อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคหลังโควิด-19 แม้เราจะเคยเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 40 ล้านคน และสร้างรายได้เป็นอันดับ 4 ของโลกในปี 2019 แต่ปัจจุบัน คู่แข่งใหม่ ๆ อย่างเวียดนามและญี่ปุ่นกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการนำเสนอ “ซัพพลายใหม่” ที่น่าดึงดูดใจ คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรักษาความเป็นผู้นำและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
คำตอบอาจอยู่ในผลการวิจัยชิ้นล่าสุดจาก “โครงการการกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเมืองน่าเที่ยวหรือเมืองรอง ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์จากการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณการใช้โทรศัพท์มือถือ” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย รองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม และผู้ช่วยคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเป็นแนวทางการพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทยที่ใช้ Big Data เป็นรากฐานในการพัฒนานโยบายเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Policy) เพื่อปลดล็อกศักยภาพของ “เมืองน่าเที่ยว” ทั่วประเทศ
ข้อมูลจากธนาคารโลกและองค์กรการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) ชี้ว่า ในปี 2562 ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศสูงถึงประมาณ 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจัดอยู่ใน อันดับที่ 4 ของโลก ตามหลังเพียงสหรัฐอเมริกา สเปน และฝรั่งเศส นับเป็นจุดสูงสุดที่แสดงถึงศักยภาพและความนิยมของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก
ปัญหาที่ซ่อนอยู่: รายได้กระจุกตัวและเมืองรองที่ถูกลืม
ดร.ณัฐพงศ์ ชี้ให้เห็นภาพที่น่ากังวลว่า รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยกว่า 87% กระจุกตัวอยู่ในเมืองหลักเพียงไม่กี่แห่งโดยกรุงเทพฯ เพียงจังหวัดเดียวครองส่วนแบ่งถึง 34% ในขณะที่เมืองรอง 55 จังหวัดทั่วประเทศได้รับส่วนแบ่งรวมกันเพียง 13% เท่านั้น
ความท้าทายหลักของเมืองรองคือ กิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวอาจยังไม่ดึงดูดพอให้นักท่องเที่ยวพักค้างคืนเป็นเวลานาน ส่งผลให้การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานไม่เกิดขึ้นเท่าที่ควร กลยุทธ์ที่หลายประเทศชั้นนำอย่างญี่ปุ่นนำมาใช้และประสบความสำเร็จคือ การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ (Cluster Tourism) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มจังหวัดใกล้เคียงที่มีศักยภาพเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเรื่องราว (Storytelling) และเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกัน ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ยาวนานขึ้นและคุ้มค่าต่อการลงทุน
ใช้ Big Data มองทะลุพฤติกรรมนักท่องเที่ยวอย่างที่ไม่เคยเห็น
หัวใจสำคัญของงานวิจัยชิ้นนี้ คือการนำข้อมูลการเดินทางจากโทรศัพท์มือถือ (Mobility Data) มาวิเคราะห์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) – สำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมด้วย ทรู คอร์ปอเรชั่น และ คลาวด์แอนด์กราวด์ โดยได้วิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 500 ล้านทริป และชาวต่างชาติ 30 ล้านทริป
ข้อมูลชุดนี้มีความละเอียดสูงถึงระดับพื้นที่ 1×1 ตารางกิโลเมตร และผ่านการคัดกรองอย่างรัดกุมเพื่อให้ได้ข้อมูลนักท่องเที่ยวที่แท้จริง เช่น คัดเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่เกิน 1 ชั่วโมง (ไม่ใช่แค่ขับรถผ่าน) และเดินทางมาเยือนจังหวัดนั้น ๆ ไม่เกิน 3 ครั้งต่อปี (เพื่อแยกออกจากผู้ที่เดินทางกลับบ้านหรือทำธุรกิจ) ทำให้ทีมวิจัยมองเห็นพฤติกรรมการเดินทางที่แท้จริงว่า “เมื่อคน ๆ หนึ่งออกเดินทางท่องเที่ยว เขาแวะที่ไหนบ้างในหนึ่งทริป”
ผลการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Network Analysis พบว่า ประเทศไทยมีเครือข่ายการท่องเที่ยวที่สามารถจัดกลุ่มได้ 25 คลัสเตอร์โดยเป็น คลัสเตอร์เมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ถึง 21 คลัสเตอร์ ทีมวิจัยได้คัดเลือก 6 คลัสเตอร์นำร่องจากแต่ละภูมิภาคเพื่อวิเคราะห์ในเชิงลึก ได้แก่

- ภาคเหนือ: เชียงใหม่ – ลำพูน – ลำปาง
- ภาคกลาง: สุพรรณบุรี – ชัยนาท – อุทัยธานี
- ภาคอีสาน: บุรีรัมย์ – สุรินทร์ – ศรีสะเกษ
- ภาคตะวันออก: จันทบุรี – ตราด
- ภาคตะวันตก: สมุทรสาคร – สมุทรสงคราม – เพชรบุรี – ประจวบคีรีขันธ์
- ภาคใต้: นครศรีธรรมราช – พัทลุง
ภาพสะท้อนจากข้อมูล: เปิด 5 มิติใหม่สู่การพัฒนาที่ตรงจุด
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกครั้งนี้ไม่ได้ให้แค่ตัวเลข แต่ได้วาดภาพภูมิทัศน์การท่องเที่ยวเมืองรองที่ชัดเจนและน่าสนใจในหลายมิติ เริ่มจากการช่วยระบุ “อัตลักษณ์ที่แท้จริง“ ของแต่ละพื้นที่ตามพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ทำให้การสร้างแบรนด์พื้นที่ (Area Branding) ไม่ได้เกิดจากจินตนาการอีกต่อไป แต่มาจากข้อมูลจริงที่ชี้ว่า คลัสเตอร์ภาคเหนือมีหัวใจอยู่ที่ “ย่านเมืองเก่าและโบราณสถาน” ขณะที่อีสานใต้มีแม่เหล็กเป็น “สนามกีฬาและปราสาทหิน” ข้อมูลนี้ยังลึกลงไปถึงการค้นพบ “ตัวตนของนักท่องเที่ยว” ที่โดดเด่นในแต่ละคลัสเตอร์ ซึ่งน่าประหลาดใจและท้าทายนโยบายแบบเหมาโหล (One-size-fits-all) อย่างสิ้นเชิง เพราะในขณะที่คลัสเตอร์ภาคเหนือดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวชายสูงวัยที่สนใจศิลปวัฒนธรรมและไปกระจุกตัวตามสนามกอล์ฟ คลัสเตอร์อีสานใต้กลับกลายเป็นแหล่งรวมคนรุ่นใหม่ที่สนใจเกมและอาหารการกิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแต่ละพื้นที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเข้าใจถึง “ที่ไป” และ “ใครไป” แล้ว ข้อมูลยังชี้ชัดถึง “การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานที่คุ้มค่า” โดยวิเคราะห์จากจุดที่นักท่องเที่ยวเลือกพักค้างคืน เพื่อกำหนดว่าเมืองใดควรเป็น “เมืองศูนย์กลาง” (Hub) สำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น พิพิธภัณฑ์หรือศูนย์ข้อมูล และเมืองใดเป็น “เมืองบริวาร” เพื่อพัฒนาการเชื่อมต่อ เช่นในคลัสเตอร์ตะวันตกที่ข้อมูลชี้ว่าสมุทรสาครมีศักยภาพเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่เส้นทางระหว่างเพชรบุรี-ประจวบฯ คือแกนหลักที่ควรลงทุนระบบขนส่ง แต่ดาบสองคมของการพัฒนาคือผลกระทบที่ตามมา ซึ่งข้อมูลนี้ทำหน้าที่เป็น “ระบบเตือนภัย Overtourism” ได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถระบุพื้นที่เสี่ยงที่มีความหนาแน่นสูงเกินไป เช่น ในพื้นที่ภาคตะวันออกที่พบว่าหาดคลองพร้าวมีความหนาแน่นของนักท่องเที่ยวสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 9 เท่า ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้ภาครัฐต้องเข้าไปบริหารจัดการเชิงรุกก่อนที่ทรัพยากรจะเสื่อมโทรม
และบางทีการค้นพบที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ “โอกาสใหม่ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว” เมื่อข้อมูลเปิดเผยว่านักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติมักนิยมเที่ยวในสถานที่แตกต่างกัน แม้จะอยู่ในคลัสเตอร์เดียวกันก็ตาม ตัวอย่างเช่น ในคลัสเตอร์ตะวันออก นักท่องเที่ยวต่างชาติจะมุ่งไปที่เกาะช้าง แต่คนไทยกลับเลือกดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ชุมชนริมน้ำจันทบูร หรือในภาคใต้ที่ชาวต่างชาติกระจุกตัวในเมืองเก่านครศรีธรรมราช แต่คนไทยกลับเดินทางไปไกลถึงแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในพัทลุง ปรากฏการณ์นี้อาจจะนำไปสู่แนวคิดแคมเปญ “Travel like ‘Thai Do” เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ลองสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวในแบบที่คนไทยนิยม ซึ่งไม่เพียงเป็นการเปิดซัพพลายใหม่ ๆ ให้กับตลาดโลก แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการกระจายโอกาสและรายได้ลงลึกสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง
จากงานวิจัยสู่การลงมือทำ: 3 หัวใจหลักสู่เมืองน่าเที่ยวที่ยั่งยืน
เพื่อนำผลวิจัยไปสู่การปฏิบัติ ทีมวิจัยได้ร่วมมือกับ The Cloud จัดกิจกรรมท่องเที่ยวต้นแบบในชื่อ “Roots to Roots” โดยออกแบบเส้นทางตามอัตลักษณ์ของแต่ละคลัสเตอร์ เช่น อาหาร (ภาคตะวันออก/ตะวันตก) ภูมิประเทศ (ภาคอีสาน/ใต้) และ วิถีชีวิต (ภาคเหนือ/กลาง)
ดร.ณัฐพงศ์ ทิ้งท้ายว่า การจะขับเคลื่อนให้เมืองรองกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ยั่งยืนได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภายใต้ 3 แนวคิดหลัก คือ 1.ทำให้เมืองน่าจดจำ (Memorable) สร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์มรดกดั้งเดิม และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์ 2.ทำให้เมืองง่ายดี (Livable & Accessible) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น ซึ่งจะส่งผลดีต่อนักท่องเที่ยวด้วย และ 3.ทำให้เมืองน่าค้นหา (Engaging) สร้างสรรค์กิจกรรม สินค้า และบริการที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยากอยู่นานขึ้นและกลับมาเยือนซ้ำ
ก้าวเล็กๆ จากงานวิจัยชิ้นนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทรงพลัง และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการทำนโยบายบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ (Evidence-Based Policy) ที่ทุกภาคส่วนสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง การใช้ข้อมูลเป็นเข็มทิศเช่นนี้ ไม่เพียงนำทางการท่องเที่ยวไทยไปสู่การเติบโตที่กระจายรายได้ แต่ยังสร้างความมั่นใจว่าทุกการลงทุนและการพัฒนาจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวของโลกได้อย่างสง่างามและยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Amity AI Labs ขึ้นอันดับ 1 ของโลกการพัฒนา Agentic AI ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลแบบหลายขั้นตอน
อนาคตข่าวไอทีในยุค AI: เมื่อนักข่าวต้องไม่ใช่แค่ผู้รายงาน แต่คือผู้สร้างตัวตนและคุณค่า