ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีแห่งอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและพิสูจน์แล้วในปัจจุบัน ว่าสามารถต่อสู้กับวิกฤติความยั่งยืนของโลกได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีศักยภาพช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้มหาศาลถึง 5-10% ซึ่งเทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซทั้งหมดของสหภาพยุโรป ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ให้กับภาคธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโครงการด้านการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานที่ใช้เวลาคืนทุนเพียง 6-12 เดือน
ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยโดย เอกราช ปัญจวีณิน หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านดิจิทัล และ (รักษาการ) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกลุ่มธุรกิจองค์กร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น บนเวทีสัมมนา “The Story Thailand Forum 2025” ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปี The Story Thailand ในหัวข้อบรรยาย “The Green Algorithm: AI and Future of Our Planet”
เอกราชได้ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง เพื่อยืนยันว่าศักยภาพของ AI ไม่ใช่เรื่องเกินจริง โดยในภาคการเกษตร John Deere สามารถใช้ AI และ Computer Vision ที่ประมวลผลภาพจากกล้อง 36 ตัวแบบเรียลไทม์ เพื่อลดการใช้ยาฆ่าวัชพืชลงได้อย่างน่าทึ่งถึง 77% ในภาคเทคโนโลยี Google DeepMind ใช้ AI ลดการใช้พลังงานสำหรับระบายความร้อนในดาต้าเซ็นเตอร์ลง 40% และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโดยรวม (PUE) ถึง 15% และในภาคอุตสาหกรรม Siemens สามารถใช้เทคโนโลยี Digital Twin ลดการปล่อยคาร์บอนในอาคารได้ถึง 50% พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษา 35% ซึ่งทั้งหมดนี้คือข้อพิสูจน์ว่า AI สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่วัดผลได้จริง

ด้วยเหตุนี้เอง ภาคธุรกิจทั่วโลกจึงกำลังเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ผลสำรวจจาก IBM ชี้ว่า 85% ของผู้บริหารทั่วโลกได้ตั้งเป้าหมาย Net-zero แล้ว และ 80% มองว่าความยั่งยืนเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญสูงสุดขององค์กรในอีก 3 ปีข้างหน้า โดย 65% ระบุว่า AI คือเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนไปยังตลาด AI เพื่อความยั่งยืนทั่วโลกที่ถูกคาดการณ์ว่าจะเติบโตจาก 1.24 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 สู่ 14.87 พันล้านดอลลาร์ในปี 2034 ด้วยอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่สูงถึง 28.2%
การหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีมีเบื้องหลังมาจากวิกฤตการณ์ที่โลกกำลังเผชิญอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะ 5 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ท้าทายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติโลกร้อนที่ทำให้อุณหภูมิโลกในปี 2023 พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ 1.45°C วิกฤติความหลากหลายทางชีวภาพจากการทำลายป่าไม้ปีละ 10 ล้านเฮกตาร์ ซึ่งคุกคามสิ่งมีชีวิตกว่า 40,000 สายพันธุ์ วิกฤติในมหาสมุทรที่คุกคามกว่า 3 พันล้านชีวิตจากมลพิษและการประมงเกินขนาด วิกฤติปากท้องที่ประชากรเกือบ 1 ใน 11 คนทั่วโลกต้องเผชิญความหิวโหย และวิกฤติขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 7.8 กิโลกรัมต่อคน แต่กลับมีการจัดการอย่างเหมาะสมเพียง 1.7 กิโลกรัมต่อคนเท่านั้น
“ความท้าทายเหล่านี้คือสิ่งที่ในอดีตเราอาจทำได้แค่คิด แต่ไม่มีเครื่องมือที่จะแก้ไข แต่วันนี้พลังของเทคโนโลยีได้เปลี่ยนสมการไปโดยสิ้นเชิง เส้นทางสู่ความยั่งยืนในอดีตอาจขับเคลื่อนด้วยกฎระเบียบ แต่ปัจจุบันมันขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และ AI คือหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุด” เอกราช กล่าว
เอกราช ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์สองด้านที่เกิดขึ้นพร้อมกัน กล่าวคือ การใช้ AI เพื่อธุรกิจและความยั่งยืนเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน การใช้ AI ในซัพพลายเชนไม่เพียงช่วยลดต้นทุนให้ธุรกิจ แต่ยังช่วยลดของเสียและการปล่อยมลพิษ การใช้ AI ในการเกษตรไม่เพียงเพิ่มผลผลิตและสร้างกำไร แต่ยังช่วยลดการใช้น้ำและที่ดิน
เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือการทำงานร่วมกันของกลุ่มเทคโนโลยี “ABCD-E” ซึ่งประกอบด้วย A-AI ที่เป็นสมอง B-Blockchain ที่สร้างความโปร่งใสตรวจสอบย้อนกลับได้ C-Cloud Computing ที่ให้พลังประมวลผลมหาศาล D-Data ที่เป็นเหมือนเชื้อเพลิงสำคัญซึ่งใครวิเคราะห์ได้ดีกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ และ E-Edge Computing ที่เป็นเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่เล็กลง ถูกลง และฉลาดขึ้น
เทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาแก้ปัญหาที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญขององค์กรได้อย่างตรงจุด ตั้งแต่การสร้าง Data & Analytics เพื่อให้เห็นข้อมูลการปล่อยก๊าซครบทั้ง Scope 1, 2, 3, การใช้ Automation เพื่อจัดการกระบวนการที่ซับซ้อนและลดความผิดพลาดในการรายงานผล ESG ไปจนถึงการทำ Simulation และ Optimization เพื่อบริหารจัดการการใช้พลังงานและทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

นอกเหนือจากตัวอย่างข้างต้น ยังมีกรณีศึกษาที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น โครงการ Green Light ของ Google ที่ช่วยลดการหยุดรถติดแยกไฟแดงได้ถึง 30% ET City Brain ของ Alibaba Cloud ที่เพิ่มความเร็วการจราจรได้ 15% Unilever ใช้ AI พยากรณ์ความต้องการสินค้าได้แม่นยำขึ้น 30% Uber Freight ลดการวิ่งรถเที่ยวเปล่าได้ถึง 10-15% และระบบชลประทานอัจฉริยะที่ช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 50%
สำหรับองค์กรที่ต้องการเริ่มต้น เอกราชได้ทิ้งท้ายด้วยแนวทางที่เรียบง่ายคือ “EASY” ซึ่งประกอบด้วยการประเมินปัญหาที่สำคัญที่สุดขององค์กรก่อน (Evaluate) จากนั้นรวบรวมทีมจากหลากหลายฝ่ายมาช่วยกันคิด (Assemble) แล้วจึงเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหา (Select) และสุดท้ายคือเริ่มต้นจากโครงการเล็ก ๆ เพื่อพิสูจน์ผลลัพธ์แล้วค่อย ๆ ขยายผล (Yield)
“หัวใจสำคัญที่สุดคือ อย่าเริ่มจากเทคโนโลยี แต่ให้เริ่มจากสิ่งที่คุณอยากจะแก้ วันนี้เรามีทั้งความชำนาญและเทคโนโลยีที่ทรงพลังอยู่ในมือ ถึงเวลาแล้วที่ต้องร่วมมือกันเพื่อ ‘โค้ดดิ้งโลกใบนี้’ ให้น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป” เอกราช กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เปิดยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ ตั้งเป้าปั้นคน 10 ล้าน ดึงลงทุน 5 แสนล้าน
IBM ชี้ ‘ควอนตัม+AI’ กุญแจแก้ปัญหายากที่สุดของโลก