hat จะเข้ามาตอบโจทย์เมื่อองค์กรต้องการขยายผล (Scale) โมเดล AI ให้รองรับการใช้งานระดับใหญ่ มีความปลอดภัยสูง และมีการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ
เสริมความแกร่งให้รากฐาน: RHEL 10 และ OpenShift Virtualization
นอกจากการมุ่งหน้าสู่ AI แล้ว Red Hat ยังไม่ลืมที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับรากฐานสำคัญ โดยได้ประกาศเปิดตัว Red Hat Enterprise Linux 10 ที่มาพร้อมฟีเจอร์สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
- รองรับทรัพยากรจำกัด (Tight Resource Constraint): ใช้งานฮาร์ดแวร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด
- เร่งการปรับใช้บนคลาวด์ (Accelerate Cloud Adoption): ทำงานร่วมกับคลาวด์ทุกรูปแบบได้อย่างราบรื่น
- ความปลอดภัยยุคควอนตัม (Post-Quantum Security): เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยสำหรับยุคควอนตัม
- AI ในตัว (Embedded AI): นำ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยให้การใช้งาน Linux ง่ายและฉลาดยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน Red Hat OpenShift Virtualization ก็มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก โดยมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในช่วงเวลาเพียงปีกว่า ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความต้องการโซลูชันทางเลือกในการทำ Virtualization ที่ทันสมัย และสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีคอนเทนเนอร์บนแพลตฟอร์มเดียวกันได้อย่างลงตัว
ปลายทางที่กรุงเทพฯ: Red Hat Summit Connect ASEAN
ข่าวดีสำหรับประเทศไทยคือ Red Hat ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของตลาดในภูมิภาคนี้ โดยได้เลือกประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน Red Hat Summit Connect ระดับภูมิภาคอาเซียน ในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ที่จะรวบรวมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจากทั่วทั้งภูมิภาคมาอัปเดตเทรนด์และแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ร่วมกัน
หนึ่งในกิจกรรมพิเศษของงานคือ Telco Day ซึ่งจัดขึ้นเพื่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมโดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความเฉพาะตัวสูง (Unique) มี Use Case ที่แตกต่างจากกลุ่มอื่น เช่น เรื่อง 5G หรือ Core Network โดย Red Hat จะเชิญพาร์ทเนอร์ระดับโลกที่ทำงานร่วมกันในอุตสาหกรรมนี้มาแลกเปลี่ยนความรู้และอัปเดตเทคโนโลยีร่วมกัน
สำหรับไฮไลท์สำคัญของงาน Summit คือ Panel Discussion จากลูกค้าในภูมิภาคอาเซียน ที่จะมาแบ่งปันประสบการณ์และความท้าทายในการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่โลกดิจิทัลและ AI รวมถึงการมอบรางวัล Red Hat Innovation Award ให้กับลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีไปใช้งาน
ภาพรวมลูกค้าและทิศทางในไทย
สุพรรณีกล่าวว่า ลูกค้าหลักของ Red Hat ในไทยคือกลุ่มการเงิน การธนาคาร ประกันภัย (FSI) ซึ่งใช้งานโซลูชันของ Red Hat เกือบ 100% และกลุ่มโทรคมนาคม (Telco) นอกจากนี้ยังมีภาครัฐและอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ค้าปลีก และสายการบิน
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นดาวรุ่งในตลาดไทย หากมองในปัจจุบันคือ “Virtualization and Modernization” ที่ยังมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง ส่วนในอนาคตที่ทุกองค์กรกำลังมองหาคือ “AI” ซึ่งแม้หลายองค์กรในไทยจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเป็น “ผู้สร้าง” (Creator) แต่ Red Hat เชื่อว่าเครื่องมือใหม่ ๆ อย่าง Red Hat AI จะเข้ามาช่วยก้าวข้ามความท้าทายและเร่งการเติบโตให้เร็วขึ้นได้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Harmony Tech ผู้บุกเบิก ‘เศรษฐกิจระดับต่ำ’ ชูธงความปลอดภัยพลิกโฉมท้องฟ้าเมือง
คู่มือธุรกิจ: เตรียมพร้อมธรรมาภิบาล รับมือความเสี่ยง ESG อย่างยั่งยืน
มสธ. ผนึก AWS–ยิบอินซอย จัดสอบออนไลน์พร้อมกันกว่า 40,000 คนจาก 64 ประเทศทั่วโลก