ดีแทค มุ่งสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน เปิดแคมเปญ #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา ชวนทุกเจเนอเรชั่น “ปลุกความกล้า เปล่งเสียง ปล่อยความคิดเห็น” ต่อต้านการกลั่นแกล้งรังแกบนโลกออนไลน์ บนแพลตฟอร์ม crowdsourcing สู่การขับเคลื่อน ‘ไซเบอร์บูลลี่ Playbook’ หรือ “ข้อปฏิบัติร่วมเพื่อหยุดไซเบอร์บูลลี่” เล่มแรกในประเทศไทย
ดีแทคเล็งเห็นถึงความสำคัญในการร่างและพัฒนาหลักปฏิบัติและมาตรฐานการกำกับดูแลปัญหาการกลั่นแกล้งทางโลกออนไลน์ที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าโซเชียลมีเดียประกอบไปด้วยข้อความที่สร้างความเกลียดชัง 39 ข้อความต่อนาที พบการเกิดขึ้นของปัญหาในสถานศึกษามากที่สุด และเพื่อนมักเป็นผู้กระทำการกลั่นแกล้งรังแก
อรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารองค์กรและความยั่งยืน ดีแทค กล่าวว่า ดีแทคทำโครงการ Safe Internet ไม่ได้มุ่งหวังเป็น branding campaign เท่านั้น ดีแทคถือว่าเป็น corporate citizen ที่ทำธุรกิจอินเทอร์เน็ตด้วยวัตถุประสงค์อยากเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้สังคม แต่ก็มีส่วนได้ส่วนเสียในการสร้างผลเสียให้กับสังคม คนใช้อินเทอร์เน็ตไปทำร้าย ไปสร้างความเสี่ยงให้ผู้อื่น หรือบลูลี่ผู้อื่น เป็นความรับผิดชอบของดีแทคในฐานะผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ดีแทคอยากแสดงความรับผิดชอบ
- ดีแทค เปิดตัวเว็บ GAMING NATION แจกโค้ดเติมเกม คุ้มสุดทุกวันศุกร์
- ดีแทคขยายคลื่น 700 MHz ทั่วไทย เน็ตความเร็วสูง สร้างคุณค่าเพื่อทุกคนในสังคม
ในงาน Safe Internet ดีแทคทำ 3 สิ่ง สิ่งแรก คือ สร้างองค์ความรู้และภูมิคุ้มกันให้กับนักเรียนและคุณครู สิ่งต่อมา คือ ช่วยค้นหา insight สำคัญเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสังคมช่วยกันแก้ปัญหาความเสี่ยงบนออนไลน์เหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง ที่ผ่านมามีการพูดถึง cyberbully กันมาก แต่องค์ความรู้และภูมิทัศน์ของ cyberbully ในสังคมหาได้ยากมาก และสิ่งที่ 3 คือ เป็นองค์กรหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญเพื่อหยุดวงจร cyberbully ทั้งหมดนี้คือ ความคาดหวังของดีแทค

“หากแคมเปญนี้มีคนเข้าร่วมจำนวนมาก ได้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จำนวนมาก และ playbook สามารถต่อเชื่อมกับองค์กรภาครัฐ NGOs หรือภาคสังคม แล้วออกมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ถือว่าเราบรรลุเป้าหมายของโครงการ” อรอุมา กล่าว
ดีแทคเริ่มทำโครงการ cyberbully มาตั้งแต่ปี 2559 ด้วยความคิดว่าดีแทคจะสร้างการเปลี่ยนแปลงและแรงกระเพื่อมได้อย่างไร พบว่าคนมีความตระหนักรู้เรื่อง cyberbully ต่ำมาก ตอนนี้เลยจุดที่รับรู้ ตื่นตัว รับทราบ คนเริ่มพูดเริ่มถึงวิธีการแก้ปัญหา สิ่งที่เริ่มเห็นคือ cyberbully ไม่ใช่ปัญหาที่แก้แล้วจบที่ตัวคน ๆ เดียว แต่แนวโน้มของ cyberbully คือ เป็นปัญหาร่วมที่ทุกคนต้องการการแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่เฉพาะกับคนที่ถูกบลูลี่เท่านั้น คนที่กลั่นแกล้ง คนที่ยืนดู รวมถึงระบบนิเวศอื่น ๆ ต้องเข้ามาร่วมช่วยกัน จะเริ่มเห็นความร่วมมือในการแก้ร่วมกันคล้าย ๆ กับเรื่อง climate change

“เราไม่ได้คิดจะทำต่อเนื่องมาถึง 5 ปี คิดว่าทำตอน 2-3 ปีก็น่าจะไม่มีอะไรให้ทำแล้ว แต่พอยิ่งทำยิ่งรู้ว่าเราในฐานะโอเปอเรเตอร์ เราสามารถทำได้มาก ผลกระทบในปีนี้ที่อยากทำ คือ อยากต่อเชื่อมจุด เพราะเราต้องแก้ปัญหาร่วมกันหลายหน่วยงาน ที่ผ่านมาไม่มีภาพรวมของการร่วมมือกันแก้ปัญหา แต่ต่างคนต่างทำ ท้ายที่สุดหากเราสามารถออก Playbook ที่มีเหตุมีผล มีน้ำหนักได้ แล้วส่งให้ภาครัฐร่วมกันกับระบบนิเวศหลาย ๆ องค์กร แล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ถือว่าเป็นผลกระทบที่ดีแทคได้ร่วมสร้างกับพันธมิตร” อรอุมา กล่าว

ผลกระทบ cyberbully
ดร.ธานี ชัยวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ศึกษางานวิจัย กล่าวว่า ไซเบอร์บูลลี่ที่วัยรุ่นไทยเผชิญอยู่มากที่สุด 3 เรื่อง คือ การเหยียดรูปร่างหน้าตา (Body Shaming) การเหมารวมและอคติทางเพศ (Gender Inequality) และการกล่าวล่วงละเมิดทางเพศ (Sexual Harassment) ซึ่งผลกระทบจากทั้ง 3 แบบ แบบไหนรุนแรงสุดนั้นตอบยาก เพราะแต่ละคนจะถูกบลูลี่ต่างกัน แต่ความรุนแรงสุดท้ายคือจะนำสู่ภาวะซึมเศร้า อาจจะนำมาสู่ความไม่พึงพอใจในตัวเอง รังเกียจตัวเอง และเติบโตมาด้วยควาที่ไม่มั่นใจ ไม่กล้า และหวาดกลัว และอาจจะไม่เห็นผลกระทบ ณ วันนี้ แต่การกลั่นแกล้งในวัยเด็ก มันคือบาดแผลที่ส่งผลต่อพฤติกรรมตอนโตด้วย
จากการวิจัยในขั้นตอนแรกเพื่อพัฒนาสู่แพลตฟอร์มระดมความคิดเห็น พบข้อสังเกตที่น่าสนใจ 3 ประการ ได้แก่
1. การให้คำนิยาม (Definition) พบว่า อายุ และประสบการณ์มีผลต่อความเข้าใจความหมายของปัญหากลั่นแกล้งทางโลกออนไลน์
2. การลำดับความสำคัญ (Prioritizing) พบว่า เหตุของการแกล้งกันบนออนไลน์เกิดจากในชีวิตจริงก่อน โดยผู้ถูกกลั่นแกล้งมักด้อยค่าตัวเองเพราะความแตกต่างจากผู้อื่น นอกจากนี้ ยังพบว่าบุคคลที่สาม (Bystander) ได้ นักสืบ นักแชร์ มีความสำคัญต่อวงจรการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ ทั้งยังไม่ถูกเอาผิดโดยตรงจากสังคม
3. การแก้ไข (Solving) พบว่า การจัดการความรู้สึกต่อการถูกบูลลี่ทางออนไลน์ “ยากกว่า” การจัดการในชีวิตจริง และผู้ถูกกลั่นแกล้งมักเลือกแก้ไขหรือจัดการความรู้สึกด้วยตัวเอง ด้วยเหตุผลว่าการกลั่นแกล้งทางออนไลน์นั้นพบเจอได้ในชีวิตประจำวันและไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น
ดร.ธานี กล่าวว่า มีเด็กจำนวนหนึ่งที่เข้าถึงโลกออนไลน์ได้ แต่มีจำนวนหนึ่งที่เข้าถึงโลกออกไลน์ไม่สะดวก หากดูเฉพาะเด็กที่เข้าถึงโลกออนไลน์ได้ จากการสำรวจพบว่า 60-70% เขาเคยเป็นผู้กระทำ เคยเป็นผู้กระทำ หรือเคยเห็น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับต่างประเทศ
Jam Ideation #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา
3 ประเด็นหลักที่เด็ก Gen Z เห็นว่าสำคัญและรุนแรงที่สุด จึงถูกนำมาเป็นตัวตั้งต้น ในการทำแพลตฟอร์ม #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเราครั้งนี้ ซึ่งแพลตฟอร์ม Jam Ideation เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ

ธนิสรา เรืองเดช CEO & Co-Founder ของ Punch Up World กล่าวว่า งานที่ทำ คือ นำเทคโนโลยี ข้อมูล และงานออกแบบมาช่วยผลักดันการเปลี่ยนแแปลงในสังคมในแต่ละเรื่อง แรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดแพลตฟอร์มนี้ มาจากปีที่แล้วที่ได้ทำงานกับดีแทคทำ social listening tool ไปกวาดความเห็นจากออนไลน์เกี่ยวกับ cyberbully ในประเทศไทย และเกิดความคิดว่าอยากไปให้มากกว่าการสร้างการรับรู้
“เมื่อรู้แล้วว่าเป็นปัญหา ควรจะมาสร้างทางออกร่วมกัน ซึ่งพบว่ามีมาตรการและนโยบายมากมายที่จะแก้ปัญหานี้ แต่ลักษณะใหญ่ประการหนึ่ง คือ เป็นลักษณะแบบ top-down คือ มีเจตนาดี พยายามออกมาตรการเพื่อมาดูแล ซึ่งดี แต่มีส่วนหนึ่งที่หายไป คือ ส่วนที่เป็น bottom-up คือ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เป็นเหยื่อ เป็นผู้ถูกกระทำ ไม่เคยชวนเขาคิด ว่าถ้าไม่อยากเห็นโลกที่มี cyberbully ต้องทำอย่างไร” ธนิสรา กล่าว
ประเทศแรกที่ใช้การแก้ปัญหาจาก bottom-up คือ ไต้หวัน ที่ให้คนใส่สิ่งที่ต้องการลงไปและนำมาออกเป็นมาตรการและนโยบายต่อไป แพลตฟอร์มหนึ่งที่รัฐบาลใช้ คือ Polis แนวคิด คือ ใส่ความเห็นความคิดของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียออกมาเป็นมาตรการที่มีความหมาย จึงศึกษารูปแบบของ Polis เพื่อนำมาใช้กับเรื่อง cyberbully พบว่าเบื้องหลังแพลตฟอร์มนี้มีเทคโนโลยีมากมาย อาทิ AI และ machine learning และไปรีวิวแพลตฟอร์ม crowd sourcing และ engagement platform และพบว่ามีหลายประเทศที่ทำแพลตฟอร์มลักษณะนี้ อาทิ Citizen Lab และ Your Future London เป็นต้น
และพยายามถอดแนวคิดแพลตฟอร์มเหล่านี้สร้างแพลตฟอร์ม #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา เปิดตัว 25 มิถุนายน มี 3 ฟังก์ชันหลัก คือ เสนอทางออกแบบ bottom-up แลกเปลี่ยนความเห็น และสรุปอัปเดตสถานการณ์ cyberbully
“สิ่งที่ทำให้จบจริง ๆ คือ คนที่เข้ามาให้ความเห็น และคนออกนโยบายนำข้อมูลไปใช้งานต่อ”

ทั้งนี้ รูปแบบ JAM Ideation แคมเปญ #ให้ไซเบอร์บูลลี่จบที่รุ่นเรา ต้อนรับเยาวชนให้เข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเข้มข้นต่อเนื่องเป็นเวลา 72 ชั่วโมง เริ่มเปิดแจมตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน เวลา 20.00 น. ถึงวันที่ 28 มิถุนายน เวลา 20.00 น.
ข้อเสนอแนะทั้งหลายจากเยาวชนจะเป็นแก่นตั้งต้นของการแลกเปลี่ยนมุมมองอย่างเข้มข้นผ่านการพูดคุยในคอมมูนิตี้บนโซเชียลมีเดียระหว่างคนทุกเพศวัยในระหว่างวันที่ 3 – 5 กรกฎาคม พร้อมนำข้อสรุปชงหน่วยงานภาครัฐและองค์กรที่ห่วงใยในประเด็นไซเบอร์บูลลี่ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในสังคม และกฎหมายเทียบเท่านานาชาติ
ภายหลังการระดมความคิดเห็น ดีแทคและคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ศึกษาวิจัยจะร่วมสรุปประเด็นและแนวทางยื่นต่อหน่วยงานภาครัฐในการกำหนดเป็นกฎหมายในลำดับถัดไป เช่นเดียวกับนานาชาติ เช่น อังกฤษ สวีเดน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ เป็นต้น