Share on
×

Share

มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ เบื้องหลังกลยุทธ์สร้างทีมที่ตอบโจทย์ธุรกิจสไตล์ Sea Thailand

จากธุรกิจสตาร์ตอัพในอุตสาหกรรมเกมออนไลน์ที่สร้างชื่อติดตลาดอย่าง การีนา (Garena) ต่อยอดสู่การให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอันดับต้น ๆ ของประเทศ ช้อปปี้ (Shopee) ธุรกิจบริการการเงิน ซีมันนี่ (SeaMoney) และยังเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ร่วมยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) เป็นเหตุให้ The Story Thailand อยากชวนสนทนากับ มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ซีอีโอหญิง ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาอาณาจักร Sea (ประเทศไทย) ซึ่งมีธุรกิจดิจิทัลในเครือหลากหลายประเภท เพื่อร่วมแบ่งปันประสบการณ์ด้านการพัฒนาคน พัฒนาธุรกิจ ผ่านมุมมองของความเท่าเทียมและความยั่งยืน

ฟอร์เรส ลี (Forrest Li) ผู้ก่อตั้ง Sea Limited เป็นเพื่อนสมัยเรียนที่สแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา เราคิดกันจนได้ข้อสรุปเป็นธุรกิจเกมตอนปี 2552 เมื่อทำสำเร็จก็ไม่อยากหยุดอยู่แค่นี้ ประกอบกับทางจีนเกิดธุรกิจใหม่ด้านการซื้อขายออนไลน์และดิจิทัลวอลเลต ที่ตลาดฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่แพร่หลาย จึงเป็นจุดพลิกผันสู่การทำธุรกิจการเงินดิจิทัลในปี 2557 และอีคอมเมิร์ซในปี 2558”

Sea (ประเทศไทย) ในสมรภูมิธุรกิจ

ธุรกิจเกม Garena ธุรกิจแรกของ Sea (ประเทศไทย) ซึ่งดำเนินงานมายาวนานเกินกว่า 10 ปี จนเรียกได้ว่า มีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในทิศทางตลาดของไทย จนสามารถผลักดันทั้งตัวเกมและกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การีนามีสตูดิโอพัฒนาเกมที่กำลังเป็นที่นิยมระดับโลกอยู่ที่ประเทศจีน ความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายทำให้การีนาสามารถคัดเลือกเกมที่เหมาะสมกับตลาดเข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทย ทั้งยังสามารถ Localize ทำแคมเปญ จัดโปรโมชัน จัดทัวร์นาเมนต์การแข่งขันอีสปอร์ตต่าง ๆ เพื่อเพิ่มเอนเกจเมนต์และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับคอมมูนิตี้ สุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นเป้าหมายสูงสุดคือทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่ราบรื่นที่สุดและมีความสุขกับการเล่นเกม

“ความเข้าใจลักษณะตลาด ความต้องการของผู้ใช้งาน และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้เราสามารถพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง การจับตามองเทรนด์ใหม่ ๆ ว่าสิ่งไหนเหมาะกับการนำมาพัฒนาต่อยอดเกมก็มีความสำคัญ เช่น เมตาเวิร์ส ซึ่งตอนนี้อาจจะยังเร็วไปสำหรับประเทศไทย แต่อาจจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นใน 2-3 ปีข้างหน้า”  

สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Shopee การแข่งขันในตลาดประเทศไทยถือว่า ดุเดือดและเข้มข้นจากการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ การรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดจึงต้องไม่หยุดนิ่งในการเป็นผู้ริเริ่มไอเดียทางธุรกิจใหม่ ๆ ฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมเข้าไปในแพลตฟอร์ม และที่สำคัญที่สุด คือ การเข้าใจผู้ใช้งานแพลตฟอร์มทั้งฝั่งผู้ซื้อ ผู้ขาย และคู่ค้าธุรกิจ เพื่อสร้างบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการให้มากที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้น ตลาดอีคอมเมิร์ซในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน ทำให้การดำเนินธุรกิจมีความแตกต่างกันโดยเฉพาะในช่วงที่ Sea เพิ่งเริ่มให้บริการ Shopee เช่น ผู้คนในไต้หวันมีความคุ้นชินกับการชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลมากกว่า จึงทำให้เปิดรับบริการอีคอมเมิร์ซง่ายกว่า สามารถขยายฐานผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ประเทศไทยนั้น ผู้คนยังไม่ไว้วางใจในการซื้อขายและชำระเงินบนช่องทางดิจิทัล และมีผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซอยู่หลายแพลตฟอร์มและยังไม่มีใครเป็นผู้นำตลาด แพลตฟอร์มต่าง ๆ จึงต้องขยายตลาดและอยู่ในลักษณะที่เติบโตไปพร้อม ๆ กัน แต่อัตราการเติบโตก็จะต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าแพลตฟอร์มใดเข้าใจผู้ใช้งานและปรับตัวได้ดีกว่ากัน 

“มีการคาดการณ์ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยในปี 2567 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยราว 2.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐมาจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 19 จากปีก่อน แนวโน้มการเติบโตที่มีต่อเนื่องทำให้มีการพัฒนาบริการและฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม ทั้งด้านการชำระเงินและโลจิสติกส์ที่ตอบความต้องการผู้ใช้งานได้ดีขึ้น”

สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวกับการเงินดิจิทัลของ Sea เริ่มต้นจากการเห็นความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองของผู้ใช้งาน จึงค่อย ๆ มีบริการด้านการชำระเงินและกระเป๋าเงินออนไลน์ จนในปัจจุบันมีการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของกลุ่มคนตัวเล็กหรือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสให้สามารถเข้าถึงบริการการเงินที่เท่าเทียมกัน แทนการพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูง (Shark Loan) นอกจากนี้ก็ ยังเป็น 1 ใน 5 กลุ่มบริษัทที่ร่วมยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการ Virtual Bank ด้วย 

5 คุณค่าหลักสร้างทีมให้แมตซ์กับธุรกิจ

เนื่องจาก Sea เริ่มต้นจากการเป็นสตาร์ตอัพ ในช่วงแรกจึงให้ความสำคัญกับการสร้างธุรกิจ สร้างทีม และการระดมทุน ดังนั้นการสร้างคุณค่าหลัก (Core Value) หรือวัฒนธรรมองค์กรจึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกนึกถึงในตอนเริ่มต้น กระทั่งปี 2557-2558 เป็นปีที่องค์กรมีการจัดการและปรับเปลี่ยนในหลายเรื่อง หลังจากพิจารณาแล้วว่า หากต้องการให้ธุรกิจสามารถเติบโตต่อไปได้ จำต้องมีการกำหนดกรอบและแนวทางการพัฒนาองค์กร การคัดเลือกบุคลากรที่เหมาะกับวัตถุประสงค์และทิศทางธุรกิจในอนาคต 

เริ่มจากการกำหนด “พันธกิจองค์กรใหม่” ในการเป็นองค์กรที่ให้บริการทางเทคโนโลยีเพื่อทำให้ทุกคนมีความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เฉพาะสำหรับคนทั่วไปแต่หมายรวมถึงธุรกิจรายย่อยด้วย หรือ “To better the lives of individuals and small business with technology.” ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดธุรกิจ Shopee และ SeaMoney แพลตฟอร์มที่ช่วยให้คนกลุ่มเล็ก ๆ ได้มีโอกาสเติบโต รวมถึงการออกแบบ คุณค่าหลักองค์กร (Core Values) รวม 5 ตัว ได้แก่  We serve (มีใจบริการ) We run (วิ่งให้เร็ว ก้าวให้ทัน) We adapt (รับมือการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เป็น) We commit (มีความรับผิดชอบ) และ We stay humble (อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ)

“เราใช้คุณค่าหลักทั้ง 5 ตัว เป็นฐานในการเดินหน้าธุรกิจ เป็นหลักในการคัดเลือกคน การประเมินคน เพื่อสร้างทีมงานและผู้นำทีมที่เหมาะกับคาแรกเตอร์ธุรกิจ และพร้อมเดินไปในเส้นทางเดียวกับเรา ซึ่งถือว่ามาถูกทาง เพียงแต่ต้องมีการปรับแต่งหรือออกแบบวัฒนธรรมย่อย (Sub-Culture) ไปตามคาแรกเตอร์ของคนทำงานในแต่ละทีม แต่ละธุรกิจ”

ยกตัวอย่าง คาแรกเตอร์ทีม Garena ที่รับผิดชอบธุรกิจเกม จะค่อนข้างมีแพสชันสูงในการเล่นและศึกษาเกมหลากหลายประเภททั้งของการีนาและคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นเกมเชิงกลยุทธ์ เกม MOBA ที่แข่งขันเป็นทีม เกม Battle Royale เอาชีวิตรอด หรือเกม MMORPG ที่ผู้เล่นต้องเล่นไปตามบทบาทภายในเกม ทั้งนี้ก็เพื่อทำความเข้าใจว่าผู้ใช้งานกำลังมองหาหรืออยากได้อะไรจากเกม 

ขณะที่ทีมอีคอมเมิร์ซ Shopee จะให้ความสนใจศึกษาเทรนด์โลกโดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ เช่น คอนเทนต์ มีม การไลฟ์สด ดารา อินฟลูเอนเซอร์ ผู้นำความคิดที่กำลังเป็นที่สนใจบนโซเชียลมีเดีย เพื่อมาประกอบแนวทางการทำแคมเปญการตลาดหรือผลิตภัณฑ์ 

ส่วนทีมงานที่ดูแลด้าน Financial Services ซึ่งเป็นธุรกิจการเงินที่ต้องมีความรัดกุมและปลอดภัยสูง จึงต้องคัดเลือกคนที่ละเอียด มีวิธีคิดเชิงตรรกะค่อนข้างสูง มีความเข้าใจงานหลังบ้านพอสมควรในการเช็คสอบปัญหา อย่างการตรวจสอบการหลอกลวงหรือฉ้อโกงที่ปรากฏในขั้นตอนการใช้งานต่าง ๆ ในระบบ และดำเนินการแก้ไข 

เคล็ดลับ 4E รวมคน-องค์กรเป็นหนึ่งเดียว

Sea Thailand team work

นอกจาก 5 คุณค่าหลักในการคัดเลือกคนที่มีทักษะที่ถูกต้อง มีชุดความคิดที่ถูกต้อง และมีเป้าหมายเดียวกันกับธุรกิจแล้ว สิ่งสำคัญต่อมา คือ การหลอมรวมพวกเขาให้รู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท และมีแพสชันในการสร้างธุรกิจร่วมไปกับองค์กรด้วย เคล็ดลับ 4E คือ Engagement, Excitement, Empowerment และ Empathy

Engagement การทำให้พนักงานรู้สึกว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของการทำสิ่งที่สำคัญ ที่ไม่ใช่เป็นแค่ฟันเฟืองเล็ก ๆ ในองค์กร แต่เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่สามารถเสนอความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ และเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่วันแรกของการทำงาน 

Excitement การสร้างความรู้สึกตื่นเต้นต่องานที่ทำ ทำให้พวกเขาอยากผลักดันตัวเองในการสร้างคุณค่าหรือทุ่มเททำงาน เพื่อมุ่งให้เกิดผลกระทบบางอย่าง ซึ่งเป็นแนวทางที่ตรงกับคาแรกเตอร์ของเด็กรุ่นใหม่โดยเฉพาะเจนซี

Empowerment การเปิดเวทีให้แสดงความสามารถภายใต้กรอบที่กำหนดไว้อย่างกว้าง ๆ เช่น วัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่ต้องการ ให้โอกาสพนักงานรุ่นน้องซึ่งมีไอเดียสดใหม่ได้ออกแบบโพรเจกต์ โดยมีรุ่นพี่คอยปรับจูนหาจุดเชื่อมระหว่างความคิดฝันกับความจริงที่เป็นไปได้ จนตกผลึกเป็นฟีเจอร์ใหม่ ๆ แคมเปญใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลจริง 

ตัวอย่างเช่น การชนะเลิศการออกแบบมาสคอต (Mascot) ชื่อว่า “โชกี้” จากต้นแบบสุนัขพันธุ์คอร์กื้ ซึ่งมาจากไอเดียของน้องในทีม Shopee ไทย และถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของ Shopee ในระดับภูมิภาค หรือการเชิญนักเตะระดับโลก ไมเคิล โอเวน มาร่วมเล่นฟุตบอลกับเด็กไทยเพื่อโปรโมตเกมฟีฟ่าออนไลน์ ซึ่งคนรุ่นเก่าอาจไม่ทันนึกถึงหรือคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้  

Empathy การทำงานด้วยความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ไม่เอาความสำเร็จของโพรเจกต์เป็นตัวชี้วัดเดียวว่า คน ๆ นั้น มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดี เพราะบางโพรเจกต์ที่ล้มเหลวอาจไม่ได้เกิดจากคนทำงานไม่มีประสิทธิภาพ แต่เป็นเพราะผลกระทบจากปัจจัยภายนอก 

ว่าด้วยเรื่องวัฒนธรรมแห่งความล้มเหลว

วัฒนธรรมองค์กรอย่างหนึ่งที่ Sea ให้ความสำคัญ คือ “วัฒนธรรมแห่งความล้มเหลว (Failure Culture)” เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมคิดวิเคราะห์ว่า ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เกิดจากตัวโพรเจกต์ ระบบ หรือบุคคล หากเป็นตัวบุคคลก็พร้อมให้โอกาสปรับเปลี่ยนงานตามความเหมาะสม โดยไม่ผูกเรื่องของรางวัลหรือผลตอบแทนไว้แค่ผลสัมฤทธิ์ของงาน 

Sea Thailand team work

“พนักงานคนใดที่อยู่ในโพรเจกต์ที่ไม่สำเร็จแต่แสดงให้เห็นว่า ตั้งใจทำงานเต็มที่ มีการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะได้รับรางวัลตอบแทนที่เหมาะสมกับความพยายามเช่นกัน เพื่อให้พวกเขายังคงกล้าคิด กล้าทำงานอย่างทุ่มเทเต็มที่เสียก่อน และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร ทุกคนจะอยู่เคียงข้างและร่วมกันแก้ไขปรับปรุงโดยไม่ชี้นิ้วว่า ใครถูกใครผิด ซึ่งวัฒนธรรมที่เป็น Failure Culture นี้ ทำให้การทำงานในองค์กรเหมือนอยู่กันแบบพี่น้อง สามารถแบ่งปันไอเดีย และสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ร่วมกันเสมอมา”

นอกจากนั้น การทำงานที่นี่ไม่มี Career Path สำเร็จรูปที่ตายตัว รุ่นพี่อาจจะเป็นผู้วางจุดตั้งต้นและชี้แนะในบางเรื่อง แต่ทุกคนจะต้องออกแบบเส้นทางสร้างความก้าวหน้าในอาชีพด้วยตัวเอง ซึ่งพบว่าบางคนพอใจกับการทำงานตรงจุดเดิม ไม่สนใจที่จะถูกโปรโมตไปเป็นผู้บริหาร ขณะที่บางคนพร้อมที่จะไปให้ไกลกว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่ การบริหารคนจึงอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า “People Team” แทนที่จะเรียกว่าเอชอาร์ โดยองค์กรจะไม่ออกแบบโครงสร้างงานบุคคลเป็นระบบแบบ 1-2-3-4 แล้วทุกคนเดินตาม แต่เป็นการประเมินว่า แต่ละคนทำงานเป็นอย่างไรและปรับจูนระบบให้เข้ากับพวกเขามากกว่า รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานแบบเพื่อนแบบพี่น้อง มีการทำงานหลาย ๆ ฟังก์ชันที่ให้โอกาสทุกคนได้ทดลองหมุนเวียนเปลี่ยนงาน ซึ่งเป็นแนวทางในการรักษาคนดีและคนเก่งให้อยู่กับองค์กรให้มากที่สุด

“เราไม่กลัวถ้าพวกเขาเก่งขึ้นแล้วจะออกไปทำงานที่อื่น เพราะโดยแพสชันส่วนตัวค่อนข้างภูมิใจมากกว่าที่ได้ปั้นพวกเขาขึ้นมา เราพยายามดูแลคนของเราให้ดีที่สุดตอนที่เขายังทำงานกับเรา และจากลากันด้วยดี โดยไม่คิดว่าพวกเขาต้องโตอยู่กับเราเท่านั้น น้อง ๆ หลายคนที่เติบโตมาด้วยกันแต่มีเหตุบางอย่างให้ต้องแยกย้ายไปทำงานที่อื่น สุดท้ายกลับมาเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมธุรกิจกันก็มี หรือเมื่อองค์กรมีตำแหน่งงานที่เหมาะสมและอยากกลับมา เราก็ยินดี”

ปั้นองค์กรเทคในใจคน Gen ใหม่

ปัจจุบัน พนักงานที่ทำงานเต็มเวลาของ Sea (ประเทศไทย) มีจำนวนหลายพันคน อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 28 ปี อายุสูงสุด คือ 40 ปี เป็นคนรุ่นปลายเจนเอ็กซ์ต่อเจนวาย อายุน้อยที่สุด คือ 18-19 ปี เป็นเด็กเจนซีจบใหม่ โดยกลุ่มที่ทำงานส่วนหน้าประมาณ 30-40% เป็นเด็กเจนซี ขณะที่ในทีมบริหารส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นเจนวาย อย่างไรก็ตาม ระยะห่างของอายุไมได้ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยในการทำงานมากนัก วิธีการ คือ การพยายามทำความเข้าใจคาแรกเตอร์และความต้องการของคนรุ่นต่าง ๆ ทำความเข้าใจวิธีคิดจากมุมของพวกเขาก่อนและสื่อสารอย่างรับฟังว่า อีกฝ่ายต้องการอะไร ไม่ใช่การสื่อสารแต่สิ่งที่องค์กรหรือผู้นำทีมต้องการ

มณีรัตน์ กล่าวว่า คนทำงานรุ่นใหม่มักมองหาสิ่งจูงใจในการทำงานอยู่ 3-4 อย่าง อาทิ ความต้องการที่จะได้รับโอกาสหรือพื้นที่ในการแสดงความคิดสร้างสรรค์ มีความคาดหวังให้สิ่งที่ตัวเองทำสามารถสร้างผลกระทบบางอย่าง การแสวงหาสมดุลในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) และมีความเป็นเจ้าของต่อความคิดและงานที่ตนเองได้กระทำสูง (Ownership) 

“คนเจนวายชอบที่จะได้เสนอความคิดและต้องการคนรับฟัง ยิ่งคนเจนซีเป็นกลุ่มที่มีพลังงานสูง ความคิดสร้างสรรค์ล้นเหลือ ยิ่งต้องการการรับฟังเป็นพิเศษ ต้องการงานที่ให้อิสระ ยืดหยุ่นสูง และสร้างอิมแพ็ค การรับฟังพวกเขาก่อนจะทำให้เขาเปิดใจและรับฟังพวกเราเช่นกัน ถือเป็นการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ทั้งยังเป็นข้อได้เปรียบตรงที่น้อง ๆ เจนนี้มักตามติดเทรนด์บนโลกออนไลน์มากกว่าคนรุ่นเรา และยังเป็นเจนที่ตรงกับกลุ่มผู้ใช้งานที่ Sea ให้บริการอยู่ การรับฟังพวกเขาจึงเท่ากับได้รับรู้ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปด้วย”  

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีทักษะที่ทุกคน รวมถึงคนรุ่นใหม่ด้วย ควรพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น ทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐานและขั้นสูง ทักษะการสื่อสารทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาเพื่อให้ผู้ฟังต่างวัยเข้าใจ ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ (Critical Thinking) การพัฒนากระบวนการคิดและแก้ปัญหาอย่างเป็นเหตุเป็นผล (Logical Thinking) ซึ่งเป็นทักษะที่มีความสำคัญในยุคของข้อมูลข่าวสารท่วมท้น และเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการพึ่งพาเทคโนโลยีจนเกินไป เพราะไม่ว่าจะเป็นเอไอ เจเนอเรทีฟเอไอ หรือแชตจีพีที ทุกอย่างเป็นเพียงแค่เครื่องมือ 

“แม้เทคโนโลยีจะช่วยให้เราประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ จะรอให้เทคโนโลยีมาประมวลผลให้เราคงไม่ได้ สุดท้ายแล้ว คนนั่นแหละที่เป็นผู้กำหนดและเป็นผู้ประเมินว่า สิ่งที่เทคโนโลยีจัดสรรมาให้นั้น ใช่หรือไม่ใช่ มีความเกี่ยวข้องหรือเหมาะสมที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานหรือในการแข่งขันทางธุรกิจหรือไม่ อย่างไร” 

ความยั่งยืนเรื่องทักษะดิจิทัลของคนไทย

ด้วยวิถีธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้องค์กรไม่สามารถวางแผนระยะยาวหรือลงลึกในรายละเอียดได้มากนัก ทำได้เพียงการวางแผนคร่าว ๆ เป็นรายไตรมาส หรือเป็นการทำแบบ Low Hanging Fruit คือ การเลือกโฟกัสเรื่องสำคัญที่สามารถทำได้เร็วที่สุด มีอิมแพ็คมากที่สุด หรือเกิดประโยชน์สูงสูดสำหรับคนในสังคม

“เป้าหมายความยั่งยืนที่เป็นโฟกัสหลักของเรา คือ การสนับสนุนการปรับตัวของประเทศไทยสู่การเป็น Digital Nation โดยเน้นในด้านการพัฒนาทักษะดิจิทัล ทั้งทักษะดิจิทัลพื้นฐานที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และทักษะที่ช่วงส่งเสริมการทำอาชีพหรือสร้างรายได้ การลดช่องว่างในการเข้าถึงดิจิทัลระหว่างผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่กับผู้คนในจังหวัดเล็ก ๆ เพื่อให้พวกเขาได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกับคนอื่น สามารถเข้าถึงและพัฒนาทักษะที่นำไปต่อยอด หรือมีศักยภาพด้านดิจิทัลที่ทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้าน”

สำหรับแผนด้านความยั่งยืนในปีหน้า สำหรับแผนด้านความยั่งยืนในปีหน้า เน้นการสร้างทักษะสำหรับอาชีพใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาในยุคดิจิทัล การสร้างความรู้เกี่ยวกับการเงิน และการส่งเสริมผู้หญิงในโลกของเทคโนโลยี เช่น การส่งเสริมให้ผู้หญิงมีความมั่นใจและก้าวเข้ามาในสู่โลกของเทคโนโลยีมากขึ้น โดยที่ผ่านมา Sea ได้ทำโครงการ Women made: Girl in STEM ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการเปิดเวทีให้รุ่นพี่ใน 9 สายอาชีพด้าน STEM ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ มาแลกเปลี่ยนไอเดียและประสบการณ์ เพื่อจุดประกายน้องนักเรียนผู้หญิงได้เข้าสู่สายอาชีพเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีจนน่าจะขยายผลในสเกลที่ใหญ่ขึ้นได้ 

“ถ้าหันกลับมามองภายในองค์กรของ Sea (ประเทศไทย) เอง เราให้ความสำคัญในเรื่องความเท่าเทียมอย่างมาก เราเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้ลองโดยไม่ได้มองว่า ต้องเป็นเพศไหน ชาย หญิง หรือ LGBTQ+ ไม่สนใจเรื่องของอายุด้วยซ้ำ เช่น จำนวนพนักงานหญิงในองค์กร ณ ตอนนี้ น่าจะอยู่ที่ 48% ของพนักงานทั้งหมด เป็นผู้หญิงที่ทำงานในระดับผู้บริหารหรือผู้นำทีมราว 53%” 

ส่วนในด้านการสร้างเสริมทักษะสำหรับพนักงานในองค์กรก็มีความสำคัญสำหรับ Sea (ประเทศไทย) โดยมีทั้งส่วนที่องค์กรเห็นว่าควรเรียนรู้และส่งไปฝึกอบรม และส่วนที่พนักงานเห็นว่าอยากพัฒนาและขอไปเรียนเพิ่มเติมเอง 

“เรายังมองหาว่าจะมีอะไรที่ทำเพิ่มเติมได้อีกในมุมความยั่งยืน ทั้งกับสังคมภายนอกองค์กรและกับพนักงานในองค์กร แต่การสร้างทักษะดิจิทัลให้กับคนทุกวัยเป็นรื่องที่โฟกัสค่อนข้างมาก เนื่องจากสิ่งนี้จะกลายเป็นพื้นฐานที่ทุกคนต้องมีและจะทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต” 

ภูมิทัศน์องค์กรเทคระดับภูมิภาคและโกลบอล

หากมองภูมิทัศน์ขององค์กรเทคในธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซและฟินเทค มณีรัตน์ กล่าวว่า ยังมีอะไรให้ทำได้อีกมากมาย แม้ตลาดอีคอมเมิร์ซในระดับโกลบอลจะเริ่มอยู่ตัวและไม่น่าจะมีความเปลี่ยนแปลงที่กระทันหันและรุนแรง ดังนั้น ผู้เล่นรายใหญ่จึงได้แบ่งโฟกัสไปต่อยอดธุรกิจอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจคลาวด์ แต่ตลาดอีคอมเมิร์ซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือประเทศไทย ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากจุดตั้งต้นไปสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลที่ได้ลงทุนลงแรงไป สังเกตได้จากอัตราการเติบโตที่มากขึ้น เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้แต่ละค่ายเร่งพัฒนาฟีเจอร์เดิมและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

ขณะที่ธุรกิจฟินเทค Sea คงเน้นการทำตลาดในระดับภูมิภาค สำหรับประเทศไทยถือว่า ธุรกิจฟินเทคค่อนข้างมีความก้าวหน้า อีกทั้งการเข้ามาของเวอร์ช่วลแบงก์น่าจะมีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีก

สุดท้ายเป็นเรื่องของการจับตาเทรนด์ด้านเทคโนโลยีเอไอ ซึ่งปัจจุบันมีผู้พัฒนาเครื่องมือ AI มากขึ้น ทำให้คนตัวเล็ก ๆ หรือบริษัทเล็ก ๆ สามารถแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้ ซึ่งแม้แต่ Sea เอง ก็ต้องมีการนำเอไอมาช่วยในการพัฒนาบริการและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรเช่นกัน 

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ดร.ลิสา พัทธ์วิวัฒน์ศิริ กับภารกิจปลดล็อกพลังดิจิทัลของ KING POWER

“องค์กรแห่งความสุข” ยุทธศาสตร์เรื่องคน ของ KBTG

รศ.ดร.ณัฐชา ทวีแสงสกุลไทย ปรุงสูตร 3C: Coach, Cash, Connection แรงส่งสตาร์ตอัพ สานต่อเศรษฐกิจใหม่ประเทศไทย

×

Share

ผู้เขียน