Share on
×

Share

“นฤศันส์ ธันวารชร” นำ InnoSpace หนุน Deep Tech สตาร์ตอัพไทย สู่ยูนิคอร์น

การก่อร่างสร้างบริษัทสตาร์ตอัพ deep tech ที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก นับว่าเป็นงานยากตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการคิดค้นพัฒนานวัตกรรมไปจนถึงการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีนักลงทุนให้การสนับสนุนสตาร์ตอัพกลุ่มนี้น้อยกว่ากลุ่มอื่น ทำให้สตาร์ตอัพ deep tech ของไทยมักขาดเงินทุนในการอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขาดผู้ชำนาญการคอยให้คำแนะนำปลุกปั้นให้เกิดการพัฒนาทั้งตัวเทคโนโลยีและการดำเนินธุรกิจ 

การแสดงบทบาทของ อินโนสเปซ เป็นตัวกลางเชื่อมการลงทุนระหว่างกลุ่มสตาร์ตอัพและองค์กรที่ต้องการให้ทุน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน จึงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญของการขับเคลื่อนให้เกิดบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงที่จะช่วยพัฒนาประเทศไทยสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมอย่างยั่งยืน

ซึ่ง นฤศันส์ธันวารชรประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ InnoSpace บอกกับ The Story Thailand ว่า อินโนสเปซไม่เพียงให้การสนับสนุนเรื่องของเงินทุน แต่ยังจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาที่คอยปลุกปั้นสตาร์ตอัพให้สามารถทำธุรกิจในเชิงพาณิชย์ และพร้อมแบ่งปันข้อมูลเพื่อดึงเหล่านักลงทุนที่อยากลงทุนในกลุ่ม deep tech มาลงทุนในสตาร์ตอัพสัญชาติไทยที่มีศักยภาพพร้อมเติบโตเข้าสู่ตลาดได้

ขณะเดียวกัน อินโนสเปซก็ยังคงจุดประสงค์แรกเริ่มของการก่อตั้งบริษัทจากการร่วมทุนของ 14 องค์กรชั้นนำในประเทศไทยที่มีเป้าหมายสนับสนุนการลงทุน ส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อให้สตาร์ตอัพของไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมถึงผลักดันให้เกิดสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์นเพิ่มมากขึ้น

จากงานไอทีสู่งานด้านการเงินการลงทุน

นฤศันส์เล่าว่า หลังเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เขาเริ่มต้นทำงานแห่งแรกที่บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ด้านการขายระบบความปลอดภัยเครือข่ายแก่หน่วยงานต่างๆ ทำให้มีโอกาสเข้าไปรับผิดชอบการวางกลยุทธ์ให้หลายหน่วยงาน อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ธนาคารกรุงไทย เมืองไทยประกันชีวิต ได้เห็นแต่ละหน่วยงานมีความเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการองค์กรสู่ดิจิทัล จึงเห็นว่าเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจเหล่านี้อย่างมาก

ผมทำงานที่ล็อกซ์เลย์ที่เดียวประมาณ 4 ปีโดยเริ่มงานจากสายเทคโนโลยีก่อนจะเปลี่ยนมาอยู่ในส่วนของการเงินทำให้ตอนไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกาได้เปลี่ยนเป็นเรียนสายไฟแนนซ์กลับมาเมืองไทยสมัครเข้าทำงานที่ธนาคารทีเอ็มบีในส่วนของสินเชื่อก่อนย้ายมาอยู่ซัมซุง Prime Seeds แล้วก็อินโนสเปซ

เขาบอกว่าช่วงเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีวิชาที่ว่าด้วย Angel Investor ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจเกี่ยวกับการลงทุนธุรกิจสตาร์ตอัพ

เรามีเงินของกองทุนศิษย์เก่าให้นักเรียนในชั้นเรียนนี้เอาไปบริหารไปลงทุนจริงๆจะในตลาดหุ้นหรือในธุรกิจที่เป็นสตาร์ตอัพหรือพวกอินโนเวชันของที่สหรัฐฯก็ได้ตอนนั้นตัวเองรู้สึกชอบเพราะเป็นการทำงานที่ได้ช่วยผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กให้ได้ขยายธุรกิจทำให้คิดว่างาน VC มีความน่าสนใจ

นฤศันส์อธิบายว่า VC (Venture Capital) เป็นธุรกิจที่นำเงินทุนที่ระดมจากแหล่งต่างๆ ไปลงทุนในลักษณะร่วมลงทุนกับธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยไม่เพียงช่วยในเรื่องของเงินทุนเท่านั้น แต่ยังนำความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจไปช่วยให้คำปรึกษาด้วย

เจ้าของธุรกิจเหล่านี้จะมีไอเดียที่ดีอยู่แล้วเพียงแต่ยังขาดความชำนาญหรือความเข้าใจในเรื่องของการทำการตลาดการจะลงทุนในตลาดอย่างไรหรือว่าจะบริหารจัดการธุรกิจหลังบ้านอย่างไร

เขากลับมาเมืองไทยปี 2555 ทำงานด้านสินเชื่อสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กอยู่หลายปี จนปี 2562 เข้ามาร่วมงานกับอินโนสเปซดูแลการลงทุนในสตาร์ตอัพ เพื่อช่วยให้สตาร์ตอัพสามารถพาธุรกิจรอดและเติบโตต่อไปได้

ไอเดียภาครัฐตอนนั้นจะเป็นคล้ายๆกับ Cyberport หรือพวก Enabler ของฮ่องกงหรือสิงคโปร์ส่วนตัวก็เลยสนใจว่าถ้ามันมีกองทุนแบบนี้น่าจะดีต่อระบบนิเวศในการลงทุนของสตาร์ตอัพหรือการเปิดบริษัทนวัตกรรมในประเทศไทย

บุกเบิกกองทุนเพื่อสตาร์ตอัพ Deep Tech

นฤศันส์เข้าร่วมงานกับอินโนสเปซตั้งแต่ช่วงก่อตั้ง เริ่มจากงานในตำแหน่ง Head of Investment เป็นเวลา 3 ปี ก่อนรับตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Acting CEO) และได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา

ปีแรกที่เข้ามาทำงานเป็นช่วงที่กำลังเกิดวิกฤติโควิด-19 ทำให้กว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังได้ก็ล่วงเข้าต้นปี 2563 โดยออกกองทุนแรกชื่อว่า Bridge Fund เพื่อช่วยสตาร์ตอัพให้มีเงินพอที่จะผ่านช่วงเวลายากลำบากของโควิด-19 ไปได้ ถือเป็นกองทุนช่วยเหลือในสถานการณ์พิเศษโดยได้ LP (Limited Partner) สนับสนุน 14 ราย หลังจบ Bridge Fund เขาและทีมงานเห็นตรงกันในการเริ่มออกแบบธีมการลงทุนใหม่

ตอนแรกอินโนสเปซมีแค่บอดี้ที่เป็นบอร์ดผมเข้าไปเป็นพนักงานคนแรกก็รับหน้าที่ออกแบบว่าจะแบ่งเงินอย่างไรใช้กับอะไรบ้างแล้วก็ตัดสินใจออกกองทุน Bridge Fund มาเป็นกองแรกเราก็เริ่มอยู่ในระบบนิเวศมากขึ้นจึงมองเห็นว่า deep tech ในขั้น early stage ยังเป็นช่องว่างที่ไม่ค่อยมีใครสนับสนุนเพราะตลาดในไทยเป็น CVC ค่อนข้างเยอะตอนนั้นมี DTAC Accelerate ที่ลงทุนในสตาร์ตอัพระดับ early stage ในฝั่งที่เป็นแพลตฟอร์มแต่ที่เป็นฝั่งเทคโนโลยีจริงๆไม่มีเลย

เขาจึงเริ่มปรับธีมการลงทุนในช่วงปลายปี 2564 เสนอแนวทางให้คณะกรรมการพิจารณาว่า อินโนสเปซมีองค์ความรู้และงานวิจัยที่สามารถนำมาใช้กับการทำธุรกิจในเชิงพาณิชย์ได้ ลองวางตำแหน่งตัวเองเป็น ecosystem เพราะเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีใครลงทุน จนปี 2565 ก็เริ่มลงทุน early stage ในกลุ่ม deep tech 

สิ่งที่เรามองหาในการลงทุนกับกลุ่ม deep tech ก็คือสตาร์ตอัพที่มีงานวิจัยรองรับและต้องมี MVP แล้วรวมถึงอาจจะลองตลาดมาแล้วสัก 6 เดือนถึงหนึ่งปีเราจึงมองว่าเขาเป็น early stage เพราะเริ่มเอางานวิจัยมาทำในเชิงพาณิชย์แล้ว

ดังนั้น สตาร์ตอัพที่จะได้รับการพิจารณาสนับสนุนจะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้มีฟังก์ชันการใช้งานเพียงพอในระดับหนึ่ง (Minimum Viable Product: MVP) และวางตลาดให้ผู้บริโภคทดลองใช้มาระยะหนึ่งเพื่อนำข้อมูลจากคำติชมมาพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่อไป

สตาร์ตอัพที่เป็น deep tech แบ่งเป็นกลุ่มที่มาจากมหาวิทยาลัยแล้ว spin off ออกมาเป็นธุรกิจกับกลุ่มที่เห็น pain point แต่เทคโนโลยีดิจิทัลทั่วไปไม่ตอบโจทย์เลยไปหางานวิจัยมาพัฒนาเชิงพาณิชย์ซึ่งการไปหางานวิจัยมาจากมหาวิทยาลัยมีสองแบบคือหนึ่งเห็น pain point แล้วไปจ้างมหาวิทยาลัยทำงานวิจัยให้กรณีนี้ทำให้สตาร์ตอัพมี license ของตนเองแบบที่สองไปเอา license ของมหาวิทยาลัยออกมาทำ

ตั้งเป้าเน้นลงทุนในระดับ Early Stage

นฤศันส์บอกว่า อินโนสเปซมี LP สนับสนุนที่แข็งแกร่ง ทุกองค์กรตั้งใจเข้ามาช่วยสร้างระบบนิเวศสตาร์ตอัพของประเทศไทย โดยส่งคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมงาน เพราะฉะนั้นทิศทางจากบอร์ดของอินโนสเปซจึงมีความชัดเจนมาก

บอร์ดของเราทุกท่านอยากจะช่วยสตาร์ตอัพคนไทยโดยมีความตั้งใจลงทุนในสตาร์ตอัพที่ผู้ก่อตั้งเป็นคนไทยเท่านั้นเราต้องเป็นตัวเติมเต็มช่องว่างของระบบนิเวศนี้ตรงไหนที่ยังไม่มีใครเล่นเรา position ตัวเองไปตรงนั้นอาจเรียกว่าอินโนสเปซเป็นผู้ที่ปิดทองหลังพระแห่งวงการสตาร์ตอัพไทยก็ได้

โดยอินโนสเปซจะเน้นลงทุนที่สตาร์ตอัพระดับ early stage ซึ่งอยู่ระหว่าง seed stage กับ series A เนื่องจากเป็นระดับที่ยังมีการลงทุนน้อย

เราอยากลงทุนเพื่อให้สตาร์ตอัพเหล่านี้เติบโตไปยัง series A พอถึงขั้นนั้นเราก็หมดห่วงเพราะจะมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนต่อค่อนข้างมากเปรียบเหมือนเราเป็นโรงเรียนเตรียมอุดมที่ลงทุนในช่วงที่เขาอยู่มัธยมปลายพอเขาเข้ามหาวิทยาลัยไปเขาก็ไปเติบโตอีกรูปแบบหนึ่งตามที่เขาถนัด

ซึ่งนฤศันส์กล่าวด้วยความภูมิใจว่า การเข้ามาช่วยเติมช่องว่างดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาสามารถช่วยสตาร์ตอัพหลายรายให้ผ่านวิกฤติโควิด-19 มาได้และทำให้สตาร์ตอัพ 4-5 รายสามารถระดมทุนต่อได้จากการที่อินโนสเปซเป็นสถาบันแรกที่ลงทุนกับพวกเขา

นอกจากช่วยต่ออายุธุรกิจเรายังช่วยให้พวกเขาสามารถพัฒนาจนไปทำเรื่องลงทุนเพื่อต่อยอดต่อไปได้สตาร์ตอัพก็มีฟีดแบ็กกลับมาว่าถ้าตอนนั้นไม่ได้อินโนสเปซมาช่วยพวกเขาก็ลำบากเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน deep tech มีข้อจำกัดเรื่องกฎระเบียบที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นต้นว่าการขอใบอนุญาตองค์การอาหารและยา หรือสิทธิบัตร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาจัดการพอสมควร นอกเหนือจากการทำความเข้าใจเรื่องจุดเด่นจุดด้อยต่างๆ เพื่อปรับปรุงให้ผลิตภัณฑ์สามารถเข้าตลาดได้ ทำให้อินโนสเปซต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีจึงจะลงทุนกับสตาร์ตอัพแต่ละรายได้

เราใช้เวลากับการสกรีนนิ่งค่อนข้างมากรวมถึงใช้เวลากับการให้คำปรึกษามาเรื่อยๆจนถึงวันหนึ่งที่เราเห็นว่าสตาร์ตอัพรายนี้มีความเหมาะสมทั้งในเรื่องของจังหวะเวลาและตัวผลิตภัณฑ์จึงค่อยร่วมลงทุนทำให้จำนวนสตาร์ตอัพที่เราลงทุนอาจไม่เยอะแต่ว่า pipeline เราค่อนข้างเยอะ

Matching Fund ตัวเติมแบบจับคู่ลงทุนตาม

ในปี 2566 อินโนสเปซขยายบทบาทการเป็นตัวกลางเชื่อมการลงทุนระหว่างกองทุนกับสตาร์ตอัพในลักษณะ matching fund โดยร่วมมือกับกองทุนอินโนเวชั่นวัน (Innovation One) ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจำนวน 1 พันล้านบาท จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หนุนการจับคู่กับธุรกิจสตาร์ตอัพที่มีนวัตกรรม โดยสภาอุตสาหกรรมฯ จะเป็นผู้บริหารจัดการเงินลงทุนเอง

การลงทุนแบบ matching fundอินโนสเปซจะเริ่มนำร่องไปก่อนแล้วสอบถามไปทางกองทุนอินโนเวชั่นวันว่าสนใจจะลงทุนตามหรือไม่โดยมีการแชร์ข้อมูลและบทวิเคราะห์ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนให้กับบอร์ดกองทุนอินโนเวชั่นวันเพื่อพิจารณาถ้าเห็นด้วยก็ตัดสินใจลงทุนจำนวนเงินเท่ากับที่อินโนสเปซลงทุน

นฤศันส์อธิบายโดยยกตัวอย่างกรณี ยูนิฟาร์ส (UniFAHS) บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเฟจ (phage) เพื่อการเกษตรที่ยั่งยืนและความปลอดภัยทางอาหาร ที่ได้รับการลงทุนแบบ matching fund ว่า

พออินโนสเปซอนุมัติการลงทุนและมีการทำสัญญาเรียบร้อยก็แจ้งต่ออินโนเวชั่นวันว่าเรามีการลงทุนในยูนิฟาร์สเป็นเงินเท่าไรทางอินโนเวชั่นวันก็พิจารณาว่าจะลงทุนตามหรือไม่โดยเป็นการลงทุนแบบ 1:1 คือจำนวนเท่ากับเงินที่อินโนสเปซลงทุนไปเพราะฉะนั้นก็จะมีการลงนามในสัญญาฉบับหนึ่งคือยูนิฟาร์สกับอินโนสเปซอีกฉบับหนึ่งคือยูนิฟาร์สกับกองทุนอินโนเวชั่นวัน

เขาอธิบายให้เห็นว่า การลงทุนแบบ matching fund มีข้อดีคือสตาร์ตอัพเสนอขอเงินสนับสนุนการลงทุนกับอินโนสเปซเพียงโครงการเดียว แต่จะมีการลงทุนจากที่อื่นๆ เพิ่มตามมา ซึ่งนอกจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อินโนสเปซยังได้ลงนามบันทึกความร่วมมือในลักษณะเดียวกันกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ภายใต้โครงการ dVenture และบริษัท Beacon VC เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีดิจิทัล

สตาร์ตอัพที่เราลงทุนร่วมกับดีป้าและบีคอนมีหลายตัวเช่นสตาร์ตอัพเกี่ยวกับ electronic noses คือนิวอายโรโบติกส์  สตาร์ตอัพสัญชาติไทยที่ใช้การแปลตัวจับสัญญาณความรู้สึก (sensory) ออกมาเป็นตัวเลขเริ่มต้นสิ่งแรกคือกลิ่นจึงใช้ชื่อว่า Electronic noses”

แอปพลิเคชันนี้ใช้ในไลน์การผลิตของโรงงานแปรรูปอาหาร เพื่อตรวจกลิ่นของอาหารว่ามีมาตรฐานเป็นแบบเดียวกันหรือไม่ หรือแฟรนไชส์กาแฟรายหนึ่ง ใช้ในการตรวจให้รู้ว่ากาแฟแต่ละตัวต้องคั่วกลิ่นระดับไหนเพื่อให้ได้กลิ่นที่เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกสาขา หรือนำไปใช้กับเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น นำไปตรวจกลิ่นของโรงงานเพื่อดูว่ากลิ่นที่ปล่อยออกมาเกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

สตาร์ตอัพรายนี้เป็นการต่อยอดจากงานวิจัยที่ตัวผู้ประกอบการได้ใบอนุญาตจากมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าสตาร์ตอัพเข้ามาคุยกับอินโนสเปซครั้งเดียวด้วยหนึ่ง proposal ที่มีแต่ทางสตาร์ตอัพอาจจะได้รับพิจารณาจากนักลงทุนมากถึง 3 เท่า

สตาร์ตอัพ Deep Tech ไม่เซ็กซี่แต่แข็งแกร่ง

อินโนสเปซมีคอนเซ็ปต์ว่าการลงทุนตั้งต้นตอนแรกอาจจะให้ไม่มากคือประมาณ 3-10 ล้านบาทขึ้นกับศักยภาพของสตาร์ตอัพรายนั้นแต่ในการระดมทุนครั้งถัดไปโอกาสจะให้สตาร์ตอัพรายนั้นๆเพิ่มอีกก็มีค่อนข้างเยอะภายใต้เงื่อนไขที่สตาร์ตอัพสามารถทำได้ตามที่ตกลงกันไว้จนทำให้มั่นใจได้ว่ามีศักยภาพในการเติบโต

นฤศันส์ยอมรับว่า การลงทุนในช่วง early stage โดยเฉพาะของกลุ่ม deep tech มีความเสี่ยงค่อนข้างมาก ดังนั้นการลงทุนเงินก้อนแรกอาจจะไม่เยอะ แต่การลงทุนตามครั้งต่อไปจะเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 10 ล้านบาทไปถึง 30 ล้านบาท

ทั้งนี้ เขาจะมีสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพอยู่ใน pipeline แบ่งออกเป็น tier ละประมาณ 5-6 ราย แล้วทยอยลงทุนไปในสตาร์ตอัพที่พิจารณาแล้วว่าพร้อม ขณะเดียวกันก็มองหาสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพเติมเข้ามาอยู่ใน pipeline เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เป็นการเติมสตาร์ตอัพที่มีแนวโน้มเติบโตต่อไปเพื่อรอให้เทคโนโลยีที่พัฒนาพร้อมหรือรอจนกว่าตลาดจะสามารถไปได้

ซึ่งกระบวนการทุกขั้นตอนจะต้องใช้เวลา จนอาจดูล่าช้าในมุมมองว่าเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่เขายืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมีผลกระทบกับกลุ่มเทคโนโลยีเชิงลึกมากเท่ากับกลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัลที่ช้ากว่าตลาดเมื่อไร การลงทุนนั้นก็จะสายเกินไป

กลุ่ม deep tech สตาร์ตอัพรายหนึ่งอาจจะใช้เวลาทำวิจัยมา 3-5 ปีหรือมากกว่านั้นเพื่อให้ได้ core technology การลอกเลียนแบบจึงทำได้ยากเรื่องความเสี่ยงย่อมมีเช่นกันแต่ไม่มากเท่า digital tech เพราะเรามีสิทธิบัตรรองรับอยู่แล้ว

เรียกได้ว่า deep tech ไม่ได้มีความเซ็กซี่หวือหวาอย่างที่เราคุ้นเคยจากสตาร์ตอัพทั่วไปแต่มีความแข็งแกร่งเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานดังนั้นจึงต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะฟูมฟักแต่เมื่อประสบความสำเร็จแล้ว  สตาร์ตอัพในสาย deep tech ย่อมแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่า ในสายตาของนฤศันส์ผู้ที่มุ่งมั่นทุ่มเทกับการลงทุนในกลุ่ม deep tech กลับมองเห็นเสน่ห์บางอย่างของสตาร์อัพกลุ่มนี้อย่างที่คาดไม่ถึงเช่นกัน

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมมีความสุขกับการทำงานที่อินโนสเปซเพราะว่าเราเจอสตาร์ตอัพ deep tech ที่เราเองก็คิดไม่ถึงว่าคนไทยมีเทคโนโลยีแบบนี้นะมันอาจจะเป็นความเซ็กซี่ในแง่มุมที่เป็นเรื่องของนวัตกรรมเรื่องงานวิจัยเชิงลึกหน่อย

เป้าหมายสูงสุดคือเพิ่มยูนิคอร์นสัญชาติไทย

ช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา อินโนสเปซได้รับเงินลงทุนจาก LP ทั้ง 14 ราย รวมทั้งหมด 735 ล้านบาท ถึงสิ้นปี 2567 มีการลงทุนไปแล้ว 120 ล้านบาท ในสตาร์ตอัพทั้งหมด 20 ราย โดยเป็น deep tech 8 รายและในปี 2568 บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT ได้เข้าร่วมเป็น LP รายที่ 15 ด้วยการสนับสนุนเงินลงทุน 100 ล้านบาท ทำให้กองทุนมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 835 ล้านบาท

แต่มีข้อสังเกตว่าสตาร์อัพที่ลงทุนไปแล้วมีกลุ่ม deep tech ในสัดส่วนที่น้อยอยู่ ซึ่งนฤศันส์อธิบายว่า การลงทุนในช่วงแรกค่อนข้างมีความหลากหลายเนื่องจากยังเป็นช่วงทดสอบตลาดของอินโนสเปซ ประกอบกับความต้องการช่วยเหลือสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพให้สามารถประคองตัวผ่านวิกฤตช่วงโควิด-19 ไปได้

ช่วงเริ่มต้นสถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวายทำให้อินโนสเปซเป็น Special Innovation Fund ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือสตาร์ตอัพก่อนโดยเราพิจารณาจากศักยภาพและความสามารถในการเติบโตของสตาร์ตอัพแต่ละรายเป็นหลักแต่หลังจากนั้นก็ตั้งหลักว่าจะมุ่งลงทุนในสตาร์ตอัพ deep tech ในช่วง early stage”

แต่เนื่องจากทีมอินโนสเปซมีขนาดเล็ก จึงเน้นบทบาทในการร่วมมือเป็นพันธมิตรกับนักลงทุนกลุ่มต่างๆ ที่มีอยู่แล้วทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ

เราพยายามมองว่าจะเข้าไปร่วมโครงการ accelerator ตรงไหนได้ในต่างประเทศเรามีพาร์ตเนอร์อย่าง Wild Dasher ที่ทางอินโนสเปซได้ลงนาม MOU ร่วมกันไว้เราจะช่วยเป็นคณะกรรมการหรือเป็นทีมทำงานเฟ้นหาสตาร์ตอัพไทยเพื่อส่งเข้า accelerator ที่เกาหลีใต้หรือที่ฮ่องกงซึ่งทางนั้นค้นหาสตาร์ตอัพไทยเพื่อไปเข้า accelerator ของเขาความที่เราเจอสตาร์ตอัพที่เป็น deep tech ในช่วง early stage ค่อนข้างมากเมื่อเห็นว่ามีศักยภาพก็จะส่งเข้าไปใน accelerator นั้นเราก็เป็นเหมือน one-stop service ที่เขาเข้ามาคุยด้วย

นฤศันส์เผยว่า ถ้าดูข้อมูลในพอร์ตของอินโนสเปซ สตาร์ตอัพ deep tech ที่อยู่ในกองทุน Bridge Fund มีอยู่ 8 ราย ซึ่งในปี 2568 สตาร์ตอัพใหม่ๆ ที่เติมเข้าพอร์ทจะเป็นกลุ่ม deep tech ทั้งหมดจาก pipeline ที่มีอยู่แล้ว 20 ราย

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาฐานพีระมิดของสตาร์ตอัพที่เกิดใหม่มีน้อยลงพอฐานพีระมิดแคบข้างบนของพีระมิดก็จะยิ่งเล็กลงในระยะสั้นเราก็พยายามช่วยขยายฐานพีระมิดของสตาร์ตอัพ deep tech ในช่วง early stage ให้ใหญ่ขึ้นและไปต่อได้พอเขาไปต่อได้ตัวเลือกของ VC ในช่วง series A หรือ series B ก็จะเยอะขึ้นด้วย

ซึ่งอินโนสเปซพยายามหาสตาร์ตอัพที่มีโซลูชันสร้างผลกระทบต่อประเทศไทย ทั้งเรื่อง Industry 4.0, Food Tech และ Health Tech ที่เป็นเซกเตอร์สำคัญของประเทศไทย โดยภายใน 3 ปีจากนี้ จะเดินหน้าขยายฐานของพีระมิดเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือทำให้มียูนิคอร์นที่เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมของคนไทย 

นอกจากเงินที่มุ่งสนับสนุนสตาร์ตอัพในช่วง early stage แล้วอินโนสเปซยังกันเงินไว้อีกส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนสตาร์ตอัพในช่วง late stage เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนยูนิคอร์นในประเทศไทยโดยสตาร์ตอัพนั้นจะต้องมีศักยภาพในการเติบโตชัดเจนเช่นมีคุณสมบัติในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI หรือแจ้งเกิดเป็นยูนิคอร์นไปเลย

ดังกรณีของ ChocoCRM สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีการตลาดที่เติบโตจากระบบ Customer Data Platform (CDP) สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกลูกค้า ซึ่งอินโนสเปซร่วมลงทุนรอบ series C เมื่อปลายปี 2565 โดยคาดหวังสักวันจะได้เห็น ChocoCRM ทะยานสู่ยูนิคอร์นสัญชาติไทยอีกราย

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า landscape การลงทุนของอินโนสเปซจะเข้าไปในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับ early stage, series A, series B และตามเข้าไปถึง series C จนเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือเป็นยูนิคอร์น

หวังไม้ใหญ่ต้องรอต้นกล้าให้เติบโต

สตาร์ตอัพไทยขนาดใหญ่อาจจะมีน้อยลงเราก็ต้องไปลงทุนตั้งแต่ early stage และลงทุนสนับสนุนไปเรื่อยๆถ้าไม่มีต้นกล้าก็ไม่มีไม้ใหญ่ก็จะเป็นอีกหนทางหนึ่งคือการสนับสนุนในรายที่เป็น late stage แล้วซึ่งอาจไม่ใช่ deep tech เสมอไป

นฤศันส์บอกกับ The Story Thailand ว่า นี่เป็นโจทย์ยากของอินโนสเปซ คือการรักษาสมดุลระหว่างบทบาทการเป็น ecosystem สำหรับกลุ่ม deep tech กับเป้าหมายเพิ่มจำนวนยูนิคอร์นในประเทศไทย เพราะกรณีที่เป็นเทคโนโลยีเชิงลึก การตอบรับจากตลาดอาจต้องใช้เวลามาก การลงทุนใน early stage จึงเปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ตั้งแต่ยังเป็นต้นกล้า ต้องใช้เวลาบ่มเพาะให้ค่อยๆ เติบโตแข็งแกร่งขึ้นมา ทำให้การเพิ่มยูนิคอร์นสัญชาติไทยไม่ใช่เรื่องง่าย

เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เขายกตัวอย่างกรณีสตาร์ตอัพที่ทางอินโนสเปซเข้าไปลงทุนช่วงปี 2563-2564 ในกองทุน Bridge Fund ที่เป็น deep tech ชื่อ Nabsolute ซึ่งคิดค้นนวัตกรรมระบบนำส่งสารเข้าร่างกายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพด้วยการตัดต่อไบโอพอลิเมอร์ในระดับนาโนให้สามารถนำส่งสารต่างๆ เข้าร่างกายได้ดีขึ้น ออกฤทธิ์ดีขึ้น มีผลข้างเคียงน้อยลง

ช่วงแรกๆรายได้ของสตาร์ตอัพรายนี้อาจไม่เยอะแต่พอตลาดด้านเวชสำอางมีการยอมรับเรื่องสารเติมเต็มหรือ Hyaluronic Acid เข้าไปในครีมหรือผลิตภัณฑ์เวชสำอางอื่นๆกลายเป็นว่าใน 1-2 ปีมานี้เริ่มเห็นผลตอบแทนที่กลับเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ

ตัวอย่างดังกล่าวบอกให้รู้ว่าฉากทัศน์ของการลงทุนในกลุ่ม deep tech มักจะยังไม่เห็นผลในช่วงแรกๆ ต้องรอเวลาที่ตลาดมีความพร้อมในระดับหนึ่ง จึงทำให้สตาร์ตอัพมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการรอคอยด้วยความอดทน

เราต้องรอให้สตาร์ตอัพรายนั้นนอกจากพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองแล้วต้องพัฒนาตลาดคือกลยุทธ์การเข้าตลาดอย่างไรให้สร้างผลกระทบกับคนที่เอาไปใช้

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

“เมื่อคน (ไม่) กินผัก อยากปลูกผัก” ออร์แกนิกแท้แบบ Wenzel ของ กัญภัส ศรีณรงค์ ชยานุวัฒน์

“ตะวัน จิตรถเวช” CTO ยุคดิสรัปชัน แห่ง KBTG

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง พร้อมนำ NIA ปักธงรุกสร้างไทยให้เป็นชาตินวัตกรรม

×

Share

ผู้เขียน