การเมืองไทยช่วงนี้ครึกครื้นเป็นพิเศษ วันก่อน ทักษิณ ชินวัตร ที่มีตำแหน่งตามกฎหมาย คือ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ไปช่วยลูกพรรคหาเสียงในศึกชิงเก้าอี้ นายกฯ องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ.ที่โคราช แต่ลีลาปราศรัย เหมือนนายกฯอีกคนกำลังสั่งการครม.อย่างไรอย่างนั้น ตอนหนึ่ง ทักษิณพูดถึงเศรษฐกิจภาพรวมว่า
ประเทศไทยเป็นหนี้ (สาธารณะ) สูงมากกว่า 60% ของจีดีพี โดยมีเพดานวินัยการเงินการคลังกำกับไว้ที่ 70 % ทักษิณบอกว่า รัฐบาลต้องลดหนี้ด้วยการเพิ่มจีดีพี ซึ่งเจ้าตัวมองว่า พูดง่ายทำยากแต่ต้องทำ ทักษิณยังวิจารณ์การออกพันธบัตรของรัฐบาลที่ขายให้สถาบันการเงินเมื่อครบกำหนดก็รับดอกเบี้ยไปไม่ได้ช่วยระบบเศรษฐกิจเลย
ก่อนยกตัวอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยที่ 2 ที่เอาจริงเอาจังกับ บิดคอยน์ และการสร้างสกุลเงินใหม้ ผ่านคริปโทเคอร์เรนซี พร้อมเสนอว่า เรา ( รัฐบาล) ออกพันธบัตรแล้วขายบุคคลทั่วไป โดยให้อายุพันธบัตรสั้นลงเพื่อให้สมารถหมุนเวียนในตลาดได้ ไม่เช่นนั้นจีดีพีเราไม่มีทางโต ทำนายกี่ครั้งก็ 2% ฟังแล้วทุเรศ ต้องทำให้ถึง 4-5% ไม่น่ายากเกินไป
ไม่กี่วันถัดมา นายกฯแพทองธาร ชินวัตร แถลงหลังการประชุมครม.นัดสุดท้ายของปีนี้ ( 24 ธ.ค.67 ) ตอนหนึ่งว่า “….. ตั้งแต่รัฐบาลทำงานได้มีนโยบายต่าง ๆ ที่กระตุ้นเศรษฐกิจให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในงบประมาณปีหน้าจะมีงบฯมากขึ้น และมีการขาดดุลการคลังลดลง ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี แต่ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจหลาย ๆ ตัวต้องมีการเร่งรัดให้เกิดการแข่งขันให้เพิ่มขึ้น จึงได้ฝากข้อสังเกตให้ คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลัง ของรัฐและกระทรวงการคลัง ดำเนินการดังต่อไปนี้
- ให้กระทรวงการคลังเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับประเทศที่มีระดับรายได้ที่ใกล้เคียงกัน
- ให้หน่วยงานที่รับงบเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความคุ้มค่าและประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
- ให้หน่วยรับงบนำเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ หรือเงินที่สะสมดำเนินการตามภารกิจเป็นอันดับแรก
- ให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนและงบรัฐวิสาหกิจ และสนับสนุนให้วิสาหกิจลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน “
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อนายกฯกล่าวว่าปีหมายเศรษฐกิจปีหน้า แต่ละไตรมาสคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ได้หันไปถาม พิชัย ชุณหวชิระ รองนายกฯและรมว.คลัง ที่ยืนเป็นฉากหลังว่า “(จีดีพี)… จะเกินเป้าเท่าไหร่ดี” ก่อนตอบเองว่า “หวังให้เกิน 3% แน่นอน”
เรื่องอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจช่วงหาเสียงก่อนเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย คุยขโมงประกาศจะดันจีดีพีโต 5% ตามสโลแกน คิดใหญ่ทำเป็น แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลจีดีพีปีที่แล้ว ( 2566) โต 1.8% จากงบประมาณฯรายจ่ายล่าช้าเป็นพิษ ส่วนปีนี้ที่เริ่มนับถอยหลังกันแล้ว ประมาณว่าจีดีพีจะโต 2.6% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะโตมากกว่า 3%
ส่วนเศรษฐกิจปีหน้า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์คาดการณ์ตอนแถลงเศรษฐกิจไตรมาส 3 เมื่อเดือนก่อนว่า เศรษฐกิจไทยจะโตระหว่าว 2.3-3.3% โดยค่ากลางอยู่ที่ 3%
การที่นายกฯ หวังให้ จีดีพีทะลุเกิน 3% นอกจากข้อสังเกตุที่ฝากให้กระทรวงการคลังดูแลเรื่องการจัดเก็บภาษีเร่งเบิกจ่ายงบประมาณแล้ว บรรดาที่ปรึกษาฯที่คอยป้อนความคิดให้ แล้ว นายกฯ คงเชื่อว่านโยบายแจกเงินหมื่นงวด 2 เดือนมกราคมปีหน้า และงวด 3ช่วงไตรมาสที่สอง รวมไปถึงการเพิ่มกำลังซื้อด้วยการ เอาการลดหย่อนภาษีมาล่อ ในโครงการ Easy e-recipt ที่ผู้จับจ่ายซื้อสินค้าตามที่กำหนด สามารถลดหย่อนภาษีได้ 50,000 บาท รวมไปถึงนักท่องเที่ยวจะเข้าไทย 40 ล้านคนปีหน้า จะเป็นปัจจัยหนุนให้จีดีพีปีหน้าโตมากว่า 3% ได้
แต่ถ้าสำรวจความเห็น สำนักวิเคราะห์ต่าง ๆ ที่เผยแพร่ออกมา สิ่งที่นายกฯคาดหวัง สวนทางกับการคาดการณ์ของสำนักวิเคราะห์ต่าง ๆ ที่เริ่ม หั่นคาดการณ์จีดีพีปีหน้า (2568) กันแล้ว โดยยกแรงกระแทกของนโยบาย ทรัมป์ 2.0 คือภัยคุกคามหลักต่อเศรษฐกิจไทยปีหน้า
สัปดาห์ก่อนหน้าคริสต์มาส ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ เสนอมุมวิเคราะห์เศรษฐกิจของ EIC ผ่านสื่อ โดยระบุว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มองว่าจะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 2.4% ปรับลงจาก 2.6% โดยเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วง “ขาลง” และ “ชะลอตัว” ลงชัดเจน จากปี 2567 ขยายตัว 2.7%
– SCB EIC มองธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก จากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และนโยบาย Trump 2.0
ประธานฯ EIC ขยายความว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2567 ยังคงเห็นการขยายตัวระดับ 4% แต่ในปี 2568 อัตราการเติบโตเฉลี่ยในแต่ละไตรมาสจะลดลงจาก 4% ในไตรมาสที่ 1/2568 และลดลงเหลือ 3% ในไตรมาสที่ 2 และลดลงเหลือ 2% และเหลือ 1% ในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งการเติบโตสวนทางกับในปี 2567 ที่เป็นการเติบโตแบบไต่ระดับขึ้น โดยเขาระบุว่าช่วงแรกปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะได้อานิสงค์จากการส่งออกที่เร่งตัว และการใช้จ่าย แต่ช่วงครึ่งหลังของปี ส่งออกจะเริ่มรับผลกระทบจากนโยบาย ทรัมป์ 2.0 และภาคท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนและยุโรปที่ชะลอตัวลง
ดร.สมประวิณ สรุปว่า หากเทียบศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เมื่อเทียบการผลิตและกำลังแรงงานขยายตัวได้ 2.7% แต่หากออกมาต่ำกว่า 2.7% ถือว่า “เศรษฐกิจแย่” ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์จะต้องรีบกระตุ้นเศรษฐกิจ
มุมมองของ EIC ค่อนข้างโหด เศรษฐกิจยังไม่ทันเข้าชั้นบรรยากาศ “ขาขึ้น” เลย กลับถูกดึงเข้าโหมด “ขาลง” เสียแล้ว มุมมองดังกล่าว แม้เป็นการคาดการณ์ซึ่งอาจเปลี่ยนไปตามปัจจัยใหม่ ๆ ที่จะผันแปรเข้ามา แต่ถ้ามองย้อนหลังกลับไป คาดการณ์เศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาถูกหั่นให้ย่อลง มากกว่าปรับ ต่อยอดขึ้นไป ตัวอย่างปี 2567 คาดการณ์เศรษฐกิจเริ่มจากจีดีพีโต 3.2% (กรอบบน) ก่อนถูกหั่น ๆ ๆ ตั้งแต่ต้นปีลงมาเหลือโต 2.6%
งานนี้ต้องโฟกัสไปที่ นายกฯแพรทองธาร จะมี ข้อสังเกตุส่วนไหนเพิ่มเติม เพื่อเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจขาลง ในปีหน้าให้พลิกมาเป็นจีดีพีโตทะลุ 3% ตามที่นายกฯ หวังเอาไว้ สภาวะเช่นนี้เองที่เรียกว่า พูดง่ายทำยาก … สวัดดีปีใหม่ 2568 ขอให้ผู้อ่านทุก ๆ ท่านโชคดีตลอดปีนี้…
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
การเมืองไทยเดินหน้ายึดอิสระแบงก์ชาติ
เศรษฐกิจทรัมป์รีเทิร์น ไทยเจอสองเด้ง