Share on
×

Share

SCBX เผย 4 เทรนด์ AI ชี้ทางรอดธุรกิจคือ ‘การประยุกต์ใช้ ไม่ใช่สร้างใหม่’

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่รวดเร็ว SCBX ได้ชี้ทิศทางรอดสำหรับองค์กรไทย โดยระบุว่าความสามารถในการ “ประยุกต์ใช้” เทคโนโลยี AI ที่ทรงพลังและราคาถูกลงมหาศาล คือกุญแจสู่ชัยชนะในยุคปัจจุบัน

ดร.ทุตานนท์ สินธุประสิทธิ์ R&D & Innovation Lab Lead ของบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา “The Story Thailand Forum 2025” ซึ่งจัดขึ้นในวาระครบรอบ 5 ปี The Story Thailand ในหัวข้อการบรรรยาย “Innovate & Ignite: SCBX’s drive for sustianble future” ว่า การมาถึงของ Agentic AI ไม่ใช่แค่ AI ที่รอรับคำสั่งแล้วตอบแบบ Generative AI ทั่วไป แต่เป็นระบบที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเองอย่างเป็นอิสระ โดยมีกระบวนการอัตโนมัติตั้งแต่การคิดวิเคราะห์และวางแผน การมอบหมายงานให้ Agent ที่เหมาะสมพร้อมเลือกเครื่องมือ ไปจนถึงการลงมือทำและประเมินผลในลูปการทำงานที่สมบูรณ์ (Feedback Loop) เปรียบเสมือนการมีพนักงานดิจิทัลที่ทำงานซับซ้อนให้สำเร็จลุล่วงได้ ซึ่ง SCBX ได้เริ่มพัฒนา “แพลตฟอร์มที่ปรึกษาการลงทุน” ที่ใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อช่วยเหล่านักวิเคราะห์ตลาด (Market Researcher) ในการให้ข้อมูลลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งและรอบด้านกว่าเดิมแล้ว

SCBX เปิดตัวรายงาน AI Outlook 2025 เดินหน้่าสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI

การจะไปถึงจุดนั้นได้ ส่วนหนึ่งขับเคลื่อนโดยวิวัฒนาการของ Generative AI ที่กำลังก้าวไปใน 3 ทิศทางสำคัญพร้อมกัน ประการแรกคือ ความหลากหลาย (Multimodality) ที่ทำให้ AI รับรู้โลกได้เหมือนมนุษย์มากขึ้นผ่านทั้งข้อความ เสียง รูปภาพ และวิดีโอ ประการที่สองคือการทำให้โมเดลมีขนาดเล็กลง (Smaller) แต่ยังทรงประสิทธิภาพ ซึ่ง ดร.ทุตานนท์ ยกตัวอย่างว่าสามารถทำ “ข้อสอบคณิตศาสตร์” แข่งกับโมเดลใหญ่ได้สูสี แต่ให้ประโยชน์มหาศาลกว่าทั้งด้านความเร็ว ราคา ความเป็นส่วนตัวสูงเพราะทำงานบนเครื่องได้ (On-device) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประการสุดท้ายคือการทำให้โมเดล ฉลาดขึ้น (Smarter) ซึ่งไม่ได้มาจากการอัดข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการให้ AI มี “เวลาคิด” มากขึ้นระหว่างการประมวลผล ซึ่ง ดร.ทุตานนท์เปรียบเปรยว่าเหมือนการให้เวลาเด็กได้ไตร่ตรองคำตอบก่อนพูด

ขณะที่เทคโนโลยีกำลังก้าวไปข้างหน้า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ AI เข้าถึงได้ในวงกว้างคือ “สงครามราคา” ที่เกิดจากการแข่งขันอันดุเดือดของโมเดลแบบเปิด (Open Source) ซึ่งปัจจุบันมีขีดความสามารถทัดเทียมโมเดลแบบปิดมากขึ้น ทำให้ราคาของโมเดล AI ชั้นนำลดลงอย่างรุนแรง เช่น การมาของโมเดลประสิทธิภาพสูงอย่าง DeepSeek ได้กดดันให้ OpenAI ต้องลดราคาโมเดล O3 Mini ของตนลงถึง 14 เท่า และล่าสุดโมเดล O3 Pro ก็เปิดตัวมาพร้อมราคาที่ถูกลงอีก 80% ส่งผลให้ต้นทุนการเข้าถึงเทคโนโลยีไม่ใช่กำแพงอีกต่อไป

ดร.ทุตานนท์ ได้ให้คำแนะนำว่า “องค์กรต้องเลือกใช้โมเดลให้เหมาะกับงาน อย่าพยายามขับลัมโบร์กินีไปส่งพิซซ่า” และอ้างถึงคำพูดของ Andrew Ng ที่ว่า “Application Layer คือ Sweet Spot ที่สุดในตอนนี้” อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่ต้องการความแม่นยำสูงสุดและลดการตอบผิดพลาด (Hallucination) การลงทุนในโมเดลราคาแพงก็อาจคุ้มค่า ขึ้นอยู่กับการประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของแต่ละธุรกิจ

ดร.ทุตานนท์ สินธุประสิทธิ์

SCBX ไม่ได้มองเทรนด์เหล่านี้เป็นเพียงทฤษฎี แต่ได้นำมาประยุกต์ใช้จริงเพื่อแก้ปัญหาทางธุรกิจแล้วหลายโครงการ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือระบบ Market Conduct Detection ที่เข้ามาแก้ปัญหาการที่ไม่สามารถใช้คนนั่งฟังเสียงบันทึกการสนทนาได้ตลอดเวลา โดยใช้เทคโนโลยีแปลงเสียงเป็นข้อความ (ASR) และ LLM วิเคราะห์เนื้อหา สร้างเป็น “For Loop” สำหรับการกำกับดูแล ซึ่งปัจจุบันใช้งานจริงแล้วที่ Auto X บริษัทในเครือ นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Digital RM Training เพื่อแก้ปัญหาการฝึกอบรมพนักงานที่ขยายผลได้ยาก โดยใช้ AI Voice Bot ที่สามารถจำลอง “บุคลิก” (Personality Shells) ของลูกค้าได้หลากหลาย เพื่อให้พนักงาน RM ได้ฝึกฝนทักษะการสื่อสารได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้ได้ถูกยื่นจดสิทธิบัตรและยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ในแผนการพัฒนา (Pipeline)

AI-First Organization

เบื้องหลังความสำเร็จในการลงทุนด้าน AI ทั้งหมดนี้ มาจากวิสัยทัศน์ “AI-First Organization” ของ SCBX ที่ตั้งเป้าหมายชัดเจนในการใช้ AI สร้างรายได้ ปฏิรูปกระบวนการ และพัฒนาบุคลากรให้เป็น AI Talent ภายในกรอบเวลา 3 ปี ซึ่งปัจจุบันเหลือเวลาอีกเพียง 2 ปีเท่านั้น โดยมีกลไกสำคัญคือ “Innovation Ecosystem” ที่เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง SCB 10X ทีม R&D และทีมขยายผลเชิงพาณิชย์ รวมถึงการจับมือกับสถาบันวิจัยระดับโลกอย่าง MIT และ Stanford เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่ ดร.ทุตานนท์ เรียกว่า “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” และรับประกันว่าผลงานจะสามารถนำมา “Align กับ Business Use Case” ได้เสมอ นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอย่างการตีพิมพ์ผลงานในเวทีประชุมวิชาการระดับโลก เช่น ACL และ ICLR

SCB X AI-First Organization

ดร.ทุตานนท์ ย้ำภาพการนำเทรนด์ระดับโลกมาสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นจริงในบริบทของประเทศไทย ผ่านการนำโมเดล “ไต้ฝุ่น” ที่พัฒนาขึ้นเองและมียอดดาวน์โหลดกว่า 5 แสนครั้ง ยอดเรียกใช้งาน (API Call) กว่า 30 ล้านครั้ง และมีผู้ใช้งานกว่า 1 หมื่นคน ไปใช้งานร่วมกับพันธมิตรในประเทศ ทั้งในวงการแพทย์กับโรงพยาบาลศิริราชเพื่อช่วยให้แพทย์และพยาบาลสืบค้นข้อมูลได้ง่ายขึ้น วงการกฎหมายกับ VISAI ในการสร้าง Legal Chatbot และวงการเศรษฐศาสตร์กับ TDRI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลตำแหน่งงานจำนวนมหาศาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าอนาคตของการแข่งขันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และผู้ที่ปรับตัวและประยุกต์ใช้ได้เร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะในสมรภูมินี้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘สีเขียวต้องสร้างรายได้’: WHA Group พลิกวิกฤติสิ่งแวดล้อม สู่โอกาสทางธุรกิจที่ยั่งยืน

อันดับแข่งขันไทยดิ่งเหว กูรูจี้ ‘ผ่าตัดใหญ่’ ประเทศ ชี้รอไม่ได้อีกต่อไป

The Green Algorithm: AI ทางรอดของโลก พิสูจน์แล้วทำได้จริง

×

Share

ผู้เขียน