บรรยากาศการลงทุนของไทย ที่อึมครึมเงียบเหงาซบเซามานานนับทศวรรษปล่อยให้ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดฯ ต่างพากันแซงขึ้นหน้า โดยเฉพาะเวียดนามคู่ปรับที่ได้เปรียบ ทั้งค่าแรงราคาถูกกว่า มีศักยภาพมากกว่า การเมืองมีเสถียรภาพ ดูดนักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนจากไทยย้ายฐานไปลงทุน
แต่ก็น่าดีใจที่เริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์สำหรับการลงทุนในไทย เมื่อ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI รายงานว่า มีตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีจำนวนมากถึง 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนมีมากถึง 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 500,000 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน ถือเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว นักลงทุนส่วนใหญ่บอกว่า ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนในภูมิภาคนี้
ตัวเลขการขอรับการลงทุนข้างต้น เป็นการลงทุนทั้งของนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศ แต่ถ้าแยกเฉพาะการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรงหรือ (FDI) ยังขยายตัวต่อเนื่อง ล่าสุด มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริม 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 เงินลงทุนรวมกว่า 540,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38
นอกจากนี้ มีรายงานว่าบริษัทต่างชาติในจีนกว่า 400 บริษัท กำลังโยกย้ายฐานการผลิตออกจากจีน มายังเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยคาดว่าจะมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 53% เป็นเงิน 7.6 พันล้านเหรียญ เกือบจะสูงสุดในกลุ่มอาเซียน
อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ย้ายฐานจากจีนส่วนหนึ่งหนีความขัดแย้งจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ และหาทางเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐเข้ามาอาศัยสิทธิประโยชน์บางอย่างจากไทย อีกทั้งที่ผ่านมาบริษัทจีนที่ลงทุนในไทยไม่ใช้แรงงานคนไทยแต่จะนำเข้าแรงงานจีนแทน ทำให้ประเทศไทยแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
ล่าสุด เกิดปรากฏการใหม่ในการลงทุนในไทย เมื่อบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่เรียกว่า ‘บิ๊กเทค’ อย่าง Microsoft, Amazon, Google รวมไปถึง Nvidia เตรียมแผนที่จะมาลงทุนในไทยเช่นกัน ได้เข้ามาติดต่อกับนิคมอุตสาหกรรมบ้านเรามา 2-3 ปีแล้ว
นับเป็นข่าวดี แต่ก็ไม่ได้การันตีว่านักลงทุนต่างชาติที่ยื่นขอรับการส่งเสริมจะลงทุนทั้งหมด บางรายยื่นขอรับการส่งเสริมเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ดูว่าที่ไหนที่เขาจะได้ประโยชน์สูงสุด ที่ไหนมีความพร้อมที่สุด มีไม่น้อยที่ตัดสินใจลงทุนแล้วขอยกเลิกเพราะความล่าช้าในระบบราชการ ปัญหาคอรัปชั่น ถูกอิทธิพลท้องถิ่น เรียกค่าคุ้มครอง ต้องย้ายหนีไปลงทุนที่อื่น
สิ่งที่ต้องบททวนจากบทเรียนในอดีต ที่ทำให้ไทยไม่ได้ประโยขน์จากการลงทุนจากต่างประเทศเท่าที่ควร โดยบริษัทต่างชาติจะมีวิธีซิกแซ็กมากมาย เพื่อขนเงินรายได้กลับประเทศตัวเอง เช่น การสั่งซื้อวัตถุดิบจากบริษัทแม่ในราคาแพง ๆ หรือผู้นำเข้าสินค้าต้องสั่งออร์เดอร์จากบริษัทแม่ในต่างประเทศไม่ใช่บริษัทในไทย ไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้คนไทยและกีดไม่ให้ขึ้นระดับผู้บริหาร
ที่ผ่านมา สิ่งที่ไทยได้แค่ค่าแรงงานถูก ๆ นายทุนได้ที่ดินขายที่ดินทั้งที่ BOI ประเคนสิทธิประโยชน์ทั้งภาษีและอื่น ๆ มากมาย ครั้งนี้ก็เช่นกันการที่นักลงทุนต่างชาติระลอกใหม่กลับเข้ามา โดยเฉพาะกล่มบิ๊กเทคชั้นนำของโลกที่เข้ามาลงทุน Data Center นั้น ‘ไทย’ ได้ประโยชน์แค่ไหน
อย่าลืมว่าการลงทุน Data Center ของบริษัทบิ๊กเทคเหล่านี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ลงทุนสูง มีหลายๆปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งด้าน Infrastructureและการก่อสร้าง ซึ่งต้องมีระบบสาธารณูปโภคพร้อม ตามด้วยการลงทุนใน Server และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่เป็นหัวใจสำคัญ อีกทั้ง ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูง นั่นหมายความว่าไทยต้องมีสิ่งเหล่านี้รองรับอย่างเพียงพอ
สิ่งที่ไทยจะได้จากการลงทุน Data Center แน่ๆน่าจะเป็น รายได้จากค่าก่อสร้าง การใช้พื้นที่ และการใช้พลังงาน อาจจะมีรายได้ภาษีจากการใช้บริการ Data Center มากขึ้น และอาจจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เช่น ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศสามารถเข้าถึงบริการคลาวด์และเทคโนโลยีดิจิทัลได้ง่ายขึ้น ลดความช้าที่ต้องส่งข้อมูลไปต่างประเทศ
ขณะที่ข้อสังเกตของ “ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ” ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อีฟรา สตรัคเจอร์ จำกัด โพสต์จดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯและทีมงานไว้อย่างน่าสนใจ จะขอหยิบมาบางช่วงบางตอนดังนี้
“ที่บอกว่าธุรกิจ Data Center ใช้เงินเยอะส่วนใหญ่จะเป็นเงินลงทุนด้าน Infrastructure และซื้อ Server ซึ่งเงินส่วนใหญ่เกินครึ่งจะออกไปบริษัทเทคโนโลยีต่างประเทศ และธุรกิจ Data Center ใช้คนน้อยมาก เพราะระบบส่วนใหญ่ดูแลจากคนต่างประเทศรวมไปถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่วันนี้เจ้ามาลงทุนในไทย แต่ถึงเวลาเก็บเงินก็ดึงเงินไปจ่ายต่างประเทศ เลยต้องถามดัง ๆ ว่า เงินเข้าประเทศไทยกี่เปอร์เซ็นต์ Google Mata (Facebook) TikTok และบริษัทอื่น ๆ ส่วนใหญ่ให้คนไทยจ่ายค่าบริการผ่านบัตรเครดิตออกไปประเทศอื่น
ภาวุธ ประเมินว่า คนไทยน่าจะจ่ายเงินผ่านออนไลน์ ออกไปต่างประเทศปีหนึ่ง 2 แสนล้านบาท เลยทีเดียว พร้อมกับแนะทางออกให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเสนอและต่อรองต่อรองกับบริษัทเหล่านี้ ด้วยการ ให้บริษัทบิ๊กเทคต้องเพิ่มศักยภาพสำนักงานในประเทศไทยและจ้างคนไทยมากขึ้น ทำ Technology Transfer ดันให้คนไทยเก่งมากขึ้นในเทคโนโลยีระดับสูง ใช้ไทยเป็นฐานในการพัฒนาบริการ ออกไปยังประเทศอื่น ๆ และสร้างระบบนิเวศน์ระยะยาวเพื่อเติบโตไปร่วมกัน
นี่เป็นข้อเสนอภาวุธ หนึ่งในคนไทยที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่คลุกคลีตีโมงในวงการอีคอมเมิร์ช ดิจิทัล และสตาร์ตอัพ มายาวนาน แต่ไม่รู้รัฐบาลจะฟังหรือไม่ หรือแค่ฝรั่งหยอดคำหวานก็ดีใจ ทั้งที่ไทยแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
พลิกตำนานแชร์ลูกโซ่ “มหากาพย์ลวงโลก”
จุดยืนไทย เมื่อ ‘โดนัล ทรัมป์’ คัมแบ็ค