การลงทุนเป็นวิธีการสร้างความมั่งคั่งที่สามารถให้ผลตอบแทนที่มากกว่าเงินออมในระยะยาว การลงทุนในสินทรัพย์จำพวกหุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์ดิจิทัล จึงมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของมูลค่าตลาดและการจ่ายปันผล ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องและเพิ่มโอกาสในการเติบโตของทรัพย์สินในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อมีการจัดพอร์ตการลงทุนอย่างรอบคอบ
ในงาน BITKUB SUMMIT 2024 มีการวิเคราะห์การเจาะลึกเรื่องหุ้นโดยเฉพาะในหัวข้อ “SET & The Future of the Economy ตลาดหุ้นไทยในปี 2025 เศรษฐกิจก้าวกระโดด โอกาสของนักลงทุน” จากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนคุณประภัส สิริวัฒนเกตุ นักกลยุทธ์การลงทุนรวมถึงกรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์, วิชัย วชิรพงศ์ (เสี่ยยักษ์) นักลงทุน, ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ผู้ก่อตั้งเพจ “ปป รวยกว่าย่อมดีกว่า” และเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง FINNOMENA จับเป็นสาระสำคัญได้ดังนี้
อนาคตของตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ภาพรวมของของตลาดหุ้นไทย ต้องตั้งต้นไปที่เศรษฐกิจของประเทศ หากวิเคราะห์ตลาดหุ้นในเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมา 10 ปี GDP ของประเทศไทยเติบโตประมาณ 4% ซึ่งเติบโตน้อยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ อย่างอินเดีย เวียดนาม หรือจีน ซึ่งมี GDP เติบโตมากกว่า 5% แต่ในปัจจุบันประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการหวังกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการต่าง ๆ ได้แก่
- ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อให้คนนำเงินเข้ามาใช้ในประเทศมากขึ้น
- การมาของกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนรวมวายุภักษ์ กองทุนรวมพิเศษที่ตั้งขึ้นมาเพื่อตอบสนองนโยบายภาครัฐ หรือกองทุนกบข. กองทุนการออมเงินเพื่อการเกษียณอายุ พร้อมการลดหย่อนภาษีได้รองรับสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นสังคมผู้ สูงอายุ
- ปรับนโยบายทางการเงิน เพื่อฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินของประเทศ ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ภาครัฐบาลและเอกชน ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เกิดการบริโภคและเกิดการลงทุนภายในระบบ
ประภัส สิริวัฒนเกตุ นักกลยุทธ์การลงทุน กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ เรียกสถานการณ์นี้ว่า “เศรษฐกิจไทยเหมือนเป็นมะเร็งระยะที่สอง ในช่วงแรกจะเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่เป้าขาด เอ็นจะฉีก” ในมุมของนักวิเคราะห์หมายถึง ความผิดพลาดของนโยบายของภาครัฐ ที่เก็บแรงไว้ดำเนินการเรื่อง Digital Wallet แต่ทำไม่สำเร็จเนื่องจากให้งบประมาณสูง และธนาคารกลางที่ทำแผนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อที่จะพยุงเศรษฐกิจ ลดปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งในปีที่ผ่านมาคุมได้ประมาณ 6 – 8 หมื่นล้านบาท (จัดว่าแก้ปัญหาได้ไม่ดีเท่าที่ควร) แถมสินเชื่อธนาคารพาณิชย์หายได้ราว 140,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการไปกู้หนี้นอกระบบของประชาชน
ในปีนี้รัฐบาลจึงมีการปรับนโยบายใหม่ในการใช้งบประมาณปี 2568 (ประมาณ 3.75 ล้านล้านบาท) ในการกระตุ้น GDP ของประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น 3% นั่นเป็นสาเหตุให้เกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดดในตลาดหุ้นไปจนถึงช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 ในขณะเดียวกันการใช้งบประมาณมากมหาศาลนี้มาจากกู้เต็มจำนวนของภาครัฐบาล ส่งผลให้งบประมาณในปี 2569 -2570 มีงบประมาณคลุมเคลืออยู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเป้าขาด เอ็นจะฉีกของเศรษฐกิจไทย ยกเว้นว่าในอนาคตจะมีการจัดสรรงบประมาณที่มั่นคงกว่านี้ได้ ซึ่งเห็นสอดคล้องกับมุมของนักธุรกิจอย่าง ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ผู้ก่อตั้งเพจ “ปป รวยกว่าย่อมดีกว่า” เช่นกัน
ทางด้านวิชัย วชิรพงศ์ (เสี่ยยักษ์) นักลงทุนก็เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ส่งผลกับดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่ลดลงต่ำกว่า 1,300 จุดอย่าง ซึ่งมาจากนโยบายต่าง ๆ ข้างต้น อย่างเรื่องธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลง จะมีหุ้นบางกลุ่มประเภทที่ได้รับประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้อย่างแน่นอน ที่ผ่านมาช่วงที่เกิดเหตุการณ์ดัชนีตลาดหุ้นของไทยปรับจาก 1,200 มาเป็น 1,500 เป็นจังหวะที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบเเทนจากหุ้นไปแล้ว แม้จะหว่านซื้อหุ้นในภาพรวมของตลาดก็ตาม แต่อนาคตควรเน้นไปที่การจัดสรรพอร์ตการลงทุน เลือกลงทุนหุ้นบางตัวมากกว่า
เจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง FINNOMENA เสริมว่า ภาครัฐบาลและธนาคารกลางจะเข้ามามีส่วนในการเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นอย่างมาก เช่น การมีกองทุนไทย ESG ขึ้นมา โดยกองทุน Thai ESG คือกองทุนรวมส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย ทีมีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ จากผู้ออกตราสารที่มีความโดดเด่นในด้านปัจจัยสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) ตามหลักกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (SRI Fund) ข้อดีคือมีสิทธิพิเศษให้ผู้ลงทุนสามารถนำจำนวนเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ หรืออีกนโยบายบังคับเก็บภาษีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศราว 35% เท่ากับว่าเป็นการพยายามดึงเงินเข้ามาหมุนเวียนเศรษฐกิจในประเทศไทยมากขึ้นนั่นเอง
กองทุน/หุ้นบางประเภท ที่พิจารณาตาม Framework จะกลายเป็นโอกาสในการลงทุน
ถ้ามองไปที่อนาคตการลงทุนในตลาดหุ้น Wake up call ที่สำคัญคือ “การลงทุนอย่างไรให้ไม่โดนภาษีมากเกินควร” ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีโดยมี Framework การลงทุนเป็นหลักการสำคัญในการใช้ร่วมพิจารณาด้วย ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ Framework การลงทุนกันก่อน
ดร.พงศ์ธร บอกว่าจากวาง Framework การลงทุน คือการพิจารณา “STEEG”
- S (Social) : พิจารณาความเสี่ยงและเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสังคม เช่น การเข้าสู่ภาวะผู้สูงอายุ หรือการโยกย้ายถิ่นฐานของแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาในไทย เหล่านี้จะช่วยให้เราวิเคราะห์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้ชัดเจนขึ้น อาจเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการแพทย์ สุขภาพ หรือการศึกษาเนื่องจากการเข้ามาของแรงงานต่างประเทศจะมีผลกับอัตราการจ้างงานของคนไทย การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจึงเป็นเรื่องสำคัญ หรือธุรกิจแหล่งที่อยู่อาศัยตามทำเลเมืองต่าง ๆ
- T (Technology) : เทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ Data Center, Blockchains และ AI ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมาก อาจดูอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งห่วงโซ่ตั้งแต่การผลิต การติดตั้ง การควบคุมดู และการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านั้น
- E แรก (Economic) : เรื่องอัตราดอกเบี้ยของประเทศส่งผลกับสภาพคล่องทางเศรษฐกิจมากแค่ไหน มีโอกาสที่เงินจะไหลเข้ามาในประเทศหรือไม่ เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ประกอบด้วย 15 ประเทศสมาชิก รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนครอบคลุมเกือบ 30% ของ GDP โลก เท่ากับว่าจะต้องมีการลงทุนในประเทศต่างๆ อยู่อย่างเเน่นอน สามารถสังเกตได้จากการสนับสนุนทางภาครัฐและเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้
- E ที่สอง (Environment) : เนื่องจากการประกาศกฎหมายอย่าง Cabon Nutral และเป้าหมาย Net Zero ให้เป็นข้อบังคับของธุรกิจ จะทำให้ภาคธุรกิจหันมาโฟกัสเรื่องสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อุตสาหกรรมประเภทหุ้นโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ต่าง ๆ ประเภทกลุ่มหุ้น Infrastructure โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น Data Warehouse แหล่งเก็บข้อมูลที่สร้างจากกระบวนการรวบรวม จัดเก็บ และจัดการข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อที่จะเก็บข้อมูลไว้เป็นส่วนกลาง (Centralized Repository) ก็อาจเติบโตขึ้นได้เช่นกัน
- G (Geopolitical) : Globalization shifts to regionalization เป็นการเปลี่ยนจาก Globalization หรือการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ให้เป็น Regionalization คือยุคภูมิภาคาภิวัตน์ สังเกตจากข้อตกลงการค้าเสรีระดับภูมิภาคของ 15 ประเทศในนาม Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) แสดงถึงความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน (Integrated supply chain) และการเกื้อกูลกันในด้านทรัพยากร (complementary trade) ที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค นักลงทุนจึงต้องสักเกตการเปลี่ยนแปลงและปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรับความเสี่ยงสร้างผลตอบแทนได้อย่างเหมาะสม
หลังจากที่รู้เรื่อง Framework การลงทุน เเล้วสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคือการลงทุนในหุ้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พลังงานสะอาด และสถาบันการเงินหรือกลุ่มบริหารสินทรัพย์ เนื่องจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลงกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้ผลประโยชน์สูง แต่ต้องหมั่นติดตามผลประกอบการอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนหุ้นภายในประเทศ เลี่ยงการเสียโอกาสจากการเรียกเก็บภาษี แต่หากอยากลงทุนในหุ้นต่างประเทศจริง ๆ สามารถลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ผ่าน “DR” Depositary Receipt คือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศพื่อให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ในรูปแบบของสกุลเงินบาท และ “DRx” Fractional Depositary Receipt เป็นการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถซื้อขายเป็นหน่วยย่อยได้ ซึ่งเหล่านี้จะเป็นการลงทุนที่ได้รับการระเว้นการเก็บภาษีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ อีกอย่างที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมคือในอนาคตโอกาสการลงทุนจะมาในรูปแบบของการเปิดตลาดหุ้นไทยให้ซื้อขายได้แบบเรียลไทม์ เท่ากับว่าเปิดขายในช่วง 1 ทุ่มจนถึงตี 3 ได้
เจษฎาจาก FINNOMENA เเนะนำว่าเน้นย้ำว่า “การลงทุนจากนี้ไปจะเป็นลักษณะขึ้นให้ขายลงให้ซื้อ” ส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศให้เน้นกระจายความเสี่ยงไปที่กองทุนหุ้นเวียดนาม (เติบโต 2 เท่าจากปีก่อนหน้า) กองทุนหุ้นอิเดีย (เติบโต 2.5 เท่าจากปีก่อนหน้า) และหุ้น Big Tech (เติบโตกว่า 3 เท่าจากปีก่อนหน้า) รวมถึงหุ้นประเภทสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย ทางด้านวิชัย แนะว่า ให้เน้นจัดสรรสัดส่วนพอร์ตการลงลงมากกว่าซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม ขายหุ้นตัวบนไปเพิ่มมูลค่าหุ้นตัวล่างแทน
ปิดท้ายด้วยประภัส ที่ชี้ว่าปี 2568 เป็นปีที่เหมาะกับการลงทุนเพราะรัฐบาลสนับสนุนการลงทุน ส่งผลในตลาดหุ้นเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ถ้ารัฐบาลไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันให้รีบประเมินความเสี่ยงในการลงทุนใหม่ทันที และระวังเรื่องการ “มาช้าแล้วได้จ่ายรอบวง” คือการเข้าซื้อหุ้นในขณะที่เกิดการปั่นกระแสข่าวเพื่อปรับราคาหุ้น เพราะถ้าเข้าไปซื้อเมื่อสายเกินไปจะมีความเสี่ยงสูง ให้ปรับพอร์ตเน้นลงทุนแบบ DCA ประเมินความเสี่ยงในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2568 พิจารณาหุ้นบริษัทขนาดเล็กและปานกลางบางตัวที่อาจเติบโตได้อย่ารวดเร็ว หากดักจับจังหวะการลงทุนได้อย่างเฉียบคมจะทำให้เกิดผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นได้ไม่ยาก
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Nvidia เตรียมบุกไทย! “เจนเซน หวง” ซีอีโอเยือนกรุงเทพฯ ธันวาคมนี้
บีคอน วีซี จับมือ GGGI หนุนสตาร์ตอัพด้าน Climate Tech ในไทย
AI พลิกโฉมอนาคตไทย เปิดประตูสู่เศรษฐกิจยั่งยืน ในงาน “AI Thailand Forum 2024”