สำนักข่าว TODAY จัดสัมมนา “Sustain City: Age of AI พลิกโฉมเมืองใหม่ สร้างทุกสิ่งให้ยั่งยืน” เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 5 ปี ณ SCBX NEXT TECH สยามพารากอน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 โดยมี ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตไทยในมือเรา : AI และนวัตกรรมดิจิทัลกับการขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน” เน้นย้ำว่า ไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็น “AI Nation” ตั้งเป้าเป็นผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนภายในปี 2570 พร้อมแผนยุทธศาสตร์ดิจิทัลใน 4 ด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร การกำกับดูแล และการประยุกต์ใช้ AI เพื่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยคาดการณ์ว่า Digital GDP ของไทยปี 2568 จะขยายตัว 6.2% คิดเป็น 3.4% ของ GDP รวม และมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลแบบกว้าง (Broad Digital GDP) อยู่ที่ 4.69 ล้านล้านบาท
ประเสิรฐ กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล อาทิ ThaiD, PromptPay และโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใช้งานจริงแล้ว รวมถึงบุคลากรและนโยบายรัฐที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน จะทำให้ไทยเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI ในภูมิภาคได้ภายในปี 2570 พร้อมสร้าง ระบบนิเวศ AI ที่ยั่งยืน โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาหัวข้อ “Green AI Solutions: AI รักษ์โลก Solution รักษ์คน” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ประธานกรรมการบริหาร FutureTales Lab และผู้เชี่ยวชาญ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ListenField และ ณัฏฐิณี เนตรอำไพ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านสื่อสารองค์กร องค์กรสัมพันธ์ และความยั่งยืน กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย
–AI พลิกโลก: จากพายุสู่โจ๊กในถ้วย
โดยในวงเสวนาได้สะท้อนให้เห็นแง่มุมความร่วมมือเพื่อสร้าง “ความยั่งยืน” ที่ไม่ใข่แค่เพียงแนวคิด แต่สามารถทำให้กลายเป็นความจริงที่จับต้องได้ด้วยพลังของความรู้ เทคโนโลยี AI
รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า การนำ AI Solution มาใช้วิเคราะห์ Climate Risk เพื่อจับตาสภาพอากาศเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงล่วงหน้า 5-10 ปี ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบความเสียหาย เราสามารถวางแผนเมือง การจัดการน้ำ การเกษตร และยังช่วยเพิ่มความพร้อมในภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ก็ยังเผชิญข้อจำกัดและความท้าทาย โดยเฉพาะเรื่อง คุณภาพข้อมูลและความพร้อมของบุคลากร ประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องระบบเก็บข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ แต่แม้จะมีอุปสรรค แต่ตัวอย่างจากต่างประเทศและธุรกิจชั้นนำแสดงให้เห็นว่า การนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ Climate Risk เป็นแนวทางสำคัญในการสร้างความยั่งยืนและลดความเสียหายจากภัยพิบัติ ทั้งหมดถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือยุทธศาสตร์สำหรับประเทศไทยในการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ขณะที่มุมมองจากภาคธุรกิจ ณัฏฐิณี กล่าวว่า Unilever ขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แนวคิด “Green AI” ที่ไม่ใช่แค่การใช้ AI แต่เป็นการใช้ AI อย่างยั่งยืน ตัวอย่างสำคัญของการใช้งาน AI คือสร้างระบบ Sustainable Sourcing มาช่วยวิเคราะห์ที่มาของวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงและยั่งยืนสำหรับผลิตภัณฑ์ มีการใช้ Retail System AI ช่วยคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า ประเมินดีมานต์ และจัดการสต็อกสินค้าแบบเรียลไทม์ เป็นต้น นอกจากนี้มีการใช้ Green by Design AI ช่วยนักวิทยาศาสตร์พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ใหม่จากฐานข้อมูลงานวิจัยกว่า 200,000 ฉบับ ทำให้สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์มิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยไม่ต้องทดลองด้วยมือทั้งหมด
พันธกิจของ Unilever ในอนาคตคือระบบ Fully Integrated AI ที่เชื่อมทุกส่วนของธุรกิจเข้าด้วยกัน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดจำหน่าย ไปจนถึงผู้บริโภค โดยคำนึงถึง Green AI ใช้พลังงานหมุนเวียน และสร้างมาตรฐานความยั่งยืนอย่างชัดเจน
ดร.รัสรินทร์ กล่าวว่า เป้าหมายของ ListenFieldThailand คือการมี เลขาส่วนตัว AI ประจำแปลงเกษตรที่สามารถให้คำแนะนำเกษตรกรเฉพาะแต่ละแปลงแบบเรียลไทม์ เป็นตัวช่วยให้เกษตรกรทุกคนเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำได้ง่าย การนำ AI Solution มาใช้สามารถช่วยยกระดับและปฏิวัติวงการเกษตรไทย ด้วยการเชื่อมงานวิจัย เทคโนโลยี และข้อมูลเข้ากับการปลูกพืชอย่างแม่นยำ ตั้งแต่การเตรียมแปลง การปลูก ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดความเสี่ยง และสร้างความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม
โดย AI จะช่วยวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้เพื่อนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมกับแต่ละแปลง รวมถึงติดตามปัญหาระหว่างการปลูก ข้อดีของระบบนี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงให้เกษตรกรและคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน AI สามารถพยากรณ์และจัดการ Supply-Demand ทำให้การบริหารต้นทุนและทรัพยากรมีประสิทธิภาพ
ในช่วง “Brand Showcase : ไปให้ถึงความยั่งยืนยังไงด้วย AI” มีผู้นำเสนอแนวคิด ได้แก่ ดร.มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Deputy Managing Director, Head of AI Research and Development, KBTG และ นิรมล ดิเรกมหามงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟ-24 จำกัด (LIV-24)

ดร.มนต์ชัย ได้นำเสนอเคสตัวอย่างของ KBTG ในการเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการทางการเงินจาก “Banking” ให้เป็น “Banking Human” คือการเป็นธนาคารที่เข้าใจและเข้าถึงจิตใจลูกค้าด้วย AI เช่น การให้ AI วิเคราะห์วิดีโอเพื่อทำความเข้าใจความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย และการใช้ AI ตกแต่งบ้านมือสองเสมือนจริง มีการให้ AI ดูแลความปลอดภัยทั้งระบบไอที พนักงาน และลูกค้า มีการใช้ AI ตรวจจับการทุจริต เช่น การใช้บัตรเครดิตผิดปกติ และยืนยันตัวตนลูกค้าผ่านเทคโนโลยีระดับสูงสุด
โดย KBTG มีการเปลี่ยนแปลงองค์กรมาต่อเนื่อง ปีที่แล้ว (ปี 2567) มีเป้าหมายให้พนักงาน 100% ใช้ AI ได้อย่างปลอดภัย สำหรับปีนี้ (ปี 2568) KBTG ตั้งเป้าให้ AI อยู่ในทุกส่วนของงานและพนักงานอย่างปลอดภัยและเข้าใจ โดยสร้าง AI Agent ช่วยงานพัฒนาโค้ดหรืองานด้านความปลอดภัย เพราะ KBTG เชื่อว่าการลงทุนในคนและพนักงานจะช่วยสร้างสิ่งดี ๆ คืนสู่สังคม
นิรมลเล่าไว้ว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา LIV-24 บริษัทในเครือแสนสิริ ได้พิสูจน์ตัวเองว่า “ความปลอดภัย” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กล้องวงจรปิด แต่คือการใช้ AI และความเชี่ยวชาญของคนทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ปัจจุบัน LIV-24 ดูแลมากกว่า 440 โครงการ ครอบคลุมผู้พักอาศัยกว่า 100,000 คน รวมถึงโครงการดังอย่าง The Met และ The River
ส่วนในด้านความปลอดภัยขั้นสูง เทคโนโลยี AI ของ LIV-24 สามารถตรวจจับเหตุผิดปกติได้แม้ในที่มืด ตั้งแต่งูเหลือมตัวใหญ่ที่เลื้อยเข้ามาในพื้นที่ ไปจนถึงการแจ้งเตือนเหตุไฟไหม้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังมีระบบดูแลอาคารที่ครอบคลุมทั้งน้ำ ไฟฟ้า และระบบดับเพลิง เพื่อให้การใช้ชีวิตทุกวันมั่นใจได้ว่าปลอดภัยจริง
นอกจากนี้ LIV-24 ยังขยายบริการออกไปสู่ธุรกิจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงแรม อาคารสำนักงาน ไปจนถึงการเชื่อมต่อระบบ CCTV ของสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ทำให้สามารถเฝ้าระวังพื้นที่ขนาดใหญ่และซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในภาคอุตสาหกรรมเอง LIV-24 ก็นำ AI + IoT มาช่วยยกระดับการทำงาน ทั้งการตรวจจับความปลอดภัยของพนักงานในโรงงาน การควบคุมคุณภาพการผลิต การตรวจสอบประสิทธิภาพเครื่องจักร ไปจนถึงการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป้าหมายไม่ใช่แค่ “ความปลอดภัย” แต่คือการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน
ปิดท้ายงานด้วยหัวข้อ “เมื่อ AI ทำได้ทุกอย่าง แล้วที่ทางของมนุษย์อยู่ที่ตรงไหน” โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ รศ.ดร.อรรถพล ธำรงรัตนฤทธิ์ อาจารย์ภาควิชาภาษาศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภามหาวิทยาลัย CMKL
โดย รศ.ดร.อรรถพล เล่าถึงความต่างระหว่าง AI กับมนุษย์ ถึงแม้ว่า AI จะเก่งในเรื่อง ‘ภาษาศาสตร์’ อย่างมาก เพราะศึกษาและพัฒนาจากโครงสร้างภาษาได้ไว แต่ AI ยังพัฒนาไม่เทียบเท่ากับสิ่งที่มนุษย์ทำได้ โดย “บาร์ (มาตรฐาน) ของ AI ที่หลายคนมองว่าเทียบเท่ากับความรู้ระดับปริญญาเอก สำหรับ ChatGPT 5 แต่ความจริงก็คือ AI ยังไม่สามารถตอบคำถามที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านได้เหมือนมนุษย์ เช่น ชีววิทยา, เคมี, วรรณกรรม ฯลฯ”
AI ยังขาดสกิลการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ยังทำเพียงการทำสิ่งที่ซ้ำซากจำเจ เช่น การพิจารณาเรซูเม่ 50 คน, รวบรวมข้อมูล หรือ กรอกข้อมูลใน Excel อย่างไรก็ตาม AI มีความรอบรู้ พัฒนาเร็ว และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ตลอด แต่มนุษย์ยังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘AI Gap’ เพราะสถานะทางสังคมเศรษฐกิจ และสังคม ของผู้ใช้ที่ต่างกัน ทำให้ AI ถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้ต่างกันนั่นเอง
–วิถีมนุษย์ ในยุคปัญญาประดิษฐ์
ศ.ดร.สุชัชวีร์ ได้หยิบเรื่องน่าคิดมาแชร์บนเวทีว่า หลายคนกลัวว่า AI จะมาแทนที่ ซึ่งสิ่งที่ AI ทำได้มีหลายอย่างเกินจริง ขณะที่มนุษย์มีเซลล์สมองมากถึง 86,000 ล้านเซลล์ ดังนั้น ไม่มีทางที่ AI จะฉลาดเกินกว่ามนุษย์ แต่ AI จะสำคัญขึ้น มีบทบาทมากขึ้น และมีความสุดโต่งขึ้น
“เรากำลังเข้าสุ่ยุคจักรวาล AI แบบสุดโต่ง อะไร ๆ ก็ต้อง AI หรือ AI sensorization of Things นักลงทุนที่ฉลาดที่สุด, มหาเศรษฐีที่รวยที่สุด และคนที่มีอำนาจที่สุด ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ AI ทั้งสิ้น”
ศ.ดร.สุชัชวีร์ ได้สรุปสิ่งที่จะเกิดขึ้น 3 อย่าง ในจักรวาล AI คือ คนรวยจะทำเรื่องอวกาศมากขึ้น AI of things ไม่ว่าจะสร้างสรรค์อะไรก็จะมี AI เสมอ และสุดท้าย Medical Intelligence ทั้งคนรวย คนเก่ง ต่างก็กลัวความตาย ดังนั้น คือการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์และนวัตกรรมการรักษามนุษย์ออกมามากที่สุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เส้นทางสู่ยูนิคอร์น: บันทึกการเดินทาง 3 ตำนานสตาร์ตอัพไทย
เมื่อ ‘Homerun’ เป็นมากกว่าหนังสือ: เจาะใจคนทำหนังสือ