หลังคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด มีมติ 11 ต่อ 1 ให้ปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.75 – 5.00% ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่าน ซึ่งถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในรอบกว่า 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งถือเป็นระดับปรากฎการณ์ และมีแนวโน้มว่าจะลดอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ นักเศรษฐศาสตร์มองว่า ปัจจัยหนุนการตัดสินใจลดดอกเบี้ยเหนือคาดการณ์ของเฟดเพื่อประคองให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงแบบนิ่มนวลหลังตัวเลขว่างงานเพิ่มขึ้น
ทันทีเฟดประกาศลดดอกเบี้ย ที่บ้านเรามีเสียงเรียกร้องจากคนในรัฐบาลและภาคเอกชนให้แบงก์ชาติ ลดดอกเบี้ยทันทีโดยไม่มีข้อแม้ โดยยกเหตุผลว่าดอกเบี้ยเมืองไทยแพงไปแล้วเมื่อเทียบกับประเทศอื่น และการลดดอกเบี้ยจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน รวมไปถึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กระฉับกระเฉงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลเหมือนครั้งก่อนหน้า
กับกระแสกดดันระลอกใหม่ให้ แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยเสียที ผู้ว่าแบงก์ชาติ ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ได้ออกมาแสดงท่าทีระหว่างงานสัมมนา BOT Symposium 2024 หนี้ : The Economics of Balancing Today and Tomorrow ยังย้ำจุดยืนเดิมคือ ยังไม่ถึงเวลา (ลดดอกเบี้ยนะ) โดยเบอร์หนึ่งวังบางขุนพรหมยกเหตุว่า เงินบาทไม่ได้ผูกกับ ดอลลาร์สหรัฐฯตายตัว เช่น ฮ่องกง หรือ อีกหลาย ๆ ประเทศในตะวันออกกลาง ที่ต้องลดดอกเบี้ยตามเฟดทันทีแบบเธอไปไหนฉันขอตามไปด้วย
พร้อมกับย้ำด้วยว่า การขับเคลื่อนนโยบายการเงินของแบงก์ชาติ ยึดปัจจัยภายในเป็นสำตัญ โดยมองผ่าน 3 ปัจจัย ดังต่อไปนี้ หนึ่ง แนวโน้มเศรษฐกิจว่าสามารถเติบโตได้ถึงศักยภาพหรือไม่ สอง อัตราเงินเฟ้อจะเข้ากรอบเป้าหมายหรือไม่ และ สาม เสถียรภาพด้านการเงิน ส่วนการเปลี่ยนแปลง ดอกบี้ยของ ธนาคารกลางขนาดใหญ่ซึ่งมีผลกระทบต่อภาพรวม แบงก์ชาตินำมาคิดคำนึงประกอบเช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะคำนึงผ่าน 3 ปัจจัยตามที่กล่าวข้างต้น
ดร.เศรษฐพุฒิยังบอกด้วยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่แบงก์ชาติประเมินไว้ครั้งก่อน และได้ย้ำจุดยืนว่าด้วยการแก้ปัญหาหนี้ว่า การลดดอกเบี้ย ผลอาจไม่ได้มากเท่าปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่ ธปท.ดำเนินการ ดอกเบี้ยเป็นยาที่กระทบวงกว้างหลายด้านการใช้ยาเฉพาะจุด ตรงจุด จะเหมาะสมกว่า
ท่าทีดังกล่าวชัดเจนว่า จะยังไม่เห็นการลดดอกเบี้ยจากแบงก์ชาติในเร็ว ๆ นี้ ตามกระแสกดดันทางการเมืองแม้มีสำนักวิเคราะห์บางแห่งที่ออกมาคาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% โดยอ้างเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ
การเผชิญหน้าระหว่างแบงก์ชาติกับรัฐบาลว่าด้วยทิศทางดอกเบี้ยปะทุมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วหรือคล้อยหลังตั้งรํฐบาลเศรษฐาไม่นาน โดยสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมาบางจังหวะตรึงเครียดสุดๆ ถึงขนาด เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ขณะนั้น ซัดแบงก์ชาติว่าอย่าถือทิฐิมากเกิน
หรือ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาอ่านประกาศว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ” จนชื่อเธอกระฉ่อนไปทั้งโลก และบางจังหวะ ก็ผ่อนคลายแบบพักรบ แต่ล่าสุดความตรึงเครียดกำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระให้สัมภาษณ์มติชน (22 ก.ย. 67) ต่อสถานการณ์ดังกล่าวไว้น่าสนใจว่า หากรัฐบาลกับแบงก์ชาติมองทิศทาง (ดอกเบี้ย) ไปในทิศทางดียวกัน จะมีอันตรายมากกว่า เพราะการบริหารการคลังจะใช้งบประมาณเยอะ แต่การเงินจะใช้อย่างประหยัดมากกว่า หากเออ ออไปด้วยกัน เจ๊งแน่ มองในแง่ดี แบงก์ชาติกับรัฐบาลมีการทะเลาะกันบ้างถือว่าดี เกิดการถ่วงดุลการใช้นโยบายการเงินและการคลัง เพียงแต่ทะเลาะกันอย่าถึงขั้นตบตีก็พอ..
ดร.สมชาย วิเคราะห์ว่า การที่แบงก์ชาติให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยเป็นตัวกำหนดว่า ทิศทางดอกเบี้ยควรจะไปทางไหน หนึ่ง คือ เศรษฐกิจแย่ลงหรือไม่ แต่แนวโน้มเศรษฐกิจยังดีขึ้น สอง เงินเฟ้อแม้ปรับลดจริง แต่ต้องติดตามผลหลัง รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงินสด 1 หมื่นบาท (ให้กลุ่มเปราะบาง 14. 5 ล้านคนก่อน) จะมีผลกดดันเงินเฟ้อขนาดไหน และ สาม กรอบวินัยการเงินการคลังที่หนี้สาธารณะขึ้นไปที่ระดับ 62% ต่อจีดีพี ส่วนปี 2568 จะขึ้นไปที่ 65% ต่อจีดีพี ซึ่งเดิมไม่ควรเกิน 60%
ก่อนสรุปว่าเมื่อสามสัญญาณที่แบงก์ชาติให้น้ำหนักในการกำหนดทิศทางดอกเบี้ย ข้างต้นยังไม่ชัดเจน ประกอบกับแบงก์ชาติเองมองว่า บริบทในต่างประเทศเทียบกับประเทศไทยไม่เหมือนกัน ตนเองประเมินว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ คงยังไม่มีการลดดอกเบี้ยรอไปว่ากันใหม่ปีหน้า 2568 ซึ่งถือว่าไม่นานเกินอีก 3 เดือนเศษ ๆ เอง
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
การเมืองไทยคลุมเครือ คือความเสี่ยงของจีดีพี