ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วและเทคโนโลยี การตัดสินใจทางธุรกิจที่อาศัยเพียงสัญชาตญาณอาจไม่ใช่คำตอบที่เฉียบคมอีกต่อไป แต่จะเป็นอย่างไรหากเราสามารถมองเห็น “ร่องรอยดิจิทัล” ของผู้คนนับล้าน เพื่อนำมาวิเคราะห์และสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในแบบเรียลไทม์
เอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล และ (รักษาการ) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เปิดมิติใหม่ที่น่าจับตามอง นั่นคือ “Mobility Data” หรือข้อมูลการเคลื่อนที่ ขุมทรัพย์ล้ำค่าที่พร้อมจะเข้ามาปลดล็อกศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้ก้าวไปอีกขั้น ในงาน Routes to Roots Forum
“องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย Data เราทำมาหลายปีมาก แต่ข้อมูลในปัจจุบันมันมีความซับซ้อน หลากหลาย และการใช้ข้อมูลมันไม่ได้ใช้เพื่อวิเคราะห์แล้วเอารีพอร์ตมาวางบนโต๊ะ แต่มันคือการเกิดแอคชั่นแบบ Real Time”
ทำความรู้จัก Mobility Data ขุมทรัพย์ในโลกดิจิทัล

สำหรับหลายคน Mobility Data อาจเป็นเรื่องใหม่ แต่สำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง True ที่มีฐานผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านเลขหมาย นี่คือข้อมูลการเคลื่อนที่มหาศาลที่เกิดขึ้นทุกวินาที โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์ในภาพรวมเพื่อฉายให้เห็นเทรนด์ที่น่าสนใจ โดยได้ย้ำถึงหัวใจสำคัญที่สุดว่า
“เรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือ ความเป็นส่วนตัว PDPA Privacy ต่าง ๆ อันนี้ 100% เราจะรู้เรื่องเทรนด์ แต่ Individual นี่เราไม่ได้แตะ”
ข้อมูลนี้ให้มุมมองการเคลื่อนที่ที่หลากหลายมิติ เริ่มตั้งแต่การชี้วัด ความหนาแน่น (Density) ของผู้คนในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับเมืองใหญ่ไปจนถึงชุมชนเล็กๆ, การเปิดเผย เส้นทางการเดินทาง (Place) ทำให้เห็นว่าผู้คนเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งอย่างไร, การทำความเข้าใจ รูปแบบการเดินทาง (Mode of Travel) ซึ่งจำแนกได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวระยะสั้นหรือยาว และเดินทางต่อไปยังที่ใดบ้าง ไปจนถึงการ บันทึกเวลา (Time Record) ที่ใช้ในแต่ละสถานที่ ซึ่งสะท้อนถึงความน่าสนใจของแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี
พลังของข้อมูลที่พิสูจน์แล้วทั่วโลก
การประยุกต์ใช้ Mobility Data ไม่ใช่เพียงทฤษฎี แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและสร้างประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในหลายประเทศชั้นนำ ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกาข้อมูลนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการภัยพิบัติ ช่วยให้สามารถวางแผนอพยพผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเผชิญเหตุฉุกเฉิน ขณะที่ ฟินแลนด์ได้นำข้อมูลไปใช้ออกแบบระบบคมนาคมขนส่งสาธารณะทั้งหมดของประเทศ เพื่อให้การเชื่อมต่อระหว่างรถไฟและรถบัสตอบโจทย์การเดินทางจริงของประชาชนมากที่สุด และที่น่าทึ่งคือ โอมาน ซึ่งก้าวไปอีกขั้นด้วยการใช้ข้อมูลเพื่อสร้างเมืองและวางผังเมืองใหม่ทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของข้อมูลการเคลื่อนที่
ปลดล็อกศักยภาพท่องเที่ยวไทยด้วย 3 มิติแห่งข้อมูล
สำหรับประเทศไทย คุณเอกราชได้ชี้ให้เห็นถึงแนวทางการนำ Mobility Data มาประยุกต์ใช้เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล
มิติแรก คือการทำความเข้าใจนักท่องเที่ยวอย่างลึกซึ้ง (Tourist Insight) ข้อมูลเรียลไทม์จะช่วยให้ตามทันพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ทันที เช่น สามารถไขข้อสงสัยว่าเหตุใดนักท่องเที่ยวเกาหลีจึงเดินทางไปเชียงใหม่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเดือนธันวาคม ทำให้ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมรับมือได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถวัดผลแคมเปญการตลาดได้อย่างแม่นยำ ว่าการไปจัด Roadshow ที่เวียดนามนั้นคุ้มค่าและดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังภูเก็ตได้เพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ อีกทั้งยังช่วยให้ค้นพบพฤติกรรมเชิงลึก เช่น การระบุกลุ่มนักช้อปกำลังซื้อสูงที่เดินทางไปทั้งสยามพารากอนและตลาดนัดจตุจักร เพื่อนำไปต่อยอดกลยุทธ์การตลาดที่ตรงเป้าหมาย
มิติที่สอง คือการยกระดับการปฏิบัติการและโครงสร้างพื้นฐาน (Operation & Infrastructure) ลองจินตนาการถึงการใช้ข้อมูลความหนาแน่นเพื่อบริหารจัดการความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ ช่วยป้องกันความแออัดและวางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที ข้อมูลเดียวกันนี้ยังช่วยในการวางแผนระบบขนส่งสาธารณะ เช่น การจัดเตรียมรถชัทเทิลบัสให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละช่วงเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลในอดีตยังกลายเป็นเครื่องมือวางแผนอนาคตที่ช่วยให้คาดการณ์และเตรียมความพร้อมสำหรับเทศกาลหรือฤดูกาลท่องเที่ยวถัดไปได้อย่างแม่นยำ
มิติสุดท้าย คือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจท้องถิ่น (Local Economy Empowerment) ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล เราจะสามารถคำนวณการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวแต่ละสัญชาติ เพื่อวางกลยุทธ์ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญ เมื่อทราบถึงเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมแล้ว ก็จะสามารถส่งเสริม “ของดีประจำถิ่น” หรือ Local Gems ได้อย่างตรงจุด นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชนสู่สายตานักท่องเที่ยวได้โดยตรง เหมือนดังเช่นโครงการ “เชฟออนเทรน” (Chef on Train) ที่เป็นตัวอย่างของการกระจายรายได้และสร้างประสบการณ์อันน่าประทับใจไปพร้อมกัน
“ข้อมูลที่ดีต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ 1. ต้องแม่น 2. ต้องเร็ว และ 3. ต้องไม่แพง”

วันนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแนวคิดอีกต่อไป แต่ True ได้เริ่มนำร่องใช้ Mobility Data ในหลายพื้นที่แล้ว ทั้งในกรุงเทพฯ ขอนแก่น สงขลา และเชียงใหม่ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำขุมทรัพย์ข้อมูลนี้มาขับเคลื่อนธุรกิจและผลักดันให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของโลกได้อย่างยั่งยืนและชาญฉลาดกว่าที่เคยเป็น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
รัฐ-วิชาการ-เอกชน ใช้ ‘Mobility Data’ ปั้น 6 เส้นทาง ‘Cluster Tourism’ ดึงนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง
Bitkub จับมือ MapleStory Universe ผลักดันเกม Web3 ในไทย