Share on
×

Share

3 ธุรกิจ ผู้เล่นตลาดคาร์บอน แชร์บทบาท สร้าง-ลงมือทำ โครงการคาร์บอนเครดิต

คำพูดที่กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังที่จะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero คือ สิ่งที่ทำให้ภาคธุรกิจไทยก้าวสู่โลกธุรกิจแบบใหม่ นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ทั้งเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย (TCNN) ธนาคารกสิกรไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ข้อมูลผลการสำรวจ รวมถึงการเปิดบทบาท มุมมอง และบทวิเคราะห์ทิศทางของตลาดคาร์บอนในอนาคตที่ทุกภาคส่วนสามารถนำไปใช้ประโยชน์กันต่อไปได้ในแง่ของการทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปได้เข้ามามีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน

บางจาก กสิกร และเวฟ บีซีจี 3 ผู้เล่นหลักในตลาดคาร์บอน

ผู้เล่นในตลาดคาร์บอนนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประเภทธุรกิจ เวทีเสวนาในหัวข้อ “บทบาทและมุมมองจากภาคธุรกิจสำหรับการเป็นผู้เล่นในตลาดคาร์บอนความคิดเห็นจากภาคธุรกิจที่มีต่อผลสำรวจ” จึงเปิดให้ 3 ธุรกิจที่แตกต่าง แต่เป็นผู้เล่นในตลาดคาร์บอนมาพูดคุยถึงบทบาทของแต่ละองค์กรสร้างและลงมือทำโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตให้ทราบกันมากยิ่งขึ้น

กลอยตา ณ กลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงบทบาทของบางจากในแง่ของการเป็นธุรกิจสีเขียวจากการมีธุรกิจในเครือหลากหลายด้านที่สนับสนุนการทำคาร์บอนเครดิต เช่น การจัดตั้ง Carbon Markets Club (CMC) ที่มองว่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะเป็นสะพานเชื่อมไปที่การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยการใช้คาร์บอนเครดิตจะเป็นส่วนในการที่จะเร่งไปสู่การเปลี่ยนผ่าน เนื่องจากผู้ที่สามารถที่จะพัฒนาโครงการขึ้นทะเบียนคาร์บอน จะผลิตและขายคาร์บอนเครดิตได้ แน่นอนว่า สามารถนำเงินที่เป็นเงินรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตไปพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ในแง่ของพลังงานสะอาดต่อไปได้ด้วย ซึ่งการจัดตั้ง Carbon Markets Club (CMC) นี้ก็ทำมาเพื่อสนับสนุนองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ให้มีการซื้อขาย และสร้างการรับรู้ในเรื่องของ Climate Action ซึ่งปัจจุบันนี้มีสมาชิกมากกว่า 1,000 รายในโครงการ

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงสิ่งที่กสิกรดำเนินธุรกิจในด้านคาร์บอนเครดิตว่า เป็นผู้ซื้อในช่วงปีแรก ๆ ที่เกิดการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตขึ้น โดยในช่วง 3-4 ปีแรกของตลาดคาร์บอนในไทย กสิกรเป็นผู้ซื้อ 80% โดยประมาณของตลาด ซึ่งการซื้อคาร์บอนเครดิตก็เพื่อสร้างตลาดให้เกิดขึ้น นอกจากนี้มีการทำบริษัทคอปฟิฟตี้ที่จะดูแลหลายธุรกิจด้วยกัน เช่น การทำ Energy Solution ที่เรียกว่า K Energy Plus, การทำ Green Pass ร่วมกับ EGAT ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ประชาชนรายย่อยสามารถขึ้นทะเบียนรวมกันได้เพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากการขาย REC, การทำ K Climate 1.5 ที่ทำในด้าน Carbon Credit Solution ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของ Carbon Credit measurement หรือ reporting, การทำ  creative climate center ที่ให้ความรู้ด้าน climate เพราะกสิกรเชื่อว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการไม่ใช่แค่ Green Finance แต่เป็นองค์ความรู้ต่าง ๆ ด้วย

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยยังร่วมกับ K Climate Research Center ในการสร้าง Network ที่ชื่อว่า Thai CPN (Thailand Climate Business Network) ซึ่งเป็นเครือข่ายธุรกิจเพื่อการจัดการสภาพภูมิอากาศประเทศไทยร่วมกับ 25 องค์กรชั้นนำทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เพื่อสร้างเครือข่ายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดห่วงโซ่อุปทาน และผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ งานวิจัย เทคโนโลยี รวมถึงยกระดับศักยภาพของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทานให้พร้อมคว้าโอกาสใหม่ของธุรกิจในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

เจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด กล่าวถึงวิสัยทัศน์และบทบาทของเวฟ บีซีจีที่ต้องการจะเป็นผู้สนับสนุนภาคเอกชนในการที่จะบรรลุเป้าหมายด้าน Climate และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลกด้วยการสร้าง Ecosystem ของทางบริษัทให้เป็น One Stop Service เรื่อง Climate โดยเริ่มตั้งแต่การเป็นปรึกษา ซึ่งจะมีทีม Climate Consulting ที่ช่วยองค์กรวางแผนคำนวณ Carbon Footprint ขององค์กร คำนวณ Carbon Footprint ของตัวผลิตภัณฑ์ และทำ Gap Analysis เพื่อดูว่า Hotspot ในองค์กรที่ต้องการลดจะสามารถลดอย่างไรได้บ้าง รวมถึงการมี Solution Partner ที่จะช่วยองค์กรในการที่จะวางแผน จากนั้นตั้งเป้าตั้ง KPI ตลอดจนถึงการที่สนับสนุนด้าน Framework ในการที่จะช่วยองค์กรต่าง ๆ เข้าสู่การได้รับ Green financing จากสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ยังมีการทำโครงการ Climate Project ซึ่งทำร่วมกับคณะทำงานของกรมวิชาการเกษตรในการวัด Base Line ของพืชเกษตรต่าง ๆ ในการได้คาร์บอนเครดิต ไม่ว่าจะเป็นมันสำปะหลัง ทุเรียน ข้าวแล้วก็พวกเกษตรต่าง ๆ และการทำ MoU กับทางกรมข้าวในการที่จะพัฒนาการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งเพื่อได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิต ซึ่งในปัจจุบันนี้มีพื้นที่การปลูกข้าวประมาณ 3,000 – 5,000 ไร่ที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการนี้ต่อไปได้ และในด้านการจัดหาคาร์บอนเครดิตและ REC ทางเวฟ บีซีจีก็เป็น Trader ให้กับทางผู้ประกอบการ รวมถึงสร้าง Carbon Credit Warehouse เพื่อสนับสนุนความต้องการเพิ่มเติมด้วย

อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตของตลาดคาร์บอน

กลอยตา กล่าวถึงสถานการณ์และความท้าทายในการพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศไทย โดยประเทศไทยถือว่าเป็นผู้บุกเบิกในภูมิภาคและมีประสบการณ์ในการพัฒนาตลาดคาร์บอนมานานกว่าประเทศอื่น ๆ ซึ่งหนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญคือการสร้างมาตรฐานคาร์บอนของตัวเองที่เรียกว่า T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ภายในประเทศ และกำลังมีการพัฒนาเพิ่มเติมเป็น Premium T-VER อย่างไรก็ตาม T-VER ยังคงมีข้อจำกัดคือสามารถใช้ได้เพียงในประเทศเท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคที่เริ่มนำมาตรฐานสากลมาใช้ทันที เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย 

สำหรับในด้านการเติบโต ประเทศไทยเริ่มเห็นการเติบโตในตลาดคาร์บอนอย่างชัดเจนในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการประกาศเป้าหมายขององค์กรหลายแห่งเกี่ยวกับการบรรลุ Net Zero ซึ่งเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เท่ากับศูนย์ หลังจากการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เห็นการซื้อขายคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น แต่ในด้านของราคายังคงต่ำอยู่มาก ในขณะที่ในยุโรป ราคาคาร์บอนต่อหนึ่งตันอยู่ที่ประมาณ 100 ยูโร เมื่อเปรียบเทียบกับราคาคาร์บอนในประเทศไทยที่อยู่ประมาณ 70-80 บาทต่อตัน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงช่องว่างขนาดใหญ่ที่ยังสามารถพัฒนาและปรับปรุงได้

สำหรับมาเลเซียถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของประเทศที่เพิ่งเข้ามาในตลาดคาร์บอน แต่ได้แสดงความกระตือรือร้นอย่างมาก โดยได้ตั้งสมาคมที่เกี่ยวข้องกับตลาดคาร์บอนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญไทยมองเห็นว่า การร่วมมือกันในระดับภูมิภาคเป็นสิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาตลาดคาร์บอนให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อผลักดันให้เกิดความเข้มแข็งในตลาดคาร์บอนในภูมิภาค และบทบาทของประเทศไทยนั้นต้องไม่ “แผ่ว” หรืออ่อนแรงลง เพราะมาเลเซียกำลังแสดงบทบาทอย่างแข็งขันในตลาดนี้ ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นผู้นำจึงควรจะรักษาบทบาทนี้ต่อไป โดยการร่วมมือกันในภูมิภาคเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดคาร์บอน และปักธงให้ประเทศไทยเป็นฮับหรือศูนย์กลาง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะทำได้

หรือในด้านการเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ อย่างอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง เช่น อุตสาหกรรมการบิน ซึ่งกำลังพยายามปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่น่าสนใจ โดยหนึ่งในวิธีที่น่าสนใจคือการใช้ น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีบทบาทสำคัญในการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบิน ตัวอย่างของการดำเนินการในเรื่องนี้คือ บริษัทบางจากที่ได้เริ่มรวบรวมน้ำมันใช้แล้วจากการปรุงอาหารจากครัวเรือนและร้านอาหารทั่วประเทศ เพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำมัน SAF สำหรับเครื่องบิน ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดของสหภาพยุโรปที่ในปี 2024 เครื่องบินที่บินเข้าสหภาพยุโรปจะต้องใช้น้ำมัน SAF อย่างน้อย 2% ของปริมาณน้ำมันทั้งหมด และสัดส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 การลงทุนในน้ำมัน SAF ถูกมองว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบิน แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับลูกหลาน นอกจากนี้ การพัฒนาระบบที่เรียกว่า Book and Claim ซึ่งผู้โดยสารสามารถเคลมคาร์บอนเครดิตจากการบินด้วยน้ำมัน SAF ได้ ถือเป็นแนวทางใหม่ที่กำลังพัฒนาและเริ่มได้รับความสนใจ

นอกจากน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแล้ว ตลาดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจยังรวมถึงการพัฒนา ดีเซลสะอาด ที่มีส่วนผสมของไบโอมากขึ้น เช่น รถบรรทุกที่อาจใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนหรือไฟฟ้าในอนาคต ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการลดคาร์บอนทั้งในกระบวนการผลิตและการใช้งาน

ดร.กรินทร์ กล่าวว่า ตลาดคาร์บอนนั้นเป็นสิ่งที่ทั่วโลกเกิดความตื่นตัวโดยมีการตั้งเป้าหมาย Net Zero ซึ่งหมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือศูนย์ ส่งผลให้ตลาดคาร์บอนเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหนุนจากการประกาศของภาครัฐเกี่ยวกับ Carbon Neutrality และ Net Zero Target ทำให้ปัจจุบันนี้องค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยตื่นตัวและเริ่มเข้าสู่ตลาดคาร์บอนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดคาร์บอนจะมีการเติบโต แต่ก็ยังพบว่าตลาดยังคงไม่สมบูรณ์ โดยราคาคาร์บอนยังมีความผันผวนและมีความแตกต่างกันอย่างมากตามแหล่งที่มาของคาร์บอนเครดิต เช่น คาร์บอนจากพลังงานแสงอาทิตย์มีราคาตั้งแต่ 20 ถึง 500 บาทต่อตัน ในขณะที่คาร์บอนจากการผลิตป่าไม้อาจมีราคาสูงถึง 3,000 บาทต่อตัน ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนและความแตกต่างในตลาดคาร์บอนที่ยังคงมีอยู่

ดังนั้น หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญ คือ การสร้างมาตรฐานกลางในการซื้อขายคาร์บอนในระดับภูมิภาคหรือระดับสากล ซึ่งประเทศไทยเองมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การผลักดันให้เกิดมาตรฐานนี้ยังคงขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐและการยอมรับจากประเทศต่าง ๆ ในระดับโลกด้วย และความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการป้องกันไม่ให้เกิดการ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) ซึ่งหมายถึงการทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการดูเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าความเป็นจริง ธนาคารต้องมีกลไกในการตรวจสอบและติดตามแหล่งที่มาของคาร์บอนเครดิตอย่างชัดเจน เช่น การระบุแหล่งที่มาของป่าที่ปลูกในจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำที่มีความสำคัญต่อระบบน้ำของประเทศไทย การสร้างมาตรฐานและความโปร่งใสในกระบวนการนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าของคาร์บอนเครดิตและสร้างความเชื่อมั่นในตลาด

เจมส์ กล่าวถึงในแง่ของ Matchmaker และเทรดเดอร์จากฝั่งกลุ่มผู้ซื้อและผู้ขายคาร์บอนเครดิตไว้ว่า ในปัจจุบัน องค์กรหลายแห่งยังคงรอความชัดเจนเกี่ยวกับกฎหมายและนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอน เช่น พ.ร.บ.โลกร้อน และภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) รวมถึงข้อกำหนดของประเทศปลายทางที่ไทยส่งออกสินค้าไป เช่น ข้อกำหนด CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้หลายองค์กรยังคงรอดูท่าทีและไม่ได้ตัดสินใจเข้ามาซื้อขายคาร์บอนอย่างเต็มที่ หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่เลยก็คือ การขาดความสอดคล้อง (Mismatch) ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดคาร์บอน ผู้ขายหรือผู้พัฒนาโครงการมักจะพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตโดยไม่ทำความเข้าใจตลาดหรือความต้องการของผู้ซื้อก่อน ทำให้เกิดปัญหาที่ผู้ซื้อไม่สนใจที่จะซื้อคาร์บอนเครดิตที่ผู้ขายพัฒนาขึ้น เนื่องจากไม่ตรงกับความต้องการ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการทำการสำรวจตลาดหรือการหาผู้ซื้อที่ชัดเจนก่อนการพัฒนาโครงการเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาและเพื่อให้โครงการนั้นมีความน่าสนใจและสามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสม

จะเห็นว่าการร่วมมือกันระหว่างภาคธุรกิจในการขับเคลื่อนตลาดคาร์บอน โดยเน้นการพัฒนามาตรฐาน การป้องกันการฟอกเขียว และการสร้างความสอดคล้องระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายคาร์บอนเครดิต เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและความยั่งยืนในอนาคตของประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยพัฒนาให้ผู้เล่นในตลาดคาร์บอนเติบโตและได้รับผลประโยชน์ที่ดีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพตามมาได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

×

Share

ผู้เขียน