Share on
×

Share

‘Pink Economy’ พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ องค์กรเปิดรับความหลากหลายหนุนเสริมเติบโต

ตลาดแรงงานทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีสาเหตุจากการที่เทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพล และทดแทนแรงงานบางประเภท อีกทั้งความต้องการด้านทักษะแรงงานใหม่ การทำงานแบบยืดหยุ่นกลายเป็นมาตรฐานของการทำงานยุคใหม่ที่หลายคนต้องการ แต่สิ่งที่ยังเป็นความท้าทายด้านแรงงานคือ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาส โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความหลากหลาย เช่น กลุ่ม LGBTQ+ กลุ่มผู้สูงวัย กลุ่มผู้พิการที่ยังถูกมองข้าม

จากเวทีเสวนา “Beyond Rainbow” ซึ่งบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ได้นำผู้เชี่ยวชาญจากภาคแรงงาน ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ร่วมถอดรหัสความเข้าใจด้าน DEI (Diversity Equity และ Inclusion) พร้อมผลักดันแนวคิด Pink Economy ให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุคใหม่

ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด เผยข้อมูลเชิงลึกจาก จ๊อบส์ ดีบี (JobsDB) ว่า กลุ่มผู้สมัครงานที่มีความหลากหลายยังรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม เพราะองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่มีการประกาศหรือสื่อสารนโยบายด้าน DEI – Diversity (ความหลากหลาย)  Equity (ความเท่าเทียม) และ Inclusion (การมีส่วนร่วม) อย่างชัดเจน และในการประกาศรับสมัครงานแต่ละครั้งหลายบริษัทยังมีอคติแฝง เช่น คำที่สะท้อนถึงอายุ เพศ หรือภาพลักษณ์

ดวงพรให้คำแนะนำว่า องค์กรควรเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระบบรับสมัครงาน โดยใช้ภาษาที่เป็นกลาง หลีกเลี่ยงการตั้งคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสามารถ เช่น เพศ อายุ หรือสถานภาพสมรส รวมถึงการใช้เครื่องมือช่วยเขียนประกาศรับสมัครงาน (Job Ad Writing Tool) เพื่อช่วยลดอคติที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว และนำไปสู่การได้พนักงานที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง

“อายุเฉลี่ยวัยทำงานปัจจุบันอยู่ที่ 40 ปี คนทำงานทุกระดับจะเรียนรู้ตลอดเวลา ไม่ว่าอายุเท่าไรต้องพร้อมเรียนรู้ เปิดรับสิ่งใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ ดังนั้น การรับสมัครงานจึงไม่ควรจำกัดอายุ แต่ให้ใช้จำนวนปีของประสบการณ์มาเลือกคนทำงาน และคุณสมบัติที่ต้องการ และในที่ทำงานที่มีหลากหลายช่วงวัย ควรให้ความเคารพกันที่คุณภาพงานโดยไม่เกี่ยวกับอายุ”

ถ้านับคนไม่ว่าจะเพศใด เป็นหนึ่งหน่วยความเป็นมนุษย์ ประเทศ องค์กร หรือหน่วยงานอะไรก็แล้วแต่ที่เปิดเรื่องความหลากหลายเข้ามา คือการเพิ่มการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะถ้าตัดบางเพศ บางอายุ บางเชื้อชาติ บางศาสนาออกไป จะเหลือกลุ่มคนที่น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนธุรกิจ หรือเศรษฐกิจของโลก ของประเทศ หรือการเติบโตขององค์กร หน่วยงานต่างๆ

คนเพิ่ม ประสิทธิผลเพิ่ม

การเปิดกว้างคือการเปิดโอกาส การเปิดมุมมองทำให้เปิดรับแนวความคิดที่แตกต่างเข้ามา ทำให้สร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้ โดยจ็อบส์ ดีบี มองในแง่กำลังคน ซึ่งอย่างไรก็ไม่พอ องค์กรต่าง ๆ ได้สร้างงานขึ้นใหม่เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท และการจะทำให้ประเทศเติบโตก้าวหน้า แต่ปิดโอกาสของบางกลุ่มก็เป็นการสร้างข้อจำกัดในการเติบโต

การเปิดโอกาสให้มีจำนวนคนเพิ่มมากขึ้น ๆ จะทำให้องค์กรไปได้ และสร้างความภูมิใจแก่กลุ่มเพศ หรืออายุที่ไม่เคยได้รับโอกาส และสร้างให้เกิดการแข่งขันต่อเนื่องไปให้เกิดการขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตขึ้น ถ้าตัดบางกลุ่มออกไปจะเหลือกลุ่มเดียวที่แข่งขันกันเอง พอเปิดกว้างจะทำให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น ซึ่งการแข่งขันทำให้เกิดการพัฒนา ทำให้เกิดความก้าวหน้าของการเติบโตต่าง ๆ

ยิ่งเพิ่มคนยิ่งเพิ่มประสิทธิผล ทำให้เดินทางไปสู่การเติบโตที่เพิ่มขึ้น มีผลทวีคูณเพิ่มขึ้น ในปัจจัยของการเติบโต

คนควบคุม AI ได้ ช่วยเร่งการพัฒนา

การเข้ามาของ AI จะมาทดแทนแรงงานแน่นอน แต่ถ้าใช้ AI ได้ดี จะช่วยเพิ่มประสิทธิผลได้ เพิ่มปริมาณงาน หรือทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ฉะนั้น คนที่ควบคุม AI ได้ หรือใช้ AI ได้ดี จะเป็นตัวเร่งการพัฒนาได้ ซึ่งคนที่อยู่ในโลกของการทำงานจะต้องปรับตัว เรียนรู้ตลอดเวลา

“จากการพูดคุยกับเด็กมัธยมก็ต้องปลูกฝังให้เรียนรู้ตลอดเวลา เพราะไม่ทราบว่า อีก 3 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร ฉะนั้น Skill ใหม่ต้องมีอยู่ตลอด จะต้องหา Skill การเรียนรู้ใหม่ คือการเรียนรู้เรื่องใหม่ตลอดเวลา เพราะโลกเปลี่ยนเร็วมาก เป็นยุคของเทคโนโลยีที่ไปเร็ว ซึ่งจะทำอย่างไรให้คนเปลี่ยนเร็วตามด้วย และ AI เข้ามาแทนที่บางส่วนแน่ ๆ บางองค์กรลดพนักงานบางส่วนและใช้เครื่องจักร หรือ AI ทำงานแทน แต่คนที่ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์ได้มากจะเป็นที่ต้องการของบริษัทเพิ่มมากขึ้น โดยไม่จำกัด เพศ อายุ เชื้อชาติ สัญชาติ”

จะเห็นได้ว่า กลุ่มคนอายุมาก เริ่มไปเรียนการใช้ AI และใช้ได้ดี เพราะทราบว่า จะใช้ทรัพยากรใหม่ ๆ อย่างไรให้ตอบโจทย์องค์กร ขณะที่คนใหม่ ๆ อาจไม่มีประสบการณ์ คนเก่าจะมีประสบการณ์การเรียนรู้ที่เร็วขึ้น เป็นสิ่งที่ทำใหเกิดการแข่งขัน และมี Population ที่สามารถใช้เทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น เป็นผลดีต่อทั้งประเทศ องค์กร และประชากรโลก

ถ้าคุณสมบัติตรง ใช้ AI ตอบคำถามก็ได้งาน

ปิยะสุดา แคว้นนนทรีย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC
ปิยะสุดา แคว้นนนทรีย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC

ปิยะสุดา แคว้นนนทรีย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานทรัพยากรบุคคล บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC บอกว่า ผู้สมัครงานที่กรอกแบบฟอร์มผ่านเว็บไซต์โดยใช้ ChatGPT ตอบแบบสอบถาม แม้จะทราบว่า เป็นข้อมูลที่ดำเนินการโดย AI เพราะถ้าป้อนข้อมูลแบบเดียวกัน ก็จะได้คำตอบเหมือนกัน แต่ไม่มีผลต่อการเลือกรับคนเข้าทำงาน

“เราดูทักษะการทำงานเป็นหลัก รวมถึงประสบการณ์การทำงาน ถ้าตอบโจทย์ที่เราต้องการ เราก็รับ ChatGPT เป็นส่วนประกอบในด้านอื่น ไม่ใช่คีย์หลักในการพิจารณา”

เพิ่มพูน Soft Skill คนอยู่รอดยุค AI

การมี AI เข้ามาแล้วทดแทนคน ทาง KTC จะมีโครงการเรียนรู้ Upskill/Reskill ตลอดเวลา แต่ละปีบริษัทมีโครงการเปิดให้พนักงานเข้ามาเรียนรู้มากมาย

หลักสูตรที่เรียน เช่น การเพิ่ม Soft Skill การตอบสนองต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การทำความเข้าใจลูกค้า เป็นต้น แม้ AI จะเข้ามา แต่สิ่งที่คนจะอยู่รอดต่อไปได้ต้องมีทักษะที่เหนือกว่า

ออกแบบสวัสดิการจากความเข้าใจตอบรับไลฟ์สไตล์พนักงาน

เรื่อง DEI นั้น KTC ให้ความสำคัญทั้งมิติทางกายภาพและจิตใจ โดยได้ปรับปรุงสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกตามความต้องการของพนักงาน พร้อมสร้างวัฒนธรรมองค์กรในฐานะ Trusted Organization และเปิดโอกาสให้พนักงานรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดเห็น

ปัจจุบัน เคทีซีมีพนักงานประมาณ 1,800 คน โดย 70% เป็นเพศหญิง และกว่า 70% อยู่ในกลุ่ม Gen Y พนักงานทุกคนได้รับสิทธิ์เข้าถึงสวัสดิการอย่างเท่าเทียมโดยไม่จำกัดเพศ เช่น ก่อนจะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม KTC ก็มีนโยบายให้เบิกค่ารักษาพยาบาลแก่ครอบครัวกรณีที่อีกฝ่ายไม่มีพันธะกับผู้อื่นได้

นอกจากนี้ยังเปิดพื้นที่ให้พนักงานทุกระดับมีสิทธิ์แสดงความเห็นได้โดยไม่จำกัด เช่น การเปิดรับฟังความคิดเห็นในองค์กรของพนักงานทุกคน หรือเมื่อมี CEO LIVE Talk พนักงานสามารถถามคำถามกับซีอีโอได้โดยไม่ถูกปิดกั้น

“KTC มีวัฒนธรรมที่เรียกว่า Junior Speak First การให้โอกาสพนักงานที่เด็กกว่า ได้แสดงความคิดเห็นก่อน รวมทั้งเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ การฝึกอบรม โดยไม่จำกัดระดับชั้น เพศ วัย ทั้งยังสนับสนุนให้ผู้หญิงได้มีโอกาสเป็นผู้นำในตำแหน่งสูงสุด และผู้บริหารระดับสูงขององค์กรอีกด้วย”

วัฒนธรรมเปิดกว้าง Employee Engagement พุ่ง

ปิยะสุดา เล่าว่า นับตั้งแต่ปี 2560 KTC ได้สำรวจความผูกพันธ์ของพนักงานต่อองค์กร (Employee Engagement) โดยร่วมมือกับบริษัทที่ปรึกษาภายนอก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ได้รับจะถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัยและไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้

ผลสำรวจล่าสุด ปี 2567 พบคะแนนภาพรวมขององค์กรปรับตัวสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา และหัวข้อ Diversity & Inclusion เป็น 1 ใน 3 หมวดที่พนักงานรู้สึกพึงพอใจมากที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเปิดรับความหลากหลายด้านเพศ อายุ เชื้อชาติ ภาษา การศึกษา และแนวคิด เป็นสิ่งที่ถูกฝังรากไว้ในวัฒนธรรมองค์กรอย่างแท้จริง

แนวทางของ KTC ในการสร้างความเท่าเทียมทางสวัสดิการและวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับความหลากหลาย สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในบริบทของสังคมยุคใหม่ที่มองความหลากหลายไม่ใช่เพียงแค่การยอมรับแต่เป็นการทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า

ธรรมศาสตร์ หลักสูตรหลากหลาย

รศ.โรจน์ คุณเอนก อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม อดีตรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าว่า มหาวิทยาลัยตระหนักว่าโลกเปลี่ยนไปมาก ต้องปรับปรุงหลักสูตรให้ทันโลก จึงจัดหลักสูตรระยะสั้นให้เรียนรู้ หลังจากเรียนไปหลายหลักสูตร เก็บได้หลายหน่วยกิต หากไปเรียนเพิ่ม เก็บหน่วยกิตอีกเล็กน้อย สอบประมวลความรู้ผ่าน จะได้รับปริญญาโท

หลักสูตรจะมีหลากหลาย เป็น Diversity อย่างหนึ่ง รวมทั้งวันเรียนไม่จำกัดเฉพาะวันธรรมดา อาจเลือกเสาร์ อาทิตย์ เรียนแบบเสียเงิน หรือหลักสูตรฟรี หรือเรียนออนไลน์ ทดสอบออนไลน์ เก็บหน่วยกิตไว้ใน Credit Bank

“การเปิดรับความหลากหลาย เปิดโลก ทำให้เกิดความทันสมัย และความรุ่งเรืองขึ้นได้ ยุคไหนที่ปิดรับเฉพาะคนในกลุ่มเดียวกันจะทำให้เกิดความลำบาก และความหลากหลายทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง มองเชิงเศรษฐศาสตร์ ความต้องการของมนุษย์มีไม่จำกัด แต่ทรัพยากรมีอยู่จำกัด การมองหลากหลายทำให้ทรัพยากรถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า เพราะผลิตเฉพาะกลุ่มได้ ซึ่งเข้ากับยุคปัจจุบันที่ทรัพยากรหร่อยหรอ ไม่ใช่ผลิตไปธรรมดาๆ แล้วใช้บ้าง ทิ้งบ้าง จึงต้องการผู้มีสำนึกรักษ์โลก”

รศ.โรจน์ เห็นว่า ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความหลากหลายในปัจจุบัน หลายคนยังคงติดอยู่ในกรอบความคิดแบบเดิมที่มองเพียงแค่ชายหรือหญิง ขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันมีมิติมากกว่านั้น ดังนั้นการปลูกฝังความเข้าใจเรื่องความหลากหลายจึงควรเริ่มต้นตั้งแต่ในห้องเรียน เพราะเป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ร่วมกัน และเป็นการวางรากฐานสำหรับการใช้ชีวิตจริงในสังคม และในโลกของการทำงาน ซึ่งแนวทาง DEI เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้ในเรื่องดังกล่าวได้อย่างดียิ่ง

การวางรากฐานเรื่องความหลากหลายในสถาบันการศึกษา ถือเป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจและสร้างการเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติเมื่อเข้าสู่โลกการทำงานให้ดีมากยิ่งขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของกลุ่มความหลากหลาย หรือ Pink Economy สิ่งที่ธรรมศาสตร์ดำเนินการ คือ

Diversity: มุ่งปลูกฝังจิตสำนึกให้นักศึกษาตระหนักและให้คุณค่ากับความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ ความเชื่อ และวิถีชีวิต รวมถึงมีมาตรการส่งเสริมความปลอดภัยและความเข้าใจในด้านเพศสภาพ

Equity: ธรรมศาสตร์เชื่อว่าทุกคนควรได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม โดยบางคณะได้ริเริ่มจัดตั้งห้องน้ำแห่งความเสมอภาคที่ทุกเพศสามารถใช้งานร่วมกันได้

Inclusion: ส่งเสริมให้นักศึกษาทุกคนเข้ามามีบทบาทในกิจกรรมและสร้างพื้นที่สาธารณะของมหาวิทยาลัยให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ในการสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ต้องเขียนประวัติศาสตร์รับหลากหลายเท่าเทียม

คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ นักวิชาการอิสระ นักเล่าเรื่อง ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์โลก และภูมิรัฐศาสตร์ บอกว่า DEI เป็นเรื่องที่ควรตระหนัก ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการโอบรับเปิดพื้นที่ให้

แนวคิด DEI ไม่ใช่เรื่องใหม่ ความหลากหลาย ไม่ใช่แค่เพศวิถี แต่รวมถึงเชื้อชาติ ศาสนา ศรัทธา เป็นหนึ่งในมิติที่เก่าแก่และปรากฏอยู่ในสังคมมนุษย์มาตลอด

แก่นแท้ของวิชาประวัติศาสตร์คือการกำหนดความรับรู้ของผู้คนผ่านเรื่องเล่า เมื่อเนื้อหาหลักยังละเลยกลุ่มชายขอบเช่น แรงงานผู้หญิง หรือ LGBTQ+ จึงจำเป็นต้องมีการทบทวน ปรับปรุง และเขียนประวัติศาสตร์ใหม่เพื่อสร้างการมองเห็น และยอมรับความหลากหลายอย่างเท่าเทียม

ในฐานะที่เคยศึกษาอยู่ประเทศสิงคโปร์ คุณากร เห็นว่า สิงคโปร์เป็นตัวอย่างของการวางรากฐานการเท่าเทียมที่สำคัญเช่น การที่รัฐบาลสิงคโปร์ยกเลิกกฎหมายมาตรา 377A ซึ่งกำหนดโทษสำหรับความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนมกราคมปี 2566

แม้รัฐธรรมนูญของสิงคโปร์จะกำหนดว่าการสมรสที่กฎหมายยอมรับ ยังคงเป็นเรื่องระหว่างพลเมืองเพศชายกับเพศหญิงเท่านั้น แต่การไม่มองว่าความสัมพันธ์ทางเพศอันหลากหลายเป็นความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายอีกต่อไป ถือเป็นหลักประกันถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญ และจะนำไปสู่ความเท่าเทียมในมิติอื่นๆ ได้ในอนาคต

หากประเทศไทยต้องการก้าวสู่การยอมรับความหลากหลายอย่างแท้จริงต้องเริ่มจากระบบการศึกษาโดยเฉพาะการออกแบบหลักสูตร ที่ควรปลูกฝังความเข้าใจตั้งแต่วัยเด็ก

Pink Economy ไทยศักยภาพเติบโตสูง

การเปิดกว้างทางวัฒนธรรม และกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่มีผลบังคับใช้ ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้บริโภค LGBTQ+ หรือเศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) ในระดับภูมิภาคได้ โดยเฉพาะในภาคบริการที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะกลุ่มมากขึ้นเช่น การจัดงานเทศกาล โรงแรม ที่พัก รวมถึงการขยายไปสู่กิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเช่น การแพทย์ ความงาม เพื่อเจาะกลุ่มตลาดผู้ที่มีอัตลักษณ์หลากหลาย และมีกำลังซื้อสูง

อย่างไรก็ตามการทำให้เศรษฐกิจสีชมพูเติบโต ภาครัฐต้องทำงานเชิงลึกร่วมกับภาคเอกชนมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวไทย และชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในฐานะฮับของความหลากหลายในระดับภูมิภาค เช่นมาตรการด้านความปลอดภัย รวมทั้งอำนวยความสะดวก และสร้างแรงจูงใจในให้บริษัทที่มีสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับกลุ่ม LGBTQ+ เข้ามาตั้งสำนักงาน และการผลิตในประเทศไทย

ดร.ศศดิศ ชูชนม์ ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน  (สสปท.) สรุปว่า หัวใจสำคัญของ DEI ไม่ได้หมายถึงการยอมรับ แต่คือ การข้ามเส้นแบ่งอคติแห่งความเป็น “เขา” และ “เรา”อันเปราะบางการเคารพในสิทธิของความเป็นมนุษย์ และความเป็นอื่นในมิติอัตลักษณ์ที่ซับซ้อน ที่ไม่ใช่ความต่างเพียงแค่เพศสภาพแต่หมายถึงประสบการณ์มวลรวมของชีวิตที่หลากหลายของแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘สีเขียวต้องสร้างรายได้’: WHA Group พลิกวิกฤติสิ่งแวดล้อม สู่โอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืน

AI คือทางรอด: เปิดข้อมูลน่าทึ่ง ‘ปัญญาประดิษฐ์’ อาจลดโลกร้อนได้ถึง 10% และคืนทุนใน 6 เดือน

×

Share